เป็นเรื่องปกติ เมื่อ Premium Van สัญชาติญี่ปุ่น อย่าง Toyota Majesty ถูกจับมัดมือเปรียบมวยกับคู่แข่งตรงรุ่นสัญชาติเกาหลีอย่าง Hyundai H1 ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว แต่งานนี้มีนัยยะ แล้วสิ่งนั้นคืออะไรทีมงาน boxzaracing มีคำตอบ
หลังจากที่ Hyundai ประสบความสำเร็จด้วยการเป็นเจ้าตลาด Premium Van ด้วยการนำเอา H1 ออกจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2008 และมียอดสะสมกว่า 30,000 คัน ครองตำแหน่งเรื่องยอดจำหน่าย Premium Van สูงสุดนานจนถึงปี 2016 ซึ่งเป็นปีที่ เปิดตัว H1 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ และรุ่น Grand Starex MC 16 มาวันนี้คู่แข่งอย่าง Toyota ก็ขยับตัวเข้ามาในตลาดนี้ด้วยการเปิดตัว Toyota Majesty อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2019 ในงาน Bangkok International Grand Motor Sale เจ้าตลาดอย่าง Hyundai จะถูกแย่งตำแหน่งไป หรือว่า Toyota Majesty นี้ ต้องพบกับงานหนัก กับการเข้ามามีส่วนแบ่งทางการตลาดช้าเกินไปหรือไม่
Toyota Majesty
Hyundai Grand Starex
เอาเป็นว่ามาเริ่มเริ่มวิเคราะห์กันคร่าวๆ เริ่มจาก Hyundai ที่มีแนวทางในแบบ The Concept of Newness & Richness เป็นการชูจุดเด่นในเรื่องความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาพลักษณ์ และการใช้งาน เมื่อดูจากดีไซน์แล้วก็เป็นไปตามยุคสมัยที่ต้องปรับเปลี่ยน เพราะออกมาก่อนหลายปี โดยรุ่นที่เด่นสุดเป็น New Grand Starex เพราะเป็นรุ่นล่าสุดแล้วสำหรับ Model H1 มีจุดเด่นที่เรื่องของโครงสร้าง ตรงเสารถลักษณะ Four Rings หรือวงแหวน 4 วง และส่วนสำคัญอื่นๆ ซึ่งทำจากเหล็ก High Tensile Strength Steel เรียกว่ามีเทคโนโลยีล้ำไม่น้อย ในขณะที่ Toyota Majesty มาพร้อมกับโครงสร้างแบบวงแหวน 4 วง ไม่ต่างกัน ดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ แต่ใกล้เคียงกันกับกระจังหน้าโครเมียม พร้อมไฟหน้าแบบ LED พร้อม DRL รวมถึงไฟตัดหมอก ไฟท้ายดีไซน์ใหม่แบบ LED กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว และประตูบานสไลด์อัตโนมัติ 2 ด้าน พร้อมระบบป้องกันการหนีบ ส่วนล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
ที่ผ่านมา Hyundai New Grand Starex โชว์ความโดดเด่นในเรื่องของดีไซน์ จะเห็นว่ากระจังหน้าดูดี หรูราจากสีโครเมี่ยม แถมติดตั้งกล้องไว้อย่างกลมกลืน ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์เลนส์ พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และ New Fog Lamps ไฟตัดหมอกรูปทรงใหม่ ไฟท้ายแบบ LED และ Dual Power Sliding Doors ที่ช่วยให้ผู้โดยสารขึ้น-ลงจากรถได้ทั้ง 2 ข้าง ควบคุมการเปิด-ปิดด้วยรีโมทและปุ่มควบคุมจากในรถ เสาอากาศวิทยุแบบ Short-Type บานกระจกที่ประตูสไลด์ เมื่อปิดกระจกจะดูเรียบสนิทไปกับตัวรถส่วนนี้ดูแล้วไม่ขัดตาแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ล้ออัลลอยด์ขนาด 16 นิ้ว แบบ Machined-Finish จะเห็นว่ามีรายละเอียดที่ถูกปรับ และพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แม้จะเล็กน้อย แต่ก็เพื่อความเหมาะสมกับค่าตัว
ภายในเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าการจะเลือกใช้รถประเภทนี้มาใช้งาน ก็ต้องดูเรื่องของ สิ่งอำนวยความสะดวกที่จะมาตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ที่ไม่ได้เป็นแค่คนขับ ซึ่งรถสัญชาติเกาหลีตอบสนองได้ค่อนข้างครบ ทั้งพวงมาลัยปรับตำแหน่งได้ตามขนาดตัวของผู้ขับ ปรับได้ทั้งสูง-ต่ำ และเข้า-ออก ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง รับ-วางสายโทรศัพท์ หน้าจอแสดงข้อมูลแบบ Digital เบาะนั่งของคนขับ สามารถปรับความเย็น หรืออุ่นได้ 3 ระดับ เป็นการเพิ่มความสบายในการขับระยะทางไกล เบาะแถว 2 ปรับหมุนได้ 180 องศา ช่อง Power Outlet จ่ายไฟ 12V ติดตั้งบริเวณคอนโซลกลางด้านล่าง สำหรับการต่อหรือชาร์จไฟอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ และ Rear A/C Air Vents with separate Controls หรือปุ่มปรับอากาศแยก สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง หน้าจอขนาด 8 นิ้ว พร้อม DVD ลำโพง 6 ตำแหน่ง ช่องต่อ HDMI ระบบบลูทูธรองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้านหลังยังมาพร้อมกับ จอมอนิเตอร์ ขนาดใหญ่ 13.3 นิ้ว เชื่อมต่อความบันเทิงกับเครื่องเล่น DVD ที่ด้านหน้า
ส่วนของของ Toyota All New Majesty นั้น ได้รับการออกแบบให้ดูหรูหราใกล้เคียงกัน สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานครบ พวงมาลัยลายไม้พร้อมปุ่มควบคุม มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ที่นั่งปรับนอนไฟฟ้าพร้อมที่รองขาปรับอัตโนมัติ จุดยึดเบาะหนังสำหรับเด็ก 4 ตำแหน่ง ที่นั่งแบบ Captain Seat พร้อมระบบบริหารหลังไฟฟ้า ระบบควบคุมอุณหภูมิให้ความเย็นสบายตลอดการเดินทาง ที่วางแก้วน้ำและช่องต่อ USB 7 ตำแหน่ง ม่านบังแดดและไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร บันไดขึ้น-ลง
Captain Seat พร้อมระบบบริหารหลังไฟฟ้าของ Toyota
Hyundai ใช้ที่นั่งแบบ Captain Seat เช่นเดียวกัน
เชื่อมต่อกับทุกสิ่งด้วยระบบ T-Connect Telematic พร้อมด้วย GEO-Fencing ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากบริเวณที่กำหนด Fine My Car ที่สามารถเช็คตำแหน่งรถผ่านแอพพลิเคชั่น SOS Emergency Service ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง My Toyota Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อได้พร้อมกันสูงสุดถึง 9 อุปกรณ์ Parking Alert ระบบแจ้งเตือนผ่าน Notification เมื่อรถถูกสตาร์ทหรือเคลื่อนที่ OPS (Operator Service) ผู้ช่วยค้นหาเส้นทางตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการจองร้านอาหารชั้นนำเพื่อความสะดวกสบาย ก็ดูเหมาะกับการใช้ชีวิตประจำวันดี
ครื่องยนต์ดีเซล 2.5 CRD ให้กำลัง 175 แรงม้า แรงบิด 441 นิวตัน-เมตร ของ Hyundai
เครื่อง 2.8 ลิตร ของ Toyota กำลังสูงสุด 163 แรงม้า
เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 CRDi ( Commonrail Direct Injection) พร้อมเทอร์โบแบบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า แรงบิด 441 นิวตัน-เมตร ซึ่งตอบสนองได้ค่อนข้างทันใจ ทุกช่วงความเร็ว ที่สำคัญเครื่องยนต์รูปแบบนี้ ก็ขึ้นชื่อเรื่องความประหยัดอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของระบบช่วงล่างเป็นแบบ 5-Link Rigid Axle พร้อม Coil Springs แน่นอนว่าให้ทั้งการยึดเกาะ และความนุ่มนวลในเวลาเดียวกัน ต้องบอกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างมีผลต่อการตัดสินใจ เลือก ยิ่งเป็นรถที่ไม่ได้ใช้งานเพียงคนเดียว การทำให้ระบบช่วงล่างตอบสนองได้อย่างที่ต้องการ ผู้ผลิตต้องให้ความสำคัญ และจากที่เห็น Hyundai New Grand Starex ก็ทำไว้ได้ดี ส่วน Toyota All New Majesty ใช้เครื่องยนต์ความจุมากกว่าที่ 2.8 ลิตร รองรับน้ำมันดีเซล B20 กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,200 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังแบบ 4-Link Rigid Axle พร้อม Coil Springs ดูจะด้อยกว่าเล็กน้อย
ระบบป้องกันทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ ของ Hyundai New Grand Starex มีมาให้ครบ ทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ช่วยในการควบคุมทิศทางเมื่อต้องเบรกกะทันหัน ถุงลมนิรภัยทั้งด้านหน้าและด้านข้างใหม่ ปกป้องคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าจากการชนแบบ Frontal และ Side Impact หรือด้านข้าง ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ทำงานร่วมกับระบบป้องกันล้อล็อค และระบบควบคุมเสถียรภาพ ช่วยในการควบคุมทิศทางเมื่อต้องเบรกกะทันหัน ซึ่งเหมาะกับรถขนาดใหญ่แบบนี้ เช่นเดียวกับ Back Sensor ระบบสัญญาณเตือนกะระยะถอยหลัง ที่จะทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ R แน่นอนว่ารถสัญชาติเกาหลีนี้ก็ทำได้ดีตั้งแต่แรก แต่อย่างที่บอกว่า เทคโนโลยีมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้อาจจะดูธรรมดาเกินไปสำหรับรถในยุคนี้
ระบบการจัดการของ Hyundai New Grand Starex มีมาให้ครบ
แน่นอนว่ารุ่นใหม่อย่าง Toyota All New Majesty ย่อมได้เปรียบเพราะสิ่งต่างๆ นั้นถูกพัฒนามาเป็นของใหม่ ครบครันด้วยระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้น อาทิ ถุงลมเสริมความปลอดภัย 9 ตำแหน่ง ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ กล้องมองรอบคัน มาพร้อมกับระบบ Toyota Safety Sense ที่ประกอบไปด้วย รวมไปถึงระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Lane Departure Alert) ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams) เรียกว่าอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาแบบครบครันขั้นสูงสุด อาทิ ช่องต่อ USB 7 ตำแหน่ง ม่านบังแดด และไฟอ่านหนังสือ ให้เกิดความผ่อนคลายตลอดการเดินทาง พร้อมระบบ เชื่อมต่อกับทุกสิ่งด้วยระบบ T-Connect Telematic พร้อมด้วย GEO-Fencing ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากบริเวณที่กำหนด Fine My Car ที่สามารถเช็คตำแหน่งรถผ่านแอพพลิเคชั่น SOS Emergency Service ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง My Toyota Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อได้พร้อมกันสูงสุดถึง 9 อุปกรณ์ Parking Alert ระบบแจ้งเตือนผ่าน Notification เมื่อรถถูกสตาร์ทหรือเคลื่อนที่ OPS (Operator Service) ผู้ช่วยค้นหาเส้นทางตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการจองร้านอาหารชั้นนำเพื่อความสะดวกสบายทุก การเดินทาง
Toyota All New Majesty มีเทคโนโลยีล้ำสมัยไม่ต่างกัน
หากดูจากสิ่งต่างๆ แล้ว การหยิบยกเอารถรุ่นใหม่ที่เปิดตัวไม่ถึงเดือนมาเปรียบเทียบกับรถที่ออกมานานกว่า 10 ปี ค่อนข้างจะแตกต่างซึ่งก็ไม่แปลก อย่างที่บอกว่าการเปรียบเทียบของรถสองรุ่นนี้ เป็นเพียงกระแสของโลกยานยนต์เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่จะนำมาชักจูงให้คนเลือกรุ่นใหม่มากกว่ารุ่นเก่า ซึ่งหากให้พูดตรงๆ ควรดูที่การเปลี่ยนแปลงของรถแต่ละรุ่นมากกว่า ว่ามีการ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบันมากน้อย อีกเรื่องที่อย่างให้เก็บเอาไปคิดกับระยะเวลาของรถที่ออกจำหน่ายนั้นแตกต่างกัน ยอดจำหน่ายสะสมต่างกันแบบไม่ต้องกดเครื่องคิดเลข ถามง่ายๆ ไม่ต้องตอบ ว่าคุณต้องการซื้อรุ่นไหน ภายใต้เงื่อนไขราคาใกล้กัน ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ชื่นชอบ แต่หากรุ่นเก่ายังดีอยู่ก็น่าสน
ส่วนเรื่องของสมรรถนะในการขับ นั้นคงต้องรถเทียบกันอีกครั้ง เพราะงานนี้ยังไม่รู้ว่า คู่แข่งของ Hyundai อย่าง Toyota นั้นจะออกมารูปแบบใด อย่างที่บอกว่างานนี้ต้องดูกันยาว แม้ว่าทั้งสองรุ่นจะได้รับความสนใจอย่างมากในเวลานี้เพราะเรื่องของกระแสรถใหม่ที่ต้องหาคู่เปรียบ แต่อย่าลืมว่ากลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการเป็นเจ้าของรถ Premium Van นั้นย่อมมีกำลังมากพอที่จะเป็นเจ้าของรุ่นใดก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นสองค่ายนี้ การที่ทั้งสองรุ่นถูกนำมาเปรียบเทียบกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากพูดถึงความเป็นจริงแล้วดูจะไม่เกียรติค่ายอื่นๆ ที่มีรถระดับ Premium Van อยู่เช่นกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้ถูกจำหน่ายโดยตรงจากตัวแทนของผู้ผลิตหรือ เรียกว่าดีลเลอร์ แต่จะอยู่ในตลาด Gray Market เกือบทั้งหมด แน่นอนว่าผู้สนใจที่จะหามาใช้ก็ยังมีทางเลือกมากมาย ยิ่งเรามองลึกลงไปถึงพฤติกรรมการเลือกซื้อรถของคนในประเทศ เอาไว้มีโอกาสทีมงานจะนำเอารถในกลุ่ม Premium Van รุ่นอื่นๆ มานำเสนอให้กัน หรือหากต้องการให้จับรุ่นไหนมาชนกันก็แนะนำมา ทีมงาน Boxzaracing พร้อมจัดให้