ปี 2018 คอมแพ็คครอสโอเวอร์ได้กลายเป็นกลุ่มรถยนต์ที่ร้อนแรงที่สุดในไทย หลังจากที่ Toyota ได้ส่ง All-New Toyota C-HR ได้เผยโฉมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา หลายค่ายรถจากประเทศญี่ปุ่นต่างไม่รอช้าที่จะเข็นรุ่นปรับโฉมใหม่มากระตุ้นตลาดให้ร้อนแรงอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Honda ที่ส่ง Honda HR-V โฉมไมเนอร์เชนจ์ ล่าสุด Mazda ก็ได้เผยโฉม Mazda CX-3 โฉมไมเนอร์เชนจ์ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ปลุกความสนุกในการขับขี่ยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการเปรียบเทียบ 3 รถคอมแพ็คครอสโอเวอร์โฉมใหม่ที่ลุยตลาดอย่างเต็มรูปแบบในปี 2018
สำหรับรุ่นที่จะนำมาเปรียบเทียบในครั้งนี้ ฝั่ง Mazda ส่งรุ่น CX-3 รุ่น 2.0 SP ส่วน Honda ส่ง HR-V รุ่น RS และ Toyota ส่ง C-HR รุ่น 1.8 Mid ทุกรุ่นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินความจุตั้งแต่ 1.8 - 2.0 ลิตร
ภายนอก
Mazda CX-3 ได้รับการปรับบุคลิกใหม่ มอบความดุดัน ทันสมัยยิ่ง โดยที่ยังคงบุคลิกที่ดูสปอร์ต มีชีวิตชีวา ตามแนวคิดการออกแบบของ โคโตะ ดีไซน์ หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันงดงาม ด้านออพชั่นมาตรฐาน ประกอบไปด้วย ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED, ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวันแบบ LED Signature, ไฟตัดหมอก, ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่, กระจกกรองแสงรอบคัน พร้อมลดเสียงรบกวนจากภายนอก, ท่อไอเสียปลายคู่พร้อมปลอกโครเมียม และหลังคาซันรูฟไฟฟ้า
Honda HR-V RS ได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ ที่แสดงถึงความทันสมัยซึ่งถ่ายทอดจาก Honda Civic ด้วยไฟหน้า LED แบบใหม่ล่าสุด พร้อมไฟส่องกลางวัน LED Daylight ซึ่งได้รับการออกแบบให้ลงตัวกับกระจังหน้าทรงใหม่, ไฟท้าย LED แบบ Tube ที่สะท้อนความหรูหรามากยิ่งขึ้น, กระจกมองข้างพร้อม Honda LaneWatch ที่ช่วยจับภาพมุมอับพร้อมแสดงผลบนหน้าจอ, ชุดแต่งสไตล์สปอร์ต บ่งบอกความเป็นรุ่น RS และหลังคาพาโนรามิคซันรูฟที่มีขนาดใหญ่กว่า ดูหรูหราไม่น้อย
Toyota C-HR เป็นรถคอมแพ็คครอสโอเวอร์ที่โดดเด่นด้านการดีไซน์ที่ดูสะดุดตา ไม่ว่าจะเป็นตัวถังสีเดียวหรือตัวถังสีทูโทนก็ตาม (เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด) ซึ่งบุคลิกรถนั้นได้แรงบันดาลใจจากรูปทรงเหลี่ยมมุมอันเป็นเอกลักษณ์ของเพชร ผสมผสานกับความทันสมัยของเทคโนโลยีและเทรนด์ ด้านออพชั่นมาตรฐาน จะมีทั้งไฟหน้า Bi-Halogen พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบ Follow-Me-Home, กระจกหน้าปรับพับด้วยระบบไฟฟ้า, กระจกบังลมหน้าแบบกันเสียงรบกวน (Acoustic Glass), ขอบกระจกหน้าต่างโครเมียม เป็นต้น
ทั้ง 3 รุ่นต่างมีการออกแบบและฟังก์ชั่นที่โดดเด่น ครบครับ จึงต้องตัดสินกันต่อด้วยรายละเอียดมิติตัวถัง ซึ่งทั้ง 3 รุ่น มีรายละเอียดดังนี้
มิติตัวถัง | Mazda CX-3 | Honda HR-V RS |
Toyota C-HR |
ยาว x กว้าง x สูง (มม.) | 4,275 X 1,765 X 1,535 | 4,346 x 1,790 X 1,605 | 4,360 x 1,795 x 1,565 |
ระยะฐานล้อ (มม.) | 2,570 | 2,610 | 2,640 |
ระยะห่างระหว่างล้อหน้า - หลัง (มม.) | 1,525 - 1,520 | 1,535 - 1,540 | 1,550 - 1,570 |
ความสูงใต้ท้องรถ (มม.) | 160 | 170 | 154 |
น้ำหนักรถ (กก.) | 1,303 | 1,297 | 1,385 |
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร) | 48 | 50 | 50 |
ภายใน
Mazda CX-3 ได้รับการออกแบบภายในที่สะท้อนถึงความเป็นรถยนต์หรูสไตล์ยุโรป ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์และออพชั่นภายในหลายรายการ ทั้งการปรับเปลี่ยนไปใช้ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมเพิ่มช่องเก็บของใหม่หลายจุด ด้านออพชั่นมาตรฐาน ประกอบไปด้วย วัสดุตกแต่งภายในผ้า Grand Luxe Suede สีเทา / ด้ายสีเทา, เบาะนั่งหุ้มหนัง, พนักพิงเบาะด้านหลังแบบแยกปรับพับ 60:40, หน้าจอสี Center Display แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander, ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านบลูทูธ (Bluetooth) พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Recognition), ลำโพง 6 ตัว เป็นต้น
Honda HR-V RS ยังคงถ่ายทอดภายในที่กว้างขวาง หรูหรา และทันสมัย ซึ่งภายในนั้นได้รับการตกแต่งเพิ่มด้วยวัสดุสีดำ Piano Black ร่วมกับวัสดุตกแต่งภายในใหม่ ซึ่งภายในยังคงโดดเด่นด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส, กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ, มาตรวัดเรืองแสงปรับเปลี่ยนได้ 7 สี พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลแบบ LCD, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ที่มีสวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ พร้อมปุ่มควบคุมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่, ลำโพง 6 ตัว นอกจากนี้ ยังสามารถปรับเปลี่ยนภายในห้องโดยสารให้สามารถบรรทุกสิ่งของได้มากถึง 3 แบบ ได้แก่ Long Mode ขยายพื้นที่ในรูปแบบแนวยาว, Tall Mode พับเบาะนั่งด้านหลังเพื่อเพิ่มความสูง และ Utility Mode พับเบาะด้านหลังทั้งหมดเพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกท้ายรถ เรียกได้ว่าเป็นรถที่อเนกประสงค์จริงๆ
และ Toyota C-HR ได้รับการออกแบบเพื่อถ่ายทอดบรรยากาศภายในที่หรูหราด้วยโทนสีภายในดำและน้ำตาล พร้อมกับการออกแบบจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่ยกสูงขึ้นกว่าระดับแนวแผงคอนโซลกลาง ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น รองรับ ด้านออพชั่นมาตรฐาน จะได้รับทั้ง จะมีทั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติปรับอิสระแยกซ้าย-ขวา, ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start) และระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry), ปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้าด้านคนขับ (Lumbar Support), จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว และลำโพง 6 ตำแหน่ง
เครื่องยนต์
เริ่มจาก Mazda CX-3 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร Skyactiv-G ให้สมรรถนะสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 204 นิวตัน-เมตร ที่ 2,800 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Skyactiv Drive นอกจากนี้ยังได้เพิ่มระบบช่วยประหยัดน้ำมัน i-STOP และสวิตช์ Drive Selection สามารถเลือกขับขี่ในโหมด Sport ได้ ให้อัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นในรอบเครื่องยนต์สูง ขับสนุกไม่ต่างจากเกียร์ธรรมดา ที่มีเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์เบนซินเท่านั้น
ทางด้าน Honda HR-V RS ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.8 ลิตร i-VTEC ให้สมรรถนะสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 172 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมระบบ Shifting Control of Cornering Gravity & G Design Shift
และ Toyota CH-R รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ได้ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 1.8 ลิตร ให้สมรรถนะสูงสุด 140 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Shift Lock
ระบบความปลอดภัย
แน่นอนว่า สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการเดินทาง ทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร โดยซับคอมแพ็คครอสโอเวอร์ทั้ง 3 รุ่น ต่างจัดระบบความปลอดภัยที่ทันสมัยในทุกๆ ด้าน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
Mazda CX-3 ในรุ่นนี้จะได้รับเทคโนโลยี i-Activsense ที่สามารถคาดการณ์และส่งสัญญาณเตือนผู้ขับขี่ให้เพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้นในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ Mazda Radar Cruise Control (MRCC), ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ Smart City Brake Support ที่มีทั้ง SCBS และ SCBS-R ช่วยเบรกรถได้ทั้งด้านหน้า กับด้านหลัง, ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน Lane Departure Warning System (LDWS) และอื่นๆ อีกมากมาย ร่วมกับระบบความปลอดภัยมาตรฐาน อาทิ ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง, ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมระบบ Auto Brake Hold, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual Airbag, ABS - EBD - BA, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Dynamic Stability Control (DSC) เป็นต้น
Honda HR-V ในรุ่น RS จะได้รับรับบความปลอดภัยเฉพาะรุ่นอย่าง ระบบเตือนและช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ (City Brake Active System) เพิ่มมาหนึ่งรายการ ส่วนระบบความปลอดภัยอื่นๆ จะได้รับทั้งระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch), และถุงลมนิรภัย 6 จุดรอบห้องโดยสาร, ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock), ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (MA-EPS), ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA) เป็นต้น
และ Toyota C-HR จะได้รับระบบความปลอดภัยมาตรฐานหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัย SRS ทั้ง 7 จุดรอบห้องโดยสาร (คู่หน้า/ด้านข้าง/ม่านด้านข้าง/หัวเข่าฝั่งคนขับ), สัญญาณเตือนกะระยะด้านหน้า ท้าย และที่มุมกันชน ทั้ง 8 จุด, กล้องมองภาพขณะถอยหลัง, ระบบควบคุมการทรงตัว Vehicle Stability Control (VSC) และอื่นๆ อีกมากมาย
ราคา
Mazda CX-3 รุ่น 2.0 SP ราคา 1,083,000 บาท
Honda HR-V รุ่น RS ราคา 1,119,000 บาท
Toyota C-HR รุ่น 1.8 Mid ราคา 1,039,000 บาท
สรุป
Mazda CX-3 แม้จะเป็นรุ่นเครื่องยนต์เบนซินระดับท็อป แต่เมื่อเทียบกับออพชั่นอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในราคาไม่ถึง 1.1 ล้านบาท ก็ถือได้ว่ามีราคาที่น่าสนใจไม่น้อย ครบครันทั้งความหรูหรา ทันสมัย สมรรถนะที่แรงกว่าใคร และให้คุณสนุกกับการขับขี่ด้วย G-Vectoring Control แต่หากลูกค้าต้องการขุมพลังที่หลากหลาย ก็ยังมีตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร Skyactiv-D ในราคาที่ 1,189,000 บาท
Honda HR-V ที่นำมาเปรียบเทียบนี้ จะมีความได้เปรียบเป็นพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ รุ่น RS ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุด แม้ว่าจะมีราคาที่สูงถึง 1,119,000 บาท แต่ถ้าเทียบกับรุ่นท็อปสุดของแบรนด์อื่น ก็จะมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า โดย Honda HR-V จะมีจุดเด่นที่สามารถปรับเปลี่ยนภายในห้องโดยสารให้สามารถบรรทุกสิ่งของได้มากถึง 3 แบบ ได้แก่ Long Mode ขยายพื้นที่ในรูปแบบแนวยาว, Tall Mode พับเบาะนั่งด้านหลังเพื่อเพิ่มความสูง สำหรับการบรรทุกของที่มีความสูง และ Utility Mode พับเบาะด้านหลังทั้งหมดเพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระท้าย
ทางด้าน Toyota C-HR เป็นรถที่เปี่ยมไปด้วยสไตล์ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ภายในที่สวยงามทันสมัย รวมไปถึงเป็นรถที่มีมิติตัวถังใหญ่ที่สุดในคลาส กว้างขวาง ดูดุดัน แต่หากลูกค้าเลือกรุ่น HV Hi ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดของ C-HR จะได้รับระบบความปลอดภัยที่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert (RCTA), ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมระบบ Dynamic Radar Cruise Control, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High Beams), ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert with Steering Assist) เป็นต้น พร้อมขุมพลังไฮบริดที่พัฒนาใหม่ล่าสุด ในราคา 1,159,000 บาท