เขียนโดย: Pajingo

เมื่อ: 9 กรกฏาคม 2558 - 12:08

Toyota Hilux REVO vs. VIGO กับความเหนือชั้น เมื่อเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด

 

Toyota Hilux REVO vs. VIGO กับความเหนือชั้น เมื่อเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด

 

          

          Toyota Hilux REVO รถกระบะตระกูลล่าสุดที่เพิ่งจะเผยโฉมอย่างเป็นทางการไปแบบสดๆ ร้อนๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีภาพหลุดต่างๆ รวมถึงราคาออกมาให้มโนกันมากมาย แต่ในท้ายที่สุด...บางสิ่งอย่างก็อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด โดยเฉพาะเรื่องของค่าตัว ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ก็เริ่มต้นที่เพียง 569,000 บาท และรุ่นท็อปสุดที่ 1,139,000 บาท ก็เป็นราคาที่ดูแล้วสมน้ำสมเนื้อกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกอัดแน่นเข้าไป จนช่วยส่งให้รถกระบะ Toyota Hilux REVO เป็นปิคอัพแห่งอนาคตได้อย่างเต็มภาคภูมิ เอาเป็นว่า...เรามาดูกันดีกว่า “สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาของ REVO เมื่อเทียบกับเจนเนอเรชั่นก่อนอย่าง VIGO มีอะไรที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนบ้าง”

 

 

                ประเด็นแรก...สิ่งที่ผู้คนจะมองเป็นอันดับต้นๆ ในการจะเลือกซื้อรถ คงหนีไม่พ้นเรื่องของภาพลักษณ์ที่ต้องมีความโดดเด่น โดนในผู้บริโภค การกลับมาของกระบะไฮลักซ์ในเจนเนอเรชั่นที่ 8 ทางค่ายยังเน้นมุมมองที่หรูหราซ่อนความแข็งแกร่งจากเส้นสายที่ถูกเพิ่มเข้าไปอย่างชัดเจน ซึ่งดูแล้วอาจจะไม่ได้มีลุคดุดันสุดโต่งอย่างค่ายคู่แข่งฝั่งมะกัน หรือเน้นความแปลกใหม่ในใกล้เคียงซีดานเหมือนค่ายร่วมชาติ แต่โดยรวมแล้วก็น่าจะถูกใจคนที่ชอบอะไรที่มีความเป็นมาตรฐาน เมื่อเทียบกับ VIGO ลักษณะของตัวรถจะให้ความรู้สึกว่าดูเพรียวลมมากขึ้น จากการเพิ่มความยาวของตัวรถขึ้นอีกเล็กน้อย พร้อมกับลดความสูงลงมา ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อรวมกับองค์ประกอบอื่นๆ เช่น การใช้ฝากระโปรงแบบเรียบ แทนแบบเก่าที่มีสคู๊ปดักลมเพื่อเป่าอินเตอร์คูลเลอร์แล้ว จะส่งผลโดยรวมต่อเรื่องของอากาศพลศาสตร์ที่ทำได้ดีมากขึ้น

 

 
 

                ประเด็นที่ 2...เครื่องยนต์ คือ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการพิจารณา แน่นอนว่าทิศทางในปัจจุบัน แทบจะทุกค่ายเน้นการพัฒนาเครื่องยนต์จากการลดขนาดความจุ เพื่อเน้นเรื่องความประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะที่เต็มเปี่ยมเช่นเดิม (หรือมากกว่า) จากเดิมเครื่องยนต์ตระกูล KD ใน VIGO แต่สำหรับเครื่องยนต์บล็อกใหม่ภายใต้รหัส GD มาแบบเหนือชั้นโดยพร้อมรองรับในระดับยูโร 4 โดยจากเดิมที่มาในพิกัด 2.5  และ 3.0 ลิตร (144 และ 171 แรงม้า) ได้รับการปรับไซส์ให้เหลือ 2.4 และ 2.8 ลิตร โดยมีระดับแรงม้าแตกต่างกันออกไปในแต่ละรุ่น เริ่มตั้งแต่ 150 แรงม้า จนถึง 177 แรงม้า มาพร้อมระบบระบบ Stop & Start System เพื่อช่วยลดอัตราการ พร้อมปรับแรงบิดให้สูงขึ้นในระดับบนสุดถึง 450 นิวตัน-เมตร จากเดิมที่สูงสุดเพียง 360 นิวตัน-เมตร เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีรุ่นที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบ็นซินพิกัด 2.7 ลิตร มาเป็นทางเลือกในทุกๆ ตั้งแต่หัวเดี่ยว, สมาร์ทแค็ป และรุ่น 4 ประตู

                ประเด็นที่ 3...ระบบส่งกำลังได้รับการพัฒนามาอย่างชาญฉลาด และออกแบบให้มีอัตราทดที่ต่อเนื่องขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานในทุกรูปแบบอย่างเหมาะสม โดย VIGO จะมาพร้อมชุดเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ในรุ่นสุดท้าย แต่สำหรับ Toyota Hilux REVO สร้างความเหนือชั้นด้วยระบบเกียร์ธรรมดาอัจฉริยะ iMT 6 สปีด ที่มีสวิตช์ปรับรูปแบบการขับขี่ทั้ง ECO Mode และ Power Mode รวมไปถึงเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่เน้นให้สามารถเรียกแรงบิดในรอบต่ำ และสร้างความประหยัดในย่านความเร็วสูงขึ้นไป พร้อมทั้งมีระบบป้องกันล้อหมุนฟรี A-TRC (Active Traction Control) ซึ่งเมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับได้ว่าล้อใดเริ่มสูญเสียพลังการขับเคลื่อน ระบบจะลดแรงขับที่ส่งไปยังล้อนั้น เพื่อป้องกันล้อหมุนฟรี และเพิ่มแรงขับไปยังล้อที่เหลือ โดยจะทำงานร่วมกับระบบล็อกเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า

 

 

                ประเด็นที่ 4...ช่วงล่างที่ทางค่ายคอนเฟิร์มอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเหนือชั้นกว่าทุกการทรงตัว โดยมาในแบบ Dynamic Control Suspension (DCS) ที่ทุกชิ้นส่วนผ่านการทดสอบมาอย่างทรหดในทุกสภาพถนน จนได้มาซึ่งผลลัพท์อันเป็นที่สุดแห่งความแข็งแกร่ง ให้ความโดดเด่นทั้งในด้านการทรงตัว รวมไปถึงความนุ่มนวลที่เป็นเลิศ จากการปรับแหนบให้มีความยาวเพิ่มขึ้นและเพิ่มระยะห่างระหว่างด้านซ้าย-ขวา พร้อมทั้งปรับเลย์เอาท์และขนาดของโช้กอัพซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับแชสซีส์ใหม่ FIRM (Frame with Integrated Ridgidity Mechanism) ที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้นอีก 20% ช่วยดูดวับแรงสั่นสะเทือน และซับแรงกระแทกจากการชนได้มากกว่า VIGO ถึง 15% นอกจากนี้แล้ว เฉพาะในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล จะมีระบบควบคุมเสถียรภาพภายในห้องโดยสารติดตั้งมาให้ด้วย

 

 
 

                ประเด็นที่ 5 ...ห้องโดยสารเป็นสิ่งที่จะอดพูดถึงไม่ได้เลย โดยเฉพาะกับ VIGO ที่มีเสียงมาอย่างหนาหูว่า “การออกแบบภายในอาจจะไม่หวือหวาเท่าใดนัก หากเทียบกับคู่แข่งหลายๆ ค่าย” ซึ่งไม่ใช่กับ Toyota Hilux REVO ที่ทำการบ้านข้อนี้มาเป็นอย่างดี ช่วยส่งให้ภายในของกระบะรุ่นล่าสุดนี้ ดูทันสมัยและเปี่ยมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เมื่อได้เข้าไปสัมผัสในห้องโดยสาร ให้ความรู้สึกเดียวกับนั่งอยู่ในรถซีดานของทางค่าย อุปกรณ์ต่างๆ ที่จัดมาให้ดูมีลูกเล่นมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย มาตรวัดแบบเรืองแสงโทนสีฟ้า ระบบเครื่องเสียงพร้อมเนวิเกเตอร์ขนาด 7 นิ้ว พร้อมช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์ความบันเทิงมากมาย รวมไปถึงกล่องเก็บของที่คอนโซลหน้าฝั่งซ้าย ที่มาพร้อมระบบรักษาความเย็น หรือที่ทางค่ายเรียกกันว่า Cool Box ซึ่งเป็นลูกเล่นที่เราแทบไม่ค่อยได้เห็น แต่มีใน Toyota Hilux REVO

 

 
 
 
 
 
 
 

                ประเด็นที่ 6...นอกจากที่กล่าวมาแล้ว Toyota Hilux REVO ยังโดดเด่นด้วยระบบความปลอดภัยอันเหนือชั้นที่ถูกติดตั้งเพิ่มเข้ามา เช่น ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC (Trailer Sway Control) โดยเมื่อวิ่งบนพื้นถนนขรุขระ หรือใช้งานลากจูง
และต้องเผชิญลมพัดขวางรุนแรง เซ็นเซอร์จะปรับแรงดันเบรกและกำลังของเครื่องยนต์ให้เหมาะสม เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพ ป้องกันรถส่ายหรือเสียการทรงตัว, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-Start Assist Control) เมื่อต้องออกตัวบนทางลื่นและลาดชันระบบจะเพิ่มแรงดันเบรกไปทั้ง 4 ล้อ แบบอัตโนมัติ เพื่อป้องกันลื่นไถลลงเนินชัน ในจังหวะที่ผู้ขับขี่ถอนเท้าจากแป้นเบรกไปเหยียบคันเร่ง, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC (Downhill Assist Control) ซึ่งเมื่อต้องขับเคลื่อนลงเนินชัน ระบบจะควบคุมแรงดันเบรกที่ล้ออัตโนมัติ โดยผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องแตะเบรก ช่วยให้เคลื่อนที่ลงเนินชันด้วยความเร็วสม่ำเสมอควบคุมได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ยังมาพร้อมถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 ตำแหน่ง ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดากระบะที่มีขายในบ้านเรา

 

 
 

          ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ หัวใจหลักที่ช่วยยกระดับมาตรฐานของกระบะรุ่นล่าสุดอย่าง Toyota Hilux REVO ที่ให้ความโดดเด่นมากกว่าเจนเนอเรชั่นก่อนอย่างชัดเจน ซึ่งก็อย่างที่บอกไปในเบื้องต้น ว่าแม้ราคาจะขยับขึ้นมาเล้กน้อย แต่เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีด้านต่างๆ ที่ได้มาอย่างสมบูรณ์แบบ ก็คงทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยทุกท่านสามารถติดตามความเคลื่อนไหวพร้อมสาระแห่งโลกยานยนต์ทุกรูปแบบได้ทาง BoxzaRacing

 

 

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook