หากจะพูดถึงรถกระบะสมมรถนะสูงในประเทศไทยในเวลานี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักนักล่าพันธุ์แกร่ง Ford Ranger Raptor ซึ่งถึงแม้จะมีกระแสดราม่าออกมาช่วงแรกถึงปัญหาของระบบเกียร์ แต่ทว่าปัญหาดังกล่าวได้ถูกแก้ไข และปรับปรุงจนหมดสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และล่าสุด ฟอร์ด ประเทศไทย ได้เชิญทีมงาน BoxzaRacing เข้าร่วมทริปสุดเร้าใจ เพื่อทดสอบสมรรถนะอันแข็งแกร่งของ Ford Ranger Raptor อีกครั้ง บนเกาะลึกลับ ภายใต้กิจกรรม "Ford Ranger Raptor – The Mysterious Journey" เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า Ranger Raptor นั้น พร้อมลุยทุกอุปสรรค และฟันฝ่าได้ทุกเส้นทางอย่างแท้จริง
Ford Ranger Raptor โครตรถกระบะพันธุ์แกร่ง
ทั้งนี้ ในบทความนี้ทางทีมงาน BoxzaRacing ข้อกล่าวถึงสมรรถนะการขับขี่เจ้า Ford Ranger Raptor เพียงอย่างเดียว ซึ่งหากใครที่ต้องการทราบข้อมูล หรือสเปคของ Ford Ranger Raptor สามารถติดตามได้ที่ "บทความเปิดตัว Ford Ranger Raptor" ส่วนใครที่อยากรู้ว่าเจ้าของรถกระบะค่าตัว 1.699 ล้านบาทมีดีอย่างไร สามารถติดตามได้ที่ "รถกระบะที่ร้อนแรงที่สุดในชั่วโมงนี้ กับค่าตัว 1.699 ล้านบาท มีดีอย่างไร?"
ภูตาจอ ยอดเขาที่สูงที่สุดของ จ.พังงา
โดยการเดินทางครั้งนี้ ฟอร์ด ประเทศไทย ได้พาคณะสื่อมวลชนบินตรงไปยัง จ. สุราษฎร์ธานี ก่อนจะเดินทางไปยัง จ. พังงา เพื่อไปพิชิตความหฤโหดของ ภูตาจอ ยอดเขาที่สูงที่สุดของ จ. พังงา จุดชมวิวที่อยู่บนระดับความสูงกว่าน้ำทะเลเกือบ 1,300 เมตร ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลอันดามันได้รอบแบบ 360 องศา ซึ่งจำเป็นต้องใช้รถออฟโรดสมรรถนะสูงเท่านั้นถึงจะขึ้นไปได้ ด้วยระยะทางกว่า 13 กม. บนเส้นทางทุรกันดารที่มีความหลากหลาย ทั้งหินกรวด, ดินปนทราย, ดินโคลน, ร่องน้ำ และหินขนาดใหญ่
กรวด, หิน, ดิน, ทราย ผ่านไปได้อย่างสบายๆ เพราะนี่คือ Ford Ranger Raptor
กระโจนลงน้ำแบบไม่ต้องยั้ง เฉกเช่นการกระโจนล่าเหยื่อของ Raptor
แม้อุปสรรคจะยากแค่ไหน แต่ก็ไม่เกินความสามารถของ Ford Ranger Raptor ซึ่งมีจุดเด่นที่ระบบช่วงล่างจาก Fox Racing และระบบช่วยเหลืออย่าง Terrain Management System (TMS) ซึ่งมีให้เลือกด้วยกันถึง 6 โหมด ได้แก่ Normal, Sport, Snow/Gravel/Grass, Mud/Sand, Baja (บาฮา) และ Rock ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้จำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น ซึ่ง Ford Ranger Raptor นั้น สามารถปรับเปลี่ยนระบบการขับขี่จาก 2H เป็น 4H ได้ทันที (ไม่ต้องหยุดรถ) และสามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ต่างๆ ตามสถานการณ์ได้จากปุ่มมัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัย
ซึ่งช่วงแรกของทางขึ้นภูตาจอนั้น สามารถขับด้วยโหมด Normal ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปได้อย่างสบายๆ จนกระทั่งถึงจุดที่เป็นร่องน้ำ และหินขนาดใหญ่ ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้การขับขี่ในโหมด Rock เพื่อการปีนป่ายหินโดยเฉพาะ โดยการเปลี่ยนมาใช้โหมด Rock นั้นจำเป็นจะต้องเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนมาเป็น 4L ก่อนเท่านั้น ซึ่งระบบจะทำการปรับเปลี่ยนกำลังเครื่องยนต์ (ปรับตำแหน่งเกียรให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ 1 เท่านั้น), พวงมาลัยจะมีความเบา และฉับไวขึ้น, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวจะถูกปิดทันที เพียงบังคับพวงมาลัยให้อยู่ในไลน์ ใช้คันเร่งช่วยเบาๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถผ่านอุปสรรคแบบหินๆ ไปได้อย่างง่ายดาย
ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา Hill Descent Control (HDC) อีกหนึ่งหัวใจสำคุญของความปลอดภัยในการขับขี่แบบออฟโรด
เมื่ออุปสรรคในการปีนหินยังผ่านมาได้ เส้นทางหินกรวด, ดินทราย, ดินโคลน และทุ่งหญ้า ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพียงเลือกโหมดที่ระบบ TMS ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง ตัวรถก็สามารถฟันฝ่าทุกอุปสรรคมาได้อย่างไม่ยากลำบาก ซึ่งหากถามว่ารถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นอื่นจะสามารถขึ้นไปพิชิตภูตาจอได้ไหม ก็คงต้องตอบว่าได้ แต่คงไม่สะดวกสบายเท่า Ranger Raptor อย่างแน่นอน อีกทั้ง Ford Ranger Raptor ยังมีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Launch Assist (HLA) และระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา Hill Descent Control (HDC) ที่คอยให้ความช่วยเหลือ และเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางแบบออฟโรดอีกด้วย
ฝูง Raptor ข้ามเรือเฟอร์รี่ บุกเกาะคอเขา
เมื่อชมความสวยงามทางธรรมชาติของภูตาจอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปยังเกาะลึกลับที่มีความสวยงาม และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ที่มีชื่อว่า "เกาะคอเขา" ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ. พังงา โดยต้องข้ามน้ำ ข้ามทะเลโดยเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือบ้านน้ำเค็ม ซึ่งเกาะคอเขาตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอันดามัน นอกจากจะมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ ป่าชายเลนผืนใหญ่ที่ทอดตัวทางทิศตะวันออก และหาดทรายขาวทางทิศตะวันตกแล้ว ยังมีร่องรอยความเจริญของวัฒนธรรมในอดีต จากการสันนิษฐานของนักโบราณคดี เดิมที่นี่เป็นเส้นทางการค้าข้ามคาบสมุทรของชาวอินเดีย จีน อาหรับ และมลายู เนื่องจากเป็นเมืองท่าค้าขาย และที่จอดเรือหลบมรสุม บ่งบอกประวัติศาสตร์ของเกาะแห่งนี้ที่มีมานานนับพันปี
Ford Ranger Raptor บนทางทรายก็ไปได้
สำหรับไฮไลท์การทดสอบสมรรถนะของ Ford Ranger Raptor นั้น เห็นทีจะเป็นการขับขี่ในโหมด Mud/Sand ที่ริมชายหาด ซึ่งไม่ได้เห็น และมีโอกาสบ่อยนักที่จะได้สัมผัสกับการทดสอบรถกระบะในรูปแบบนี้ โดยทาง ฟอร์ด ประเทศไทย ได้รับอนุญาตให้สามารถจัดการทดสอบดังกล่าว โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม และเตรียมความพร้อมระมัดระวังในทุกขั้นตอนเพื่อให้แน่ใจว่าการจัดกิจกรรมนี้ไม่เป็นการรบกวนสิ่งมีชีวิตใดๆ ระหว่างการขับขี่
ทดสอบระบบ Terrain Management System ในโหลด Sand Mode ของดีที่มีใน Ranger Raptor
โดยการขับขี่ในโหมด Mud/Sand บนพื้นที่ที่เป็นหาดทรายนั้น ความยากของมันอยู่ที่การใช้คันเร่ง และการควบคุม ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนโหมดการขับขี่ TMS มาที่โหมด Mud/Sand เท่านั้น โดยระบบจะทำการปรับระบบป้องกันล้อหมุนฟรีให้ต่ำลง, พวงมาลัยจะมีความเบา และฉับไวยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับการหักเลี้ยวบนพื้นผิวที่หน่วงล้อ รวมไปถึงการเปลี่ยนเกียร์ในรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น เพื่อรักษาแรงบิดที่ล้อในการขับเคลื่อน ซึ่งหากเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อธรรมดา ที่ไม่มีโหมดการขับขี่ในทางทรายโดยเฉพาะอย่าง Raptor นั้น ก็คงจะไม่สามารถรอดพ้นกองทรายบนชายหาดไปได้ แต่ทว่าเมื่อเป็น Ford Ranger Raptor นั้น อุปสรรคดังกล่าวกลับผ่านมาได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เลี้ยงคันเร่งให้ต่อเนื่อง หักพวงมาลัยให้ตรงตามไลน์ ที่เหลือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และ TMS ใน Sand Mode จะจัดการให้คุณเอง แต่ถ้าหากว่าคุณติดอยู่ในกองทราย แนะนำว่าอย่าเร่งเครื่องจนเต็มที่ เพราะนั่นจะทำให้ล้อของคุณยิ่งจมลงไปในกองทรายเข้าไปใหญ่ ให้ใช้วิธีบิดล้อ และถอยหลังตั้งลำใหม่ แต่ถ้าหากคุณขับ Ford Ranger Raptor เพียงกดปุ่ม Diff Lock แล้วค่อยๆ กดคันเร่ง พร้อมบิดล้อช่วย เพียงเท่านั้น แรงบิดระดับ 500 นิวตัน-เมตร ก็จะพาคุณขึ้นมาจากหลุดทรายได้โดยไม่ต้องออกแรงให้ยุ่งยาก
ทดสอบโหมด Baja สำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูงที่มีเฉพาะใน Ford Ranger Raptor เท่านั้น
นอกจากนั้นแล้ว ทาง ฟอร์ด ประเทศไทย ยังได้จัดทำสนามทดสอบสำหรับโหมด Baja (บาฮา) โดยเฉพาะไว้อีกด้วย ซึ่งเป็นสนามแบบครอสคันทรี และมีเนินโดด เพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของระบบช่วงล่าง Fox Racing ของ Ford Ranger Raptor แต่ทว่าในการขับขี่ในโหมด Baja นั้น ทางทีมงาน BoxzaRacing เคยมีโอกาสได้สัมผัส และจัดเต็มไปแล้ว หากคุณอยากรู้ว่ามันเจ๋งขนาดไหน ติดตามได้ใน "Ford Ranger Raptor โคตรรถกระบะพันธุ์แกร่ง เกิดมาลุยทุกเส้นทาง"
ทางลุยก็สนุก ทางปกติก็สนั่น
นอกเหนือไปจากการทดสอบการขับขี่แบบออฟโรดในรูปแบบต่างๆ แล้ว ในการขับขี่บนถนนปกติ ทั้งแบบ 2H และ 4H เจ้า Ford Ranger Raptor ก็ยังมอบสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ในโหมด Sport ซึ่งจะสามารถลากรอบเครื่องยนต์ได้สูงขึ้น รวมถึงการค้างรอบเครื่องยนต์ได้นานกว่าโหมด Normal ซึ่งส่งผลให้การขับขี่มีความสนุกเร้าใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร Bi-Turbo สมรรถนะ 213 แรงม้า ซึ่งแบ่งการทำงานของเทอร์โบ 2 ตัวไว้อย่างชัดเจน โดยช่วงต้นของการออกตัว (หรือรอบต่ำ) ระบบเทอร์โบคู่ (ลูกเล็ก และลูกใหญ่) จะทำงานพร้อมกัน ซึ่งจะมีความรู้สึกหน่วงๆ เล็กน้อย โดยแรงบิดระดับ 500 นิวตัน-เมตร ไม่ได้ดึงจนรู้สึกว่าหลังติดเบาะ แต่จะมาแบบเรื่อยๆ (แบบแรงบิดลากจูง หรือบรรทุก) แต่เมื่อไหร่ที่รถลอยตัว (รอบสูง) เทอร์โบลูกใหญ่จะทำงานเพียงลูกเดียว ซุ่มเสียงกระหึ่มเร้าใจอย่างกับนั่งอยู่ใน Ford Mustang ตัวรถพุ่งทะยานราวกับนี่ไม่ใช่รถกระบะ ภายในห้องโดยสารเก็บเสียงได้อย่างดีเยี่ยม ตัวรถในย่านความเร็วสูงมีความนิ่ง (แม้ตัวรถจะสูง) การเข้าโค้งก็สามารถเกาะไลน์ได้อย่างเนียนตา และปลอดภัย
Ford Ranger Raptor โคตรรถกระบะ เจ้าของค่าตัว 1,699,000 บาท
ท้ายที่สุดนี้ คงต้องยืนยันอีกครั้งว่า "ไม่มีรถกระบะรุ่นไหนที่มีสมรรถนะเหนือชั้นไปกว่า Ford Ranger Raptor อีกแล้วในเวลานี้" ไม่ว่าจะเป็นความเร้าใจของขุมพลัง, ระบบช่วงล่างระดับเทพ Fox Racing, ดีไซน์อันดุดันฉบับกระบะอเมริกัน และระบบขับขี่ Terrain Management System (TMS) ซึ่งยากที่จะหารถกระบะรุ่นใดเทียบชั้นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความเร้าใจ และความสนุกในการขับขี่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าตัวระดับ 1,699,000 บาท
บทความอื่นๆ เกี่ยวกับ Ford Ranger Raptor
Ford เผยโฉม Ranger Raptor ครั้งแรกของโลก สุดยอดรถกระบะออฟโรดความเร็วสูง
Ford Ranger Raptor รถกระบะที่ร้อนแรงที่สุดในชั่วโมงนี้ กับค่าตัว 1.699 ล้านบาท !! มีดีอย่างไร?
Ford Ranger Raptor โคตรรถกระบะพันธุ์แกร่ง เกิดมาลุยทุกเส้นทาง
