BMW และ Mini จัดทัพยนตกรรมอันล้ำสมัยมาเปิดตัวในงาน Motor Expo 2015
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในตลาดรถยนต์หรู ด้วยการยกทัพรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์จาก BMW, Mini และBMW Motorrad แบบครบครัน มุ่งหน้าสู่งาน Motor Expo 2015 โดยมีไฮไลท์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น BMW Series 7 โฉมใหม่, BMW X5 eDrive โฉมใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยี ปลั๊กอิน ไฮบริด, BMW Series 3 ใหม่, BMW Series 1 พร้อมเครื่องยนต์รุ่นใหม่, BMW 520d M Sport และ BMW X4 xDrive20d M Sport ในราคาใหม่ ในส่วนของ Mini มีการเปิดตัว Mini Clubman โฉมใหม่เป็นครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน, Mini John Cooper Works โฉมใหม่ และ Mini Countryman Park Lane ใหม่ ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด มีดาวเด่นอย่างบีเอ็มดับเบิลยู G 310 R มาให้สาวกบิ๊กไบค์ได้ยลโฉมกันเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชีย ผู้สนใจสามารถพบกับข้อเสนอและราคาสุดพิเศษจากบีเอ็มดับเบิลยูได้ในงาน ตั้งแต่วันที่ 2 ถึง 13 ธันวาคม 2558 ที่ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี
BMW Series 7
รถยนต์ระดับแฟลกชิปที่มาพร้อมกับหน้าจอระบบสัมผัส ฟังก์ชันการสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือ และบีเอ็มดับเบิลยู ทัช คอมมานด์ ด้วยแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว
BMW 740Li 2016 ได้ติดตั้งหน้าจอควบคุม iDrive ระบบสัมผัสเป็นครั้งแรก ซึ่งนอกจากจะสามารถควบคุมระบบต่าง ๆ ในแบบเดิมแล้ว ระบบสัมผัสแบบใหม่นี้ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเลือกสั่งการ และควบคุมจากการสัมผัสหน้าจอได้เช่นกัน นอกจากนี้ ระบบ iDrive ยังรองรับการสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ หรือ BMW Gesture Control ที่ใช้เซ็นเซอร์ 3 มิติจับการเคลื่อนไหว เพื่อรับคำสั่งสำหรับระบบควบคุมความบันเทิง และการสื่อสาร จึงมอบความสะดวกสบายสูงสุดทั้งในการปรับระดับเสียง การรับหรือปฏิเสธสายเรียกเข้าโทรศัพท์ เป็นต้น
นอกจากนี้ BMW 740Li โฉมใหม่ ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมแบบมัลติฟังก์ชันอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู ทัช คอมมานด์ (BMW Touch Command) นวัตกรรมล่าสุดที่ให้คุณใช้อุปกรณ์แท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วควบคุมสั่งการรถได้จากทั้งภายใน และนอกตัวรถ โดยรองรับทั้งการปรับที่นั่ง แสงไฟภายในตัวรถ การปรับอุณหภูมิ และระบบความบันเทิง นำทาง และการสื่อสาร
ห้องโดยสารของ BMW 740Li โฉมใหม่ มีบรรยากาศที่หรูหราด้วยการออกแบบแสงไฟอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะไฟ Welcome Light Carpet ที่ให้ความรู้สึกเอ็กซ์คลูซีฟด้วยเส้นนำสายตารอบตัวรถประหนึ่งการปูพรมต้อนรับ ขณะที่อีกหนึ่งฟีเจอร์พิเศษอย่างไฟ Ambient Light ก็ช่วยสร้างบรรยากาศ เสริมความหรูหราให้กับห้องโดยสารได้เป็นอย่างดี
BMW 740Li โฉมใหม่ ยังมาพร้อมกับหลังคากระจกแบบ Sky Lounge Panorama ช่วยสร้างบรรยากาศเสมือนท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยดวงดาวหลากสี ด้วยชุดไฟแอลอีดีที่ส่องสว่างลงบนผิวกระจกในยามค่ำคืนจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ เป็นอีกหนึ่งความพิเศษเหนือระดับรถยนต์ซีดานหรูในเซ็กเมนต์เดียวกัน
อีกฟีเจอร์ใหม่ของ BMW 740Li ที่แตกต่างจากรถยนต์ซีดานในเซ็กเมนต์เดียวกันคือ บีเอ็มดับเบิลยู เลเซอร์ไลท์ (BMW Laserlight) ซึ่งคล้ายกับที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู i8 ด้วยเทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู เซเลคทีฟ บีม (BMW Selective Beam) ช่วยลดความพร่ามัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเพิ่มเติมจากไฟแอลอีดีในรุ่นมาตรฐาน ไฟหน้าแบบเลเซอร์นี้มีแสงสีขาวและให้ความสว่างได้ในระยะ 600 เมตร สำหรับไฟสูง ซึ่งเป็นระยะที่ไกลกว่าความสว่างจากไฟหน้าแบบแอลอีดีถึงสองเท่าและให้ความเข้มของแสงมากกว่าไฟหน้าแบบแอลอีดีถึงสี่เท่า
BMW 740Li โฉมใหม่มาพร้อมกับทุกองค์ประกอบเพื่อสร้างความแม่นยำ การเคลื่อนไหวในการขับขี่อย่างมั่นคงและ สอดประสานอย่างกลมกลืน ช่วงล่างแบบถุงลมซึ่งทำงานด้วยการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่อัดลมเข้าไปเก็บในถังลม ทำให้สามารถรักษาระดับของรถไว้ได้ แม้ในเวลาที่เครื่องยนต์หยุดทำงาน ระดับความสูงของรถจะถูกปรับให้คงที่อยู่เสมอไม่ว่าจะมีน้ำหนักบรรทุกเท่าไหร่ก็ตาม และเนื่องจากในแต่ละล้อมีตัวจ่ายลมที่ทำงานอย่างเป็นอิสระ จึงสามารถปรับระดับของรถให้เสถียรได้ แม้ว่าน้ำหนักในการบรรทุกของล้อแต่ละข้างจะไม่เท่ากัน
BMW 740Li โฉมใหม่นี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์รุ่นล่าสุดของบีเอ็มดับเบิลยู ด้วยปริมาตรกระบอกสูบขนาด 3 ลิตร ซึ่งใช้เทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 240 กิโลวัตต์/326 แรงม้า ที่ 5,500 ถึง 6,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 5.6 วินาที อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 14.3 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 166 กรัมต่อกิโลเมตร
BMW X5 eDrive 2016 พร้อมเทคโนโลยี ปลั๊กอิน ไฮบริด
BMW X5 xDrive40e เป็นรถยนต์ ปลั๊กอิน ไฮบริด รุ่นแรกในกลุ่มซีรี่ส์หลักที่ BMW นำมาทำตลาด โดยครบเครื่องด้วยประโยชน์ใช้สอย และความหรูหราในแบบรถยนต์ SAV เกาะถนนเป็นเลิศด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ BMW xDrive ทั้งยังประหยัดน้ำมันอย่างเหนือชั้นด้วยเทคโนโลยี BMW EfficientDynamics eDrive
เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรของ BMW X5 xDrive40e สามารถคว้ารางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี International Engine of the Year มาครองได้ถึงสามสมัย ด้วยสมรรถนะที่โดดเด่นจากเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ TwinScroll ระบบหัวฉีดน้ำมันที่มีความแม่นยำสูง และระบบ VALVETRONIC ซึ่งทำให้เครื่องยนต์รุ่นนี้เป็นขุมพลังเบนซิน 4 สูบที่ทรงพลังที่สุดของ BMW ส่งกำลังสูงสุดที่ 180 กิโลวัตต์/245 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตันเมตร (258 ปอนด์-ฟุต) สู่ล้อรถได้อย่างราบรื่นในทุกรอบเครื่อง
ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าก็มอบกำลังเพิ่มเติมสูงสุดอีก 83 กิโลวัตต์/113 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร (184 ปอนด์-ฟุต) ที่พร้อมตอบสนองในเสี้ยววินาทีตามสไตล์ระบบส่งกำลังไฟฟ้า ทำงานประสานกับเครื่องยนต์หลักเพื่อให้คุณขับขี่ได้สนุก ทันใจ เร่งความเร็วได้โดยไม่ต้องรอ BMW X5 xDrive40e เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 6.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยสามารถเลือกขับขี่โดยใช้พลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ที่ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อใช้งานร่วมกัน เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้จะมอบกำลังสูงถึง 230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า ให้คุณเร่งความเร็วได้อย่างใจนึก ทั้งยังประหยัดน้ำมันด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 31.3 กิโลเมตรต่อลิตรและลดระดับมลภาวะในการขับขี่กับอัตราการปล่อย CO2 ที่ 76 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
เทคโนโลยีปลั๊กอิน ไฮบริด ใน BMW X5 xDrive40e สามารถนำสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และยังสามารถขับขี่ในตัวเมืองได้โดยไม่ปล่อยมลภาวะออกจากท่อไอเสียเลย แบตเตอรี่ของรถมีความจุ 9 กิโลวัตต์ชั่วโมง และสามารถชาร์จได้กับปลั๊กไฟบ้านทั่วไป โดยมีช่องเก็บสายชาร์จอยู่ใต้พื้นที่เก็บของ
นอกจากนี้ เมื่อแบตเตอรี่หมด สามารถชาร์จด้วยไฟบ้านให้เต็มได้โดยใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง 50 นาที หรือเลือกเสริมประสิทธิภาพการชาร์จด้วยอุปกรณ์ บีเอ็มดับเบิลยู ไอ วอลล์บ็อกซ์ เพียว (BMW i Wallbox Pure) จาก BMW 360° ELECTRIC ที่ทั้งปลอดภัย ใช้งานง่าย และรวดเร็วด้วยกำลังไฟถึง 3.5 กิโลวัตต์ (16 แอมป์/230 โวล์ท) จึงสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง 45 นาที
BMW Series 3 2016
BMW Series 3 ใหม่ โดดเด่นด้วยงานออกแบบที่เฉียบคมในทุกรายละเอียด ด้วยชุดกันชนหน้าที่มีช่องระบายอากาศดีไซน์ใหม่ เน้นย้ำถึงความกว้างของตัวรถ เช่นเดียวกับชุดกันชนหลังและไฟท้ายแอลอีดีที่ช่วยเสริมมาดความสปอร์ตของตัวรถ ส่วนไฟหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมไฟแอลอีดีเพื่อการขับขี่ในเวลากลางวัน ก็ช่วยให้รถดูโฉบเฉี่ยวสะดุดตายิ่งขึ้น
เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4 สูบรุ่นใหม่ล่าสุดของ BMW ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในรุ่น BMW 320i, 320i Luxury และ 320i Sport ที่จะช่วยประหยัดน้ำมันด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการปล่อย CO2 ที่ 146 กรัมต่อกิโลเมตร อีกทั้งยังเปี่ยมสมรรถนะกับกำลังสูงสุด 184 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที จึงเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลา 7.3 วินาที
BMW 330i M Sport พร้อมต่อยอดความสำเร็จของ BMW 328i ด้วยเครื่องยนต์ที่มอบพลังสูงสุด 185 กิโลวัตต์/252 แรงม้าที่ 5,200-6,500 รอบต่อนาที ทำงานประสานกับเกียร์ 8 สปีด Steptronic ให้คุณเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 5.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุดถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 15.9 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการปล่อย CO2 ที่ 147 กรัมต่อกิโลเมตร สำหรับชุดอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นนี้ มีทั้งชุดแต่ง M Aerodynamic พวงมาลัยหนังแท้สไตล์ M ขอบประตูแบบ M แต่งโลโก้ M ด้านข้าง และล้อแม็กอัลลอย M น้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้วสีเทา Ferric Grey metallic
ส่วนในรุ่นดีเซล BMW 320d Luxury และ 320d Sport จะมาพร้อมกับขุมพลัง 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที ที่ประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 27 กิโลเมตรต่อลิตร พร้อมอัตราการปล่อย CO2 เพียง 99 กรัมต่อกิโลเมตร โดยจะทำงานร่วมกับระบบเกียร์ 8 สปีด Steptronic ใหม่ มีส่วนช่วยลดอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ด้วยประสิทธิภาพ อัตราการทดเกียร์ที่กว้างขึ้น และตัวแปลงแรงบิดที่สูญเสียกำลังน้อยลงในขณะเปลี่ยนเกียร์ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO2 ลงได้ราว 3 เปอร์เซ็นต์ และสำหรับรุ่น 320i Sport, 320d Sport และ 330i M Sport มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport 8 สปีด พร้อมก้านเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
BMW 118i Sport และ 118i M Sport พร้อมขุมพลังใหม่
BMW 118i รุ่นล่าสุดนี้ ได้พัฒนาต่อยอดจากรุ่นก่อนหน้า ซึ่งจะให้ขุมพลังใหม่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี EfficientDynamics เป็นคุณสมบัติมาตรฐาน พร้อมด้วยการปรับแต่งรายละเอียดด้านดีไซน์มากมายทั้งภายใน และภายนอกรถ โดยเพิ่มชุดอุปกรณ์ในรุ่นมาตรฐาน ควบคู่ไปกับออปชั่นใหม่ที่หลากหลาย เสริมทั้งประโยชน์ใช้สอยและรูปลักษณ์ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
โดย BMW 118i M Sport จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ เทคโนโลยี บีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 4,500-6,000 รอบต่อวินาที จึงเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 8.7 วินาที ทั้งยังใช้เชื้อเพลิงคุ้มค่าด้วยอัตราการเผาผลาญน้ำมัน 20.0 กิโลเมตรต่อลิตร และมีระดับการปล่อยก๊าซ CO2 เพียง 118 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น สำหรับ BMW 118i M Sport นั้น มาพร้อมชุดตกแต่งพิเศษ M Sport ที่มีทั้งล้ออัลลอย M Sport ขนาด 18 นิ้ว สีเทา Ferric Grey metallic แถบตกแต่งคอนโซลอลูมิเนียมลาย Hexagon ชุดแต่ง M Aerodynamic พร้อมด้วยเส้นสายขอบหน้าต่างสีดำเงาแบบ M และพวงมาลัยหุ้มหนังแท้แบบ M Sport
BMW 520d M Sport
BMW 520d พร้อมให้คุณยกระดับสมรรถนะไปอีกขั้นด้วยชุดแต่ง M Sport ที่มีทั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ บีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.7 วินาที โดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 19.2 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 137 กรัมต่อกิโลเมตร
ทั้งนี้ BMW 520d M Sport มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.5 นิ้วสำหรับควบคุมระบบต่าง ๆ ในตัวรถได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมด้วยระบบ BMW Comfort Access ที่ให้คุณเปิดประตูรถได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสเมื่อมีกุญแจติดตัว พร้อมไฟตัดหมอกแอลอีดี โดยตัวรถมาพร้อมกับชุดแต่ง M Aerodynamic พวงมาลัยหนังแท้สไตล์ M ขอบประตูแบบ M เพดานห้องโดยสารสีดำแอนทราไซต์จาก BMW Individual แต่งโลโก้ M ด้านข้าง และล้อแม็กอัลลอย M น้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้ว
BMW X4 xDrive20d M Sport 2016
BMW X4 xDrive20d M Sport คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างฟีเจอร์เด่นของยนตรกรรม BMW ตระกูล X พร้อมกับความสง่างามปราดเปรียวของดีไซน์แบบคูเป้สุดคลาสสิก ชุดแต่ง M Sport มอบความโฉบเฉี่ยวทั้งภายนอกและภายในให้กับบีเอ็มดับเบิลยู X4 ด้วยชุดแต่ง M Aerodynamic รวมถึงเส้นสาย High-gloss Shadow Line ของดีไซน์ภายนอก และล้ออัลลอยน้ำหนักเบาพิเศษแบบ M Sport ขนาด 19 นิ้ว มอบภาพลักษณ์ดีไซน์สปอร์ตควบคู่ไปกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ xDrive ที่เพิ่มความสนุกสนานยามขับขี่ พร้อมใส่ใจการดีไซน์ในทุกรายละเอียดด้วยพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มด้วยหนังแท้สไตล์สปอร์ตแบบ M เบาะนั่งแบบสปอร์ต และการตกแต่งภายในด้วยวัสดุอลูมิเนียม บรัช มอบความรู้สึกสไตล์สปอร์ตอย่างสมบูรณ์แบบ
โดย BMW X4 xDrive20d M Sport ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตร เทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมทั้งบล๊อก มอบกำลัง 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที โดยมีแรงบิดสูงสุดถึง 400 นิวตันเมตร ส่งผลให้ BMW X4 xDrive20d M Sport พุ่งทะยานจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 8 วินาที ทั้งยังมาพร้อมกับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่มอบประสิทธิภาพการประหยัดเชื้อเพลิงถึง 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร โดยมีอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 เพียง 149 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
นอกจากนี้ BMW X4 xDrive20d M Sport ยังเป็นรถยนต์รุ่นล่าสุดที่ประกอบขึ้นในประเทศไทยที่โรงงานของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จังหวัดระยอง โดยผู้สนใจสามารถจับจองได้ที่ราคา 3,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
ออปชั่นชุดแต่งพิเศษ : BMW M Performance
BMW Series 1 2016
BMW 118i สปอร์ต ได้สะท้อนความเป็นหนึ่งผ่านดีไซน์สปอร์ตใหม่ ของชุดแต่ง M Aerodynamic Kits ตะแกรงคู่หน้าสีดำ สปอยเลอร์ฝากระโปรงหลังและแผ่นเบี่ยงทางลมกระจกบังลมหลังสีดำ ฝาครอบกระจกมองข้างแบบคาร์บอน สติกเกอร์ M Performance และชุดเบรกคู่หน้าและคู่หลังซึ่งมีสีให้เลือกทั้ง แดง เหลือง และส้ม ข้อเสนอพิเศษเฉพาะในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2015 ในราคา 226,290 บาท (จากราคาปกติ 338,428 บาท)
BMW Series 4 2016
เพิ่มลุคสปอร์ตพร้อมสมรรถนะอีกขั้นด้วยชุดแต่งพิเศษแบบสปอร์ตสำหรับ BMW 420i Coupe M Sport ด้วยชุดแต่ง M Performance ประกอบด้วย ชุดแต่ง M Aerodynamic Kits, แผงดักอากาศใต้กันชนหน้าแบบสปอร์ต Front splitter, สปอยเลอร์ฝากระโปรงหลังและฝาครอบกระจกมองข้างแบบคาร์บอน, ตะแกรงคู่หน้าสีดำ, แผ่นปิดใต้กันชนหลังแบบสปอร์ต rear diffuser, ฝาครอบบันไดแบบ M และสติกเกอร์ M Performance นอกจากนี้ยังเสริมความปราดเปรียวด้วยสติกเกอร์คาดลายดำ-เงิน ตัวรถยังดูภูมิฐานขึ้นด้วยล้ออัลลอยแบบสปอร์ตพร้อมยางขนาดใหญ่ M Double Spoke 624 20” เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ด้วยชุดเบรกคู่หน้าและคู่หลังซึ่งมีสีให้เลือกทั้ง แดง เหลือง และส้ม ภายในรถยังมีชุดแต่งหน้ารถแบบคาร์บอน alcantara แพคเกจนี้นำเสนอในราคาพิเศษเพียง 468,650 บาท เฉพาะในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2015 (ราคาปกติอยู่ที่ 719,167 บาท)
Mini Clubman 2016
ด้วยความยาวที่เพิ่มขึ้น 27 เซนติเมตร กว้างขึ้น 9 เซนติเมตร และฐานล้อที่ยาวขึ้น 10 เซนติเมตร เมื่อเทียบกับรถยนต์มินิ แฮทช์ 5 ประตู Mini Clubman 2016 โฉมใหม่นี้ จึงเป็นรถยนต์ Mini ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ซี่งไม่เพียงเป็นการตีความใหม่ให้กับการเดินทางในแบบดั้งเดิมตามสไตล์อังกฤษ สำหรับศตวรรษที่ 21 แต่ยังเป็นการผจญภัยครั้งใหม่ของแบรนด์ มินิ ในเซ็กเมนต์รถยนต์คอมแพคระดับพรีเมี่ยม ที่มีช่องเก็บสัมภาระมากถึง 360 ลิตร และยังสามารถขยายขนาดเพิ่มขึ้นเป็น 1,250 ลิตร
ส่วนฝากระโปรงท้ายเป็นแบบบานพับสองข้างใช้วัสดุโลหะที่โดดเด่นสะดุดตาเป็นอีกจุดเด่นชวนมองในส่วนท้ายของ Mini Clubman ส่วนเสากลางระหว่างบานกระจกซ้าย-ขวา จะมีขนาดเล็กลงกว่าในรุ่นก่อนหน้า ซึ่งช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองด้านหลังให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งการเปิดฝากระโปรงท้ายยังสามารถทำได้ด้วยการใช้มือเปิดจากปุ่มที่มือจับฝากระโปรงทั้งสองข้าง ซึ่งทำจากวัสดุชุบโครเมียม หรือสามารถเปิดได้โดยไม่ต้องสัมผัสตัวรถด้วยการใช้เท้าไปจ่อที่บริเวณใต้กันชนท้าย ฝากระโปรงท้ายก็จะเปิดโดยอัตโนมัติทีละข้าง ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถใช้งานได้เมื่อผู้ขับมีกุญแจรถอยู่กับตัว ปิดท้ายด้วยนวัตกรรมการจัดไฟแบบพิเศษเฉพาะสำหรับ มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน และ มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน ไฮทริม โฉมใหม่ มีทั้งไฟหน้าแอลอีดี ไฟแอลอีดีสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน ไฟท้ายแอลอีดี และไฟตัดหมอกแอลอีดี เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
ในส่วนของการจัดแสงไฟภายในห้องโดยสาร จะใช้ทั้งไฟ LED และแสงไฟแอมเบียนท์เพื่อสร้างบรรยากาศ และมาพร้อมกับฟีเจอร์พิเศษ MINI Excitement Package ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนสีได้ พร้อมตอบสนองด้วยแสงสีทันทีที่เปิดหรือปิดประตูรถ นอกจากนี้ ยังเพิ่มลูกเล่นการฉายไฟรูปโลโก้ มินิ จากกระจกมองข้างลงมาบนพื้นถนนฝั่งคนขับเมื่อทำการปลดล็อกรถยนต์อีกด้วย
Mini Clubman 2016 ได้มีเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดมาให้เลือกถึง 3 รุ่น โดยขุมกำลังของ Mini รุ่นใหม่นี้ ประกอบด้วยเทคโนโลยี มินิ ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ให้อารมณ์ในการขับขี่แบบโกคาร์ทโดยเพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์ด้านต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น โดยเริ่มจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ใน Mini Cooper S Clubman 2016 โฉมใหม่ ที่ให้กำลังขับเคลื่อนสูงสุดอยู่ที่ 141 กิโลวัตต์/192 แรงม้า (อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 5.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ระดับการปล่อย CO2 อยู่ที่ 141 กรัมต่อกิโลเมตร) ต่อด้วย Mini Clubman กับเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ กำลังขับเคลื่อน 100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า (อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 5.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ระดับการปล่อย CO2 อยู่ที่ 125 กรัมต่อกิโลเมตร) สำหรับ Mini Cooper D Clubman จะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ กำลังขับเคลื่อน 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า (อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 4.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ระดับการปล่อย CO2 อยู่ที่ 130 กรัมต่อกิโลเมตร)
Mini John Cooper Works 2016
Mini John Cooper Works 2016 รถยนต์ที่ผสมผสานความเร้าใจจากสนามแข่งกับความหรูหราเต็มเปี่ยมของ Mini รุ่นล่าสุด ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นแต่ยังคงเอกลักษณ์สุดคลาสสิกไว้อย่างครบครัน ต่อยอดจากรถยนต์ต้นแบบเพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่ในระดับรถแข่งพันธุ์แท้
Mini John Cooper Works 2016 มาพร้อมกับที่สุดแห่งขุมพลังสปอร์ตจาก Mini กับเครื่องยนต์ 4 สูบที่ติดตั้งแบบ transverse ต่อด้วยการอัพเกรดระบบส่งกำลังให้ทำงานราบรื่นด้วยเทคโนโลยี มินิ ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ให้คุณขับขี่ได้คล่องตัว รวดเร็ว พร้อมท้าทายทุกสนามแข่ง โดยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรรุ่นนี้มีปริมาตรกระบอกสูบมากกว่ารุ่นก่อน 25 เปอร์เซ็นต์ พร้อมมอบสมรรถนะสูงขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ และแรงบิดเพิ่มมากขึ้นอีก 23 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ขุมพลังใหม่ของ Mini John Cooper Works ถือเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดที่ Mini เคยนำออกมาทำตลาด โดยมีกำลังสูงสุดถึง 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า ซึ่งจะทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังที่เน้นสมรรถนะเป็นหลัก และเสียงเครื่องยนต์อันทรงพลังจากลูกสูบ เทอร์โบชาร์จเจอร์ เสริมความเร้าใจด้วยท่อไอเสียที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ โดยเครื่องยนต์รุ่นนี้มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร อีกทั้งยังมีอัตราปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 148 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
นอกจากนี้ Mini John Cooper Works ยังมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครด้วยระบบแสดงผล MINI Head-Up Display พร้อมคอนเทนต์พิเศษในรุ่นนี้เฉพาะ หลังคาและกระจกมองข้างสีแดง Chili Red ล้อแม็กอัลลอยน้ำหนักเบา จอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์ ขนาด 18 นิ้ว และแถบสีแต่งกระโปรงรถลายจอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์ ส่วนระบบช่วงล่างทำงานสอดประสานกับเครื่องยนต์อย่างสมบูรณ์แบบ ควบคู่ไปกับเบรกระดับสปอร์ตรุ่นใหม่จากเบรมโบ ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ เซอร์โวทรอนิก ที่ใช้ทั้งระบบไฟฟ้าและกลไกผสมผสานกัน และเทคโนโลยี Dynamic Stability Control ที่มีทั้งคุณสมบัติ Dynamic Traction Control (DTC), Electronic Differential Lock Control (EDLC) และ Dynamic Damper Control ติดตั้งมาในตัวเป็นมาตรฐาน
Mini Countryman Park Lane 2016
Park Lane เป็นหนึ่งในย่านพักอาศัยที่หรูหราและน่าอยู่ที่สุดในลอนดอน โดยตั้งอยู่ในย่านเมย์แฟร์ ซึ่ง มินิ เองก็มีโชว์รูมอยู่ในย่านนี้หนึ่งสาขา และก็ได้หยิบยืมชื่อ Park Lane มาตั้งเป็นชื่อรุ่นพิเศษเป็นครั้งที่สาม เพื่อสืบทอดความสำเร็จของมินิ พาร์คเลน รุ่นไฮเอนด์สุดคลาสสิกตัวแรกเมื่อปี 2530 และรุ่นที่สองจากปี 2548 โดยถือเป็นครั้งแรกที่ มินิ นำเอาธรรมเนียมการเอาชื่อถนนและย่านต่าง ๆ ในลอนดอนมาตั้งชื่อให้กับรถในรุ่นคันทรีแมน
Mini Cooper SD ALL4 Countryman Park Lane ได้เปี่ยมไปด้วยความหรูหราที่จะจับทุกสายตาด้วยดีไซน์ และสีสันพิเศษสุดเฉพาะตัว ด้วยตัวถังสีเทาเมทัลลิก Earl Grey จับคู่กับหลังคา และกระจกมองข้างสีแดง Oak Red เสริมด้วยการแต่งแถบสีสไตล์สปอร์ตในสีเดียวกับกระโปรงรถ กันชนท้าย และส่วนข้างตัวรถ ขณะที่ไฟเลี้ยวติดตั้งในกรอบชุบโครเมียมที่แต่งด้วยสีแดง Oak Red เช่นกัน นอกจากนี้ ตัวรถยังเสริมความสปอร์ตด้วยล้อแม็กอัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้วสีเทาในดีไซน์ Turbo Fan Dark Grey พร้อมตกแต่งรอบตัวถังด้วยชิ้นส่วนกันชนและขอบประตูสีเงินในชุดแต่ง MINI ALL4 Exterior
Mini Cooper SD ALL4 Countryman Park Lane ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดีเซล มินิ ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งผลิตจากอลูมิเนียมทั้งบล็อก มอบกำลังสูงสุด 143 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 305 นิวตันเมตร โดยมีอัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงที่ 14.3 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการปล่อย CO2 ที่ 184 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
BMW แต่ละรุ่นจะมีราคาดังนี้
Mini มีราคาดังต่อไปนี้
ท่านสามารถเยี่ยมชมบูท BMW M Performance accessories เพื่อรับข้อเสนอพิเศษอื่นๆ สำหรับ BMW Series 3, BMW Series 5 และ BMW X5 และพบกับชิ้นส่วนชุดแต่ง M Performance อื่นๆ อาทิ ปลายท่อไอเสียแบบท่อคู่ แผ่นปิดแป้นคันเร่งและที่พักเท้า และชุดล้ออัลลอยแบบพิเศษได้ในงาน Motor Expo 2015 ระหว่างวันที่ 2-13 ธันวาคมนี้