BMW Z4 VS Mercedes Benz SLK รถสปอร์ตโรดสเตอร์ที่เป็นคู่แข่งกันมาช้านาน
รถสปอร์ตโรดสเตอร์เป็นรถที่ได้รับความนิยมอีกแนวหนึ่งในประเทศไทย เพราะไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่สวยงาม บวกกับความสปอร์ตแล้ว ยังมีราคาที่นับว่าล่อตาล่อใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็อีกนั้นแหละ ค่ายดังๆ ของโลกก็ล้วนแล้วแต่สร้างสรรค์รถประเภทนี้ออกมาอยู่ตลอด โดยทุกครั้งที่เปิดตัวออกมา จะสร้างความตื่นเต้น และความน่าหลงใหลได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งวันนี้เราได้นำรถรุ่น BMW Z4 (บีเอ็มกับเบิลยู แซด4) และ Mercedes Benz SLK (เมอร์เซเดสเบนซ์ เอสแอลเค)ซึ่งนับว่าเป็นคู่แข่งกันมาอย่างยาวนานมาเปรียบเทียบกัน ว่ารถคันไหนมีจุดเด่นที่ตรงไหน ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของมากแค่ไหนกัน
รูปลักษณ์ภายนอก
รูปลักษณ์ภายนอกของทั้ง 2 รุ่นนี้ คงไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะให้ความสปอร์ตที่เหมือนกัน อีกทั้งยังมีการดีไซน์ที่คล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นฝากระโปรงหน้าที่ยาว และยังมีห้องโดยสารแบบ 2 ที่นั่งเหมือนกันอีกด้วย นอกจากนี้ยังถูกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่เหมือนกันอีกด้วย ทำให้ได้ความรู้สึกการขับขี่ที่มั่นใจ และโฉบเฉี่ยว พร้อมจะปลุกความเร้าร้อนในตัวคุณให้ออกมา
การดีไซน์ภายใน
BMW Z4 และ Mercedes Benz SLK ยังมีการออกแบบภายในห้องโดยสารด้วยความพิถีพิถัน ซึ่งจะให้ทั้งความหรูหรา และความสปอร์ตผสมผสานกัน รวมถึงยังติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่มอบให้คุณอย่างครบครัน ไม่ว่าพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ต่อด้วยการรองรับระบบเชื่อมต่อ USB, AUX และโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ซึ่งทั้งคู่จะมอบความสะดวกสบาย และความเป็นที่สุดในทุกด้านให้กับคุณอย่างยอดเยี่ยม
จุดเด่นของรถทั้ง 2 คัน
BMW Z4 ได้ทำการติดตั้งความบันเทิงมามอบให้กับคุณอย่างครบครัน โดยเริ่มจากแอพพลิเคชั่น BMW ที่ถูกสร้างสรรค์มาเพื่อรองรับ iPhone ซึ่งจะให้คุณสามารถควบคุมทุกฟังก์ชั่นของแอพพลิเคชั่นใน iPhone ได้อย่างง่ายดาย ผ่านระบบเชื่อมต่อเพียงคุณติดตั้งเครื่อง iPhone ของคุณเข้ากับแท่นวางโทรศัพท์ในรถบีเอ็มดับเบิลยู หรือสายเชื่อมต่อของ Apple
โดยแอพพลิเคชั่นยังมีการควบคุมที่ง่าย ด้วยระบบ iDrive ซึ่งจะแสดงภาพผ่านหน้าจอแสดงผล ต่อด้วยแอพพลิเคชั่น AUPEO ที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับการเล่นอินเตอร์เนต และสถานีหลากหลายกว่า 120 สไตล์ เพิ่มความสะดวกสบายด้วยปุ่ม Love ที่จะทำหน้าที่จดจำเพลงที่คุณชอบ และปุ่ม Ban เพลงที่คุณไม่โปรดปรานบนหน้าจอแสดงผล ปิดท้ายด้วยแอพพลิเคชั่น BMW Connected สำหรับ iPhone ซึ่งจะทำให้คุณเล่น Facebook, Twitter หรือเข้าถึงไดอารี่ผ่านจอแสดงผลที่คอนโซลด้านหน้า
Benz SLK เพิ่มมุมมองให้คุณได้เห็นโลกกว้างขึ้น ด้วย Panoramic vario-roof หรือหลังคาแบบพาโนรามิค ที่มีลักษณะโปร่งแสง โดยจะทอดยาวจากด้านหน้าจรดด้านหลังของห้องโดยสาร อีกทั้งยังมี Panoramic vario-roof with MAGIC SKY CONTROL ที่จะทำหน้าที่เปลี่ยนความโปร่งใสของแผ่นกระจกบนหลังคา ให้เข้มขึ้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที อีกทั้งยังมาพร้อมนวัตกรรมล่าสุด Air Guide หรือแผ่นกันลม ซึ่งทำการผลิตจากวัสดุ Plexiglass ที่มีประสิทธิภาพ โดยติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังของโรลบาร์ เพื่อทำหน้าที่ป้องกันลมหมุนวนภายในห้องโดยสาร อีกทั้งยังช่วยลดเสียงรบกวนของกระแสลมลดให้เหลือน้อยที่สุดอีกด้วย
ด้านเครื่องยนต์
BMW Z4 จะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบในรุ่น sDrive20i ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะ บีเอ็มดับเบิลยู TwinPower Turbo และวาล์วแปรผันคู่ ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อม Steptronic แบบสปอร์ต ทำให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิด 270 นิวตันเมตร ที่ 1,250-4,500 รอบ/นาที เร่งความเร็วจาก 0-100 เพียง 6.9 วินาที นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบวาล์วแปรผันอิสระ Valvetronic และระบบจ่ายเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาใหม้แบบ Direct Injection ช่วยลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งจะมีอัตราสิ้นเปลืองพลังงาน 14.71 กม./ ลิตร และมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 159 กก./กม. ส่วนทาง Mercedes Benz SLK จะมาพร้อมเครื่องยนต์ 1,796 ซีซี ที่เรียกกำลังได้ถึง 184 แรงม้า ที่ 5,250 รอบ/นาที แรงบิด 270 นิวตันเมตร ที่ 1,800-4,600 รอบ/นาที ซึ่งสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 237 กม./ชม. อีกทั้งยังอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่น้อยเพียง 15.4-16.4 กม./ ลิตร อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กับอัตราการปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์แค่ 142 – 151 กก./กม.เท่านั้น ซึ่งถ้าวัดกันในเรื่องความแรงคงต้องยกให้ BMW Z4 ที่สามารถออกตัวได้ดีกว่า แต่ถ้าวัดกันในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คงต้องหันกลับมามอง Benz SLK
ด้านสมรรถนะ
ทางด้าน BMW Z4 จะติดตั้งระบบ Brake Energy Regeneration โดยจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเข้าสู่ระบบ ซึ่งสามารถลดการสิ้นเปลือง และมลภาวะในเวลาเดียวกัน เพราะระบบจะนำพลังงานที่ถูกจัดเก็บมาใช้สำหรับการเร่งแซงทันทีที่ต้องการ บวกกับฟังก์ชั่น Driving Experience Control ที่ติดตั้งบริเวณแผงคอนโซลกลาง ซึ่งจะปรับเปลี่ยนสไตล์การทำงานของเครื่องยนต์ ให้แรงบิดสูงที่รอบต่ำ บวกกับอัตราการเร่งที่สูงขึ้น ต่อด้วยระบบกันสะเทือนที่ทำงานแบบสปอร์ต ที่จะทำให้การขับขี่ของคุณเต็มไปด้วยความเร้าใจ และระบบควบคุมระยะการจอด ที่จะคอยตรวจสอบระยะการจอดรถโดยใช้คลื่นเสียง เพื่อหาอุปสรรค และสิ่งกีดขวางต่างๆ ซึ่งจะส่งเสียงเตือนคุณเมื่อเข้าใกล้เพื่อลดอันตราย และความเสี่ยงในการชน ทำให้การจอดรถเป็นไปอย่างง่ายดาย และความปลอดภัย
ส่วนทางด้าน Mercedes Benz SLK ได้ออกแบบโครงสร้างตัวถังนิรภัยที่มีความแข็งแกร่ง เสริมความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัยกับม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ซึ่งจะทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรง ที่สามารถรั้งกลับเองโดยอัตโนมัติ เสริมความปลอดภัยด้วยพนักพิงศีรษะแบบ NECK-PRO head restraints ที่ทำหน้าที่ปกป้องภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับห้องโดยสาร รวมถึงช่วยคุ้มครองผู้โดยสารทุกคนให้ได้รับความปลอดภัยสูงสุด นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ตัดการจ่ายเชื้อเพลิงโดยอัตโนมัติ พร้อมกับสั่งการให้เครื่องยนต์หยุดทำงานทันที โดยประตูทุกบานจะถูกปลดล็อคโดยอัตโนมัติ รวมถึงกระจกหน้าต่างจะถูกปรับเลื่อนลงเล็กน้อย เพื่อให้อากาศภายในห้องโดยสารถ่ายเทได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบ Adaptive brake light หรือไฟเบรคกระพริบฉุกเฉิน กับระบบ Attention Assist หรือระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่มาให้อีกด้วย
ซึ่งจากที่เราได้ทำการเปรียบเทียบรถทั้ง 2 รุ่นนี้ จะเห็นได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันที่รูปลักษณ์ภายนอก – ภายใน ส่วนในเรื่องของเครื่องยนต์จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ที่แตกต่างกันมากๆ และที่เป็นจุดเด่นของรถทั้ง 2 รุ่นจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดย BMW Z4 จะเน้นไปที่ความบันเทิง และฟังก์ชั่นในการขับขี่ที่เพิ่มความเร้าใจ แต่ทาง Mercedes Benz SLK จะเน้นไปที่ความปลอดภัยที่ได้ที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม และหลังคา vario-roof ที่จะทำให้ความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับคุณอย่างเต็มที่ จึงทำให้สรุปได้ว่ารถทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันอย่างมาก สำหรับผู้ที่สนใจในรถคู่นี้ คงต้องหาไลฟ์สไตล์ของตัวเองก่อนนะครับ ว่ามีไลฟ์สไตล์การขับขี่แบบไหน ต้องการความรู้สึกแบบไหนในการเดินทาง เพราะ BMW Z4 และ Benz SLK จะให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันเวลาขับครับ
