Mini Cooper S vs Mercedes-Benz A250 AMG ยนตรกรรมฉบับกระเป๋าสุดจี๊ดแห่งเมืองเบียร์
สำหรับวันนี้ทีมงาน Boxzaracing ขอนำคู่ปรับอีกคู่หนึ่งที่เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ต้องการสมรรถนะที่เต็มเปี่ยม ภายใต้เรือนร่างฉบับกระเป๋าที่มีเอกลักษณ์ ทั้ง Mini Cooper S และ Mercedes-Benz A250 AMG ซึ่งทั้งคู่เป็นรถยนต์ 5 ประตู ขนาดเล็กที่ได้ออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่โดนใจคน Gen Y ให้มากขึ้น ด้วยดีไซน์ที่ดูสปอร์ต ดุดัน และให้ความรู้สึกถึงความล้ำสมัย มาพร้อมกับสมรถนนะขับเคลื่อนชั้นยอดที่เปี่ยมไปด้วยพลัง, เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 6 ทั้งคู่ มาดูกันว่าทั้ง 2 รุ่นนี้ มีอะไรเป็นจุดเด่นกันบ้าง
ภายนอก
ด้านการดีไซน์ภายนอกที่เรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะ Mini Cooper S ที่มีหน้าตาเอกลักษณ์ตามสไตล์ Mini ที่ปฏิบัติสืบต่อมาอย่างยาวนาน แม้ว่าจะปรับขนาดตัวถังสำหรับรองรับ 5 ประตู มาแล้วก็ตาม อีกทั้งยังจัดอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับการขับขี่ที่ครบถ้วน ที่สำคัญมีสีตัวถังให้เลือกมากถึง 11 สี พร้อมกับเลือกสีหลังคาเพื่อให้ตัวรถเป็นสีทูโทน โดนใจมากยิ่งขึ้น
ส่วน Mercedes-Benz A250 AMG ก็เน้นออกแบบให้ดูมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น โดยยังคงไว้ซึ่งอารมณ์ความหรูหรา พร้อมเส้นสายตัวถังที่เพิ่มประสิทธิภาพการรีดอากาศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะรุ่น A250 AMG จะเป็นรุ่นที่ยกระดับความสปอร์ตด้วยแพคเกจชุดแต่งจากสำนักคู่บารมี ก็ยิ่งเพิ่มความดุดัน โดดเด่นมากยิ่งขึ้น โดยที่ตัวรถจะมีแถบสีแดงบริเวณช่องกันชนหน้าและกันชนหลัง พร้อมกระจังหน้า Diamond Grille อันเป็นจุดเด่นของ Mercedes-Benz ยุคใหม่
หากรายละเอียดเรื่องดีไซน์กินกันไม่ลง ก็ต้องวัดกันที่ขนาดซึ่งจะส่งผลต่อความกว้างของห้องโดยสาร โดยทั้งคู่มีรายละเอียดมิติตัวถังดังนี้
มิติตัวถัง | Mini Cooper S | Mercedes-Benz A250 AMG |
พื้นที่ตัวรถทั้งหมดยาวxกว้างxสูง (มม.) |
4,005 x 1,727 x 1430 |
4,292 x 1,780 x 1,430 |
ความยาวช่วงล้อ (มม.) | 2,567 | 2,699 |
ความกว้างช่วงล้อ หน้า-หลัง (มม.) |
1,485 - 1,485 | 1,553 - 1,552 |
ระยะต่ำสุดจากพื้น (มม.) | - | - |
ภายใน
ภายในของ Mini Cooper S ที่ออกแบบได้มีเอกลักษณ์เฉพาะและแสดงถึงความเก๋ไก๋บนแผงคอนโซล โดยเฉพาะหน้าจออเนกประสงค์ตรงกลางรถที่เป็นเอกลักษณ์ของ Mini เป็นจออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสพร้อมขอบ LED ที่สามารถปรับเปลี่ยนสีได้ตามอารมณ์ ส่วนแผงมาตรวัดความเร็วและวัดรอบอยู่หลังพวงมาลัย พร้อมเพิ่มจอ Head Up Display ที่ได้แสดงผลทั้งความเร็ว, การแจ้งเตือนและแผนที่ เพื่ออำนวยความสะดวกและลดความวุ่นวายในการกวาดสายตา ระบบปุ่ม Push Start ดีไซน์เฉพาะเหมือนสวิตซ์เครื่องบิน
และที่แน่นอน คือ ความสะดวกสบายในการเข้าออกมากยิ่งขึ้น พร้อมขยายพื้นที่วางเข่าให้นั่งสบาย ห้องโดยสารโทนสีสีดำและแสงไฟ LED ที่สร้างบรรยากาศให้ดูน่าสนใจมากขึ้น
ภายในของ Mercedes-Benz A250 AMG จะเป็นการปรับโฉมจากรุ่น A-Class ด้วยชุดแต่งจาก AMG โดยใช้วัสดุในธีมคาร์บอนไฟเบอร์ตกแต่งพร้อมเสริมด้วยแถบสีแดงเพิ่มความสปอร์ต เบาะนั่งหน้าดีไซน์แบบสปอร์ต จออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสที่แยกออกมาอย่างสวยงามสะดุดตา มาพร้อมกับระบบมัลติมีเดีย Audio20 ช่วยให้คุณเปลี่ยนแผ่นซีดีหรือเลือกช่องวิทยุให้ถูกใจได้ง่ายขึ้นผ่าน 12 ปุ่มควบคุมที่คอนโซลหน้า เชื่อมต่อผ่านบลูทูธและ USB พร้อมซีดี 6 แผ่น และหลังคาพาโนรามิครูฟที่เพิ่มความปลอดโปร่งภายในห้องโดยสารมากขึ้น
ที่ไม่ควรมองข้าม คือ พื้นที่ความจุของสัมภาระท้าย ซึ่ง Mini Cooper S มีพื้นที่สัมภาระท้ายปกติเมื่อพับเบาะหลังด้วยก็จะมีพื้นที่มากถึง 211 ลิตร แต่สามารถเปิดช่องด้านล่างเพื่อขยายความสูงของพื้นที่เก็บโดยไม่ต้องพับเบาะหลังด้วย และ Mercedes-Benz A250 AMG มีพื้นที่สัมภาระท้ายปกติ อยู่ที่ 341 ลิตร เมื่อพับเบาะทั้งหมดก็จะมีพื้นที่ความจุสูงสุดถึง 1,157 ลิตร
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
Mini Cooper S ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร TwinPower Turbo รองรับแก๊สโซฮอลล์ E20 ให้กำลังสูงสุด 192 แรงม้า ที่ 4,700-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 280 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250 รอบ/นาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 230 กม./ชม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ส่วน Mercedes-Benz A250 AMG จะเป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร โดยให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200-4,000 รอบ/นาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 240 กม./ชม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 เกียร์เดินหน้า 7G-DCT ช่วงล่างแบบสปอร์ต จัดให้โดย AMG
ระบบความปลอดภัย
ที่ขาดไม่ได้เลยคือระบบความปลอดภัย ซึ่งรถยนต์จากยุโรปทั้ง 2 ค่ายนี้ ก็มีระบบความปลอดภัยที่จัดเต็มแบบไม่มีกั๊ก ให้คุณได้ขับขี่สบายใจสุดๆ มาดูกันว่าทั้ง Mini Cooper S และ Mercedes-Benz A250 AMG จะมีระบบความปลอดภัยอะไรที่น่าสนใจบ้าง
เริ่มจาก Mini Cooper S จะให้ระบบความปลอดภัยหลายรายการ อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ด้านข้างและศีรษะ,อุปกรณ์ยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก ISOFIX, กล้องมองหลัง, ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบกระจายแรงเบรคแบบอิเล็กทรอนิค (EBD), ระบบเสริมแรงเบรค (BA), ระบบควบคุมเบรคขณะเข้าโค้ง (CBC), ระบบควบคุมการทรงตัวแบบไดนามิค(DSC), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีเมื่อเข้าโค้ง (DTC), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (EDLC), ระบบรักษาความเร็วอัตโนมัติ(DCC), ระบบควบคุมระยะการจอด (PDC) และยาง Runflat
ส่วน Mercedes-Benz A250 AMG มีรายละเอียดของระบบความปลอดภัย อาทิระบบเตือนแรงดันยาง, ไฟเบรคกระพริบ, ระบบช่วยเบรค BAS ชนิดพิเศษจากเมอร์เซเดส-เบนซ์, ระบบเบรค ABS ที่เสริมด้วยระบบ Adaptive Brake และระบบควบคุมเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับการทำงานของระบบเบรค (ESP), ระบบไฟหน้าที่สามารถปรับความสว่างของแสงให้สอดคล้องกับสภาพถนน ทั้งถนนที่มืดมากหรือมีรถวิ่งสวนทางมาและไฟหน้าอัจฉริยะ ที่สามารถปรับองศาของไฟหน้าให้สอดคล้องกับสภาวะการขับขี่, ระบบป้องกันการลื่นไถล (ASR), ถุงลมนิรภัย 9 จุด รอบห้องและอุปกรณ์ยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก ISOFIX
ราคา
ท้ายสุด คือ ราคา โดย Mini Cooper S 5 ประตู มีราคาอยู่ที่ 2,880,000 บาท ส่วน Mercedes-Benz A250 AMG มีราคาอยู่ที่ 2,590,000 บาท ห่างกัน 310,000 บาท
Editor Comment
Mini Cooper S จัดเป็นรถเล็กสมรรถนะสูง ทีขับสนุก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นมาทุกยุคสมัย เรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก ทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ คือ ปัจจัยเรียกแขกชั้นดีที่เราๆ ท่านๆ เห็นแล้วก็อดจะแอบปลื้มไม่ได้ โดย MINI เจนเนอเรชั่นใหม่ ได้ปรับโฉมจากความคลาสสิกสู่ความล้ำสมัยในด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัย
หากเทียบกับ Mercedes-Benz A250 AMG ที่มีราคาที่ต่ำกว่า แต่มีความคุ้มค่าสมราคา ไม่ว่าจะเป็นห้องสัมภาระที่มีขนาดใหญ่กว่า, เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกที่หรูล้ำ พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยที่อัดแน่นหลายรายการ งานนี้ดูแอบเหนือกว่าเล็กๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากใครที่รักและชอบในเรื่องเอกลักษณ์ด้านดีไซน์ พร้อมทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นกับรุ่น 3 ประตู ที่ให้ความรู้สึกเต้มอิ่มกับความเป็นสปอร์ต Mini Cooper S ก็ยังคงเป็นตัวละครหลักที่มองข้ามไปไม่ได้เลยทีเดียว
ในโอกาสหน้าทีมงาน Boxzaracing จะนำรนถอะไรมาเปรียบเทียบต่อไปก็อย่าลืมติดตามชมกันให้ดีนะครับ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก netcarshow.com