เขียนโดย:

เมื่อ: 5 กรกฏาคม 2561 - 13:22

จับ 5 Mini MPV ในท้องตลาดมาประชันกัน ต้อนรับการมาของ Mitsubishi Xpander

          ความน่าสนใจรถยนต์ประเภท Mini Mpv นั่นก็คือความหลากหลายในการใช่สอย ซึ่งนอกเหนือจากการใช้เป็นยานพาหนะทั่วไปแล้ว ยังสามารถใช้ขนของได้ เดินทางไกลได้ และยังสามารถบรรทุกคนได้มากกว่ารถเก๋งทั่วไปอีกด้วย หากใครมีครอบครัวใหญ่ คงมองหารถยนต์ประเภทนี้ไว้ใช้เป็นแน่ เพราะทั้งประหยัด และราคาไม่แพงจนเกินไปนั่นเอง

 

          การมาของ Mitsubishi Xpander ทำให้ตลาดในกลุ่ม Mini MPV ดูกระชุ่มกระชวยขึ้นมาไม่น้อย วันนี้ทีมงาน Boxzaracing จึงได้รวบรวม รถยนต์ประเภท Mini MPV ในท้องตลาดบ้านเรา ว่ามีรุ่นไหน ยี่ห้ออะไร ราคาเท่าไหร่กันบ้าง มาให้ได้ชมกันครับ

 

Toyota Sienta 

          รถอเนกประสงค์ประตูสไลด์ข้าง 2 ฝั่งซ้าย-ขวา ดีไซน์ทันสมัย ไฟหน้าโปรเจคเตอร์พร้อม LED Daylight, ไฟท้าย LED แบบ Light Guiding และล้ออัลลอย 16 นิ้ว ภายในมีระบบอินโฟเทนเมนต์ที่สั่งการผ่านจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติควบคุมอุณหภูมิแบบ Digital, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, กุญแจรีโมท

 

 

          ทางด้านพื้นที่โดยสาร 3 แถว 7 ที่นั่ง พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง, ช่องเก็บของกระจายตามจุดต่างๆ, แผงคอนโซลฝั่งผู้โดยสารมีระบบรักษาความเย็น (Cool Box) ส่วนเบาะนั่งแถวสองและแถวสาม สามารถพับอิสระแบบ 50:50 ง่ายแค่เพียงสัมผัส (1-Touch Tumble) เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกรถแล้ว ยังรองรับการขยายพื้นที่ห้องจัดเก็บสัมภาระท้ายรถได้ตามความต้องการ รวมไปถึงเบาะแถวสองที่สามารถเลื่อนได้ เพื่อปรับพื้นที่ห้องโดยสารแถวสามให้กว้างขึ้น

 

 

          เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC DUAL VVT-i  108 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 140 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมระบบ Sport Sequential Shift 7 สปีด รองรับเชื้อเพลิง E20  

Toyota Sienta ราคาเริ่มต้น 750,000-865,000 บาท

 

Suzuki Ertiga 

          ได้รับการปรับปรุงหน้าตาใหม่ให้มีความหรูหรา สวยงาม ดูสปอร์ต ด้วยช่องดักลมที่กระจังหน้าขนาดใหญ่ ไฟหน้า 3 ชั้น ได้แก่ ไฟหน้ามัลติรีแฟล็กเตอร์, ไฟ LED Daylight และไฟตัดหมอก, สเกิร์ตข้าง, กระจกมองข้างพับไฟฟ้าที่เสริมไฟเลี้ยว, ล้ออัลลอยลายใหม่ 15 นิ้ว, ไฟท้ายดีไซน์ใหม่

 

 

          ด้านพื้นที่โดยสาร 3 แถว 7 ที่นั่ง มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งช่องเก็บของรอบห้องโดยสาร, ช่องแอร์ด้านหลัง, ช่องจ่ายไฟขนาด 12V 2 ตำแหน่ง ส่วนเบาะนั่งแถว 2 สามารถพับอิสระแบบ 60:40 ส่วนแถว 3 จะเป็นแบบ 50:50 เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกรถ แล้วยังรองรับการขยายพื้นที่ห้องจัดเก็บสัมภาระท้ายรถได้ตามความต้องการ รวมไปถึงเบาะแถว 2 ที่สามารถเลื่อนได้ เพื่อปรับพื้นที่ห้องโดยสารแถว 3 ให้กว้างขึ้น

 

 

          Ertiga ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.4 ลิตร(เล็กสุดในกลุ่ม)  92 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมบรรจุเทคโนโลยีเพื่อลดมลพิษ และประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น สามารถรองรับน้ำมัน E20 ปิดท้ายด้วยระบบส่งกำลังที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

Suzuki Ertiga ราคาเริ่มต้น 655,000-715,000 บาท

 

 

Honda Mobilio

          โดดเด่นด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ไฟหน้าพร้อมไฟหรี่แบบ LED ล้อขนาด 15 นิ้ว ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบาย ล้ำสมัยด้วยคอนโซลหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมฟังก์ชั่นเพื่อการควบคุมที่ใช้งานง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส อาทิ มาตรวัดเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ, ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ และระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 6.1 นิ้ว ที่สามารถเชื่อมต่อภาพและเสียงผ่าน HDMI มีให้เลือกทั้งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง และ 2 แถว 5 ที่นั่ง

 

          Mobilio ใช้เครื่องยนต์ SOHC i-VTEC 1.5 ลิตร 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที ระบบเกียร์เป็นแบบ CVT ใหม่ ที่พัฒนาภายใต้ Earth Dreams Technology ให้อัตราการประหยัดน้ำมันและตอบสนองทุกการขับขี่ ทั้งยังรองรับพลังงานทางเลือก E85  

Honda Mobilio ราคาเริ่มต้น 659,000 - 763,000 บาท

 

 

Toyota Avanza 

          ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ รูปทรงสปอร์ต ลงตัวกับชุดแต่งสปอร์ตรอบคัน ทำให้เป็นรถอเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่ง ที่ให้ความรู้สึกสปอร์ตในทุกมุมมอง ส่วนอุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ ก็จัดอย่างครบครัน ทั้งกระจกมองข้างปรับไฟฟ้า, สปอยเลอร์ท้ายพร้อมไฟเบรคดวงที่ 3, สเกิร์ตข้างเพิ่มความสปอร์ตและล้ออัลลอย 15 นิ้ว

 

 

        ภายใน มาตรวัดลายใหม่พร้อมจอแสดงข้อมูลแบบ MID, จออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมแอพพลิเคชั่น Tconnect และเชื่อมต่อด้วย USB กับ Bluetooth ด้านพื้นที่โดยสารนั้นจะมีเบาะนั่ง 3 แถว 6 ที่นั่ง พร้อมระบบปรับอากาศด้านหลัง ส่วนการขยายพื้นที่สัมภาระท้ายนั้น ทั้งเบาะนั่งแถว 2 และแถว 3 จะสามารถพับแบบ 50:50 ที่แยกอิสระจากกัน

 

 

          Avanza ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลัง 102 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิด 134 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที พร้อมระบบวาล์วอัจฉริยะ VVT-i ที่สามารถควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิงได้อย่างมาประสิทธิภาพ ประหยัดเป็นเลิศและลดมลพิษจนสามารถผ่านมาตรฐาน Euro4 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ECT 

Toyota Avanza ราคาเริ่มต้น 605,000 - 729,000 บาท

 

 

Honda BR-V 

          มาพร้อมกับบุคลิกที่ให้ความแข็งแกร่งจากกระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่, ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟหรี่แบบ LED ที่ออกแบบให้รับกับกระจังหน้า, ไฟตัดหมอกในรุ่น SV, ไฟท้ายแบบ LED ดีไซน์รูปตัว C Shape, สปอยเลอร์ท้าย, มือจับเปิดประตูแบบโครเมียม, ราวหลังคาอเนกประสงค์, ขอบโครเมียมข้างประตู, กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว, ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าและด้านหลัง และล้ออัลลอย 16 นิ้ว

 

 

           สำหรับพื้นที่โดยสาร จะมีด้วยกัน 2 แบบ เป็นแบบเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยพนักพิงเบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถปรับเอนได้ถึง 2 ระดับ พร้อมกับปรับเลื่อนหน้า-หลัง เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเข้า-ออกบริเวณแถวที่ 3 ได้สะดวกยิ่งขึ้น เบาะนั่งแถวที่ 3 มีพื้นที่วางขาที่กว้าง พนักพิงสามารถพับแยกแบบ 50:50 หรือพับไปด้านหน้า 2 จังหวะ เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้าย ที่สำคัญยังมาพร้อมกับระบบปรับอากาศด้านหลัง เพื่อกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึง และแบบเบาะนั่ง 2 แถว 5 ที่นั่ง ให้พื้นที่สัมภาระท้ายที่กว้างขวาง แถมเสริมถาดรองกันลื่นกันสิ่งสกปรก และสามารถขยายพื้นที่ได้ด้วยเบาะนั่งแถวที่ 2 โดยสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 พร้อมพับได้ในจังหวะเดียว (One Motion) ที่สำคัญใต้เบาะนั่งแถว 2 ก็มีกล่องอเนกประสงค์สำหรับใส่สิ่งของอีกด้วย

 

 

          BR-V ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร SOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว หัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI ที่ให้กำลังขับเคลื่อนสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 146 นิวตัน-เมตร 4,700 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ใหม่ ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีมเทคโนโลยี ที่ให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม อีกทั้งยังรองรับพลังงานทางเลือก E85 ได้อีกด้วย 

Honda BR-V ราคาเริ่มต้น 750,000 - 820,000 บาท

 

 

Mitsubishi Xpander 

         Mini MPV สไตล์ครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ล่าสุด ถ้าตามสเปคอินโดนิเซีย จะมีด้วยกัน 6 รุ่นย่อย สำหรับออพชั่นเด่นๆ จะได้รับทั้งระบบไฟหน้า 3 ชั้น ได้แก่ ไฟส่องกลางวัน ไฟหน้า และไฟตัดหมอก, กระจกมองข้างปรับพับไฟฟ้า, ไฟท้าย LED, ห้องโดยสาร 7 ที่นั่ง, เรือนไมล์ความคมชัดสูงพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, จอสัมผัส, ลำโพง 6 ตัว, กล้องมองหลัง, Keyless Entry และปุ่ม Push Start, ระบบไฟส่องนำทาง (Follow me Home), ระบบเบรก ABS - EBD - BA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว (ASC), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCL) เป็นต้น โดยมีข้อมูลว่าสเปคไทยอาจจะได้ออพชั่นที่ดีกว่านี้

 

 

           Xpander จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว ความจุ 1.5 ลิตร MIVEC ให้สมรรถนะสูงสุด 103 แรงม้า (77 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด กับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตาดูกันว่า สเปคจะเป็นอย่างไร ส่วนราคานั้น ด้วยส่วนตัว คงไม่หนีจากเพื่อนๆในกลุ่มนี้สักเท่าไหร่ อยู่ที่ออฟชั่นที่ให้มา หากอลังกว่ากว่าชาวบ้านเค้า ราคาก็คงต้องสูงกว่าอย่างแน่นอน

 

 

           อย่างไรก็ตาม ทีมงาน BoxzaRacing ได้รับเชิญจาก Mitsubishi ให้ร่วมทดสอบ Xpander ก่อนเปิดตัวในช่วงวันที่ 11-12 ก.ค.นี้ และคงได้มีอะไรดีๆมาเล่าสู่กันฟังอย่างแน่นอน

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook