เขียนโดย: D Wisanuporn

เมื่อ: 21 มิถุนายน 2567 - 16:00

ลองพลัง MG4 XPower งานนี้จะวิ่งกี่วิ กับระยะ 402 เมตร

        เป็นที่รู้กันว่ารถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 % นั้นมีความสามารถในการพุ่งทะยานออกด้วยได้อย่างรวดเร็ว บางคันเล่นเอาหน้าหงายหัวฟาดกันไปก็มี ทว่านั้นเป็นเพยวช่วงต้นในการออกตัว ส่วนช่วงปลายความเร็วนั้นก็ต้องไปรอลุ้น บางคันก็ไปได้ดีในขณะเดียวกันก็มีหลายรุ่นหลายคันที่ทำเอาผิดหวังไปเหมือนกัน 

 

 

       ด้วยเหตุผลที่หมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ ทำเอาเราทีมงานอยากลองพลังความเร็ว ความแรงของรถไฟ้ฟ้ากันแบบจริงจัง มีตัวเลขอ้างอิงไม่นับปากเปล่า เพื่อดูว่าไอ้ที่เขาว่าจี๊ดนั้นแน่จริงขนาดไหน และวันนี้ทีมงาน BoxzaRacing เลยต้องลองกันซักต้้ง แต่ครั้นจะวิ่งคันเดียวก็ดูจะไม่มันส์ ดูแห้งๆ ขาดอรรถรส ไหนๆ ก็มาทางของเราแล้ว ต้องมีคู่ประกบกันเล็กน้อย งานนี้จึงเกิด Project รถดีเซล ปะทะ รถอีวี 402 เมตร อย่างที่เห็น เอาเป็นว่าไม่รอช้ามาดูกันว่ารถที่เราเอามาลงแทร็กนั้น มีสเปคอะไร 

 

 

       และรถ BEV ที่เรามานำเป็นตัวเป้าคือรถจากค่าย MG อย่าง MG4 XPower รถที่กำลังอยู่ในกระแสว่า แรงจริง เบรกอยู่ไหม มาดูกันเลยว่ามีจุดเด่นตรงไหน สำหร้บ MG4 XPower  มาพร้อมกับโครงสร้าง NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM ที่เป็นนวัตกรรมการออกแบบโครงสร้างเพื่อรถยนต์ EV โดยเฉพาะ พัฒนาให้แบตเตอรี่ติดตั้งเป็นชิ้นเดียวกับตัวถัง ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ 320 กิโลวัตต์ หรือประมาณ 435 แรงม้า กับแรงบิดขนาดพอๆ กับรถบรรทุกที่ 600 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ แยกเป็นมอเตอร์หน้าที่ให้กำลัง 150 กิโลวัตต์ ส่วนด้านหลังให้กำลัง 170  กิโลวัตต์ ส่งกำลังไปที่ล้อด้วยมอเตอร์แบบ Permanent Magnet Synchronous ป้อนพลังไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion Battery ขนาด 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับการชาร์จทั้ง AC และ DC และ 26 นาที คือระยะเวลาในการรองรับการชาร์จสูงสุด 140 KW โดยมี ล้อขนาด 18 นิ้ว พร้อมกับยางขนาด 235 /45 R 18 รองรับแรงบิดก่อนลงสู่พื้นทั้ง 4 ล้อ แต่รับรองงานนี้ทยานออกแน่ สำหรับรุ่นนี้มีโหมดการทำงานให้เลือกทั้ง Eco, Normal และ Sport และสามารถเลือกการเรียกคืนพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ 

 

 

        แต่ที่สำคัญงานนี้ระยะเบรกมีไม่มาก ต้องอาศัยประสิทธิภาพของเบรคพอสมควร สำหรับรถคันนี้เป็นแบบ ดิสก์เบรกพร้อมช่องระบายความร้อนในส่วนของล้อหน้า ส่วนล้อหลังเป็นดิสก์เบรกเช่นกัน งานนี้ถือว่าเพียงพอเพราะไม่เพียงแค่เบรก ยังมีระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) อีกทั้งยังมีการหน่วงของมอเตอร์หลังยกคันเร่งอีก ถ้าเบรกไม่อยู่ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แต่ถ้าไม่อยู่จริงก็คงได้ใช้ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย ที่พร้อมทำงานร่วมกับ เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ งานนี้ไม่ตายแต่เจ็บไหล่แน่นอน ในส่วนอื่นๆ ที่รถคันนี้มีให้ในเรื่องของความปลอดภัยนั้นยังมีอีกหลายระบบ 

 

 

       แม้ว่าการวิ่งจะเป็นแบบทางตรงล้วนตั้งแต่ต้นจนจบ 402 เมตร แต่งานนี้ก็ใช้ว่าจะหมู เพราะกำลังของรถมีไม่น้อย ระบบช่วงล่างที่ดีย่อมส่งผลให้การออกตัวดี และวิ่งตรงยาวตามไปด้วย ซึ่ง MG4 XPower นั้นมีช่วงล่างเป็นแบบ อิสระแมคเฟอร์สันสตรัทที่ด้านหน้า ส่วนด้านหล้งเป็นแบบ อิสระ 5 ลิ้งก์ มาพร้อม ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) อีกทั้งยังมี ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) และแม้ว่างานนี้จะไม่ได้ใช้ระบบที่ว่า แต่คันนี้ยังมีระบบช่วยเหลือการขับอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) ระบบช่วยเตือนการชน FCW (Forward Collision Warning) หรือแม้แต่ ระบบช่วยเตือนการชน FCW (Forward Collision Warning) และอื่นๆ 

 

 

       และจากที่เห็นในการวิ่งทั้ง 3 Run รวมถึงการวิ่งแบบ Hot Lap แบบกดเต็มที่ครั้งนี้ สามารถสรุปสั้นๆ ได้ว่า BEV จากค่าย MG อย่าง MG4 XPower ที่นำมาลองสมรรถนะบนพื้นที่จำกัดกับระบบปิด นั้นสามารถสมรรถนะได้อย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องของพละกำลังที่มีกว่า 435 แรงม้า หรือแม้แต่แรงบิดที่มีให้ใช้ตั้งแต่ออกตัวที่ 600 นิวตัน-เมตร เป็นที่น่าพอใจสำหรับขาซิ่ง แม้เวลาที่ได้จากการวิ่งนี้จะไม่ได้ตรงตามที่โรงงานเครมไว้ รวมถึงอัตราเร่งจาก 0-100 ก็ตาม จะด้วยปัจจัยทางด้านตัวรถ เช่น ยางที่หมดสภาพ หรือปัจจัยภายนอกอย่าง สภาพพื้นผิวแทร็กที่ยังมีความชื้นอยู่ เพราะฝนตกก่อนลงไปวิ่ง ก็ยังเป็นที่น่าพอใจมาก ตัวรถมีการทรงตัวได้ดีตั้งแต่ออกตัว ไปจนถึงช่วงกลาง ยาวไปถึงปลายเส้น ความเร็วที่ได้อยู่ประมาณ 170 กิโลเมตรตัวชั่วโมง บวก-ลบ บ้างในบ้างครั้ง งานนี้ยังเห็นได้ว่าระบบช่วยเหลือการขับมีการทำงานอยู่ตลอดเวลา เพราะมีบางรอบที่ออกตัวแล้ว ลื่น แต่งานนี้ Traction Control แสดงตัวได้เร็วเกินคาดทำให้กดคันเร่งได้อย่างต่อเนื่อง

 

 

      งานนี้บอกได้เลยว่า สนุก ปลอดภัย กดเต็ม เบรกหนัก เอาอยู่่หมด ไม่ต้องเพื่อ เหมือนกับที่หลายๆ คนพูดกันว่า ไม่อยู่ เอาเป็นว่ารถคันนี้ยังเป็นรถที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับคนที่อยากได้ BEV ความแรงระดับ Super Car แต่ใช้งานได้ทุกวัน ด้วยเพราะตัวรถได้รับการออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้ทุกวัน เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยตวามสะดวก รวมถึงการตกแต่งให้มีความล้ำสมัยทั้งภายนอกที่ออกแบบให้มี Aero Dynamic เป็นตัวเสริมสมรรถนะในการขับได้เป็นอย่างดี โดดเด่นตั้งแต่ไฟหน้า LED Galaxy Technology Matrix พร้อม Daytime Running Lights หลังคาแบบ 2-Tone สปอยเลอร์หลัง Twin Aero Wing และไฟท้าย LED

        ภายในห้องโดยสารแบบ Minimal ให้ Feeling สปอร์ตกับเบาะหนัง Alcantara สีดำ เชื่อมต่อด้วย Wireless Charger รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และ Android Auto ผ่านช่องเชื่อมต่อ USB แสดงผลอย่างคมชัดผ่าน Touchscreen นับว่าไม่น้อยหน้ารถหรูค่ายอื่นทีเดียว และที่สำคัญกับราคาจับต้องได้อย่าง MG4 XPower คันนี้

 

Standard Range      ราคาเริ่มต้น 709,900 บาท

Long Range             ราคา           889,900 บาท

XPOWER                  ราคา        1,119,900 บาท

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook