เขียนโดย: Monster Racing

เมื่อ: 27 ธันวาคม 2561 - 15:41

10 วิธีดูรถมือสอง ก่อนตัดสินใจซื้อ

          ในปัจจุบัน รถยนต์ถือเป็นปัจจัยหลัก และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชีวิตประจำวันมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลายท่านก็คงมีโครงการที่จะซื้อรถไว้ใช้งานดีๆ สักคัน แต่บางครั้งรถมือหนึ่งก็อาจจะมีราคาสูงเกินไป เลยต้องหันมาซื้อรถมือสองแทน แต่การที่จะซื้อรถมือสองนั้น หลายท่านอาจจะเคยประสบปัญหาว่า ไม่มีประสบการณ์ในการซื้อรถ และไม่รู้วิธีดูว่าจะเริ่มดูจากตรงไหน ทาง BoxzaRacing จึงรวบรวมเอา 10 วิธีการดูรถมือสอง มาให้ชมเป็นเกร็ดความรู้ เพื่อป้องกันการโดนย้อมแมว และเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจในการซื้อรถมือสองให้คุณได้ทราบโดยทั่วกัน

 

ดูปีที่ผลิตของรถคันนั้น

 

1. ดูปีของรถ

          สิ่งแรกที่ควรต้องรู้ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์มือสองสักคัน ก็คือ ปีของรถคันนั้น ซึ่งควรจะดูจากปีที่ผลิต ไม่ใช่จากปีที่จดทะเบียน เพราะหลายครั้งหลายหนเต็นท์รถมือสอง หรือผู้ขายบางราย ชอบประกาศขายจากปีที่จดทะเบียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราดูรู้ว่ารถมีอายุการใช้งานทั้งหมดมากี่ปีแล้ว เพื่อประเมินสภาพคร่าวๆ ของตัวรถได้

 

ตรวจเช็คเลขไมล์

 

2. เลขไมล์

          เมื่อทราบปีของรถที่เราหมายปองแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องรู้ก็คือเลขไมล์ (ระยะทางที่วิ่งมาทั้งหมด) ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วระยะทางต่ออายุการใช้งาน 1 ปี นั้นจะอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 กม./ปี โดยคุณสามารถนำไปคำนวณกับปีรถจากข้อที่ 1 ได้ โดยหากเลขไมล์มีความใกล้เคียงกับเลขที่คำนวณก็ถือว่ารถคันนั้นอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถ้าหากว่ามากกว่านั้น อาจจะถูกใช้งานมาหนักกว่าปกติ และถ้าหากน้อยกว่านั้นก็ถือว่าใช้งานไม่หนัก แต่ !!! ถ้าเลขไมล์น้อยกว่าที่คำนวณไปกว่าครึ่ง คุณอาจจะโดนเต็นท์รถย้อมแมวแล้วก็ได้ ให้สอบถาม และตรวจสอบให้ดีอีกที

 

ตรวจเช็คสภาพภายนอก

 

3. สภาพภายนอก

          เมื่อทราบปีของรถ และระยะทางที่พึ่งพอใจแล้ว ต่อมาก็คงต้องมาดูสภาพภายนอกของตัวรถโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นการทำสี, รอยเฉี่ยวชน, รอยบุบ, สนิม, การแตกหัก รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ภายนอก ว่าทุกอย่างอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ พร้อมใช้งานหรือไม่ นอกจากนี้คุณสามารถดูแชสซีส์ของตัวรถได้จากพื้นที่จัดเก็บสัมภาระด้านท้าย ว่ามีการคดงอ และซ่อมตัวถังมาหรือไม่จากอุบัติเหตุ เพราะถ้าอู่ซ่อมเก็บงานไม่เนี้ยบจริงๆ ก็ยากหากจะทำให้เป็นปกติเหมือนเดิมจากโรงงาน

 

ตรวจสอบสภาพภายใน และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ

 

4. สภาพภายใน

          แน่นอนว่าเมื่อดูจากสภาพภายนอกเสร็จแล้ว ต่อไปก็ต้องเป็นการตรวจสอบภายใน โดยหลักๆ แล้วก็คงต้องดูว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ เช่น กระจกไฟฟ้า, เครื่องเสียง, ระบบเซ็นทรัลล็อค และลองเปิดแอร์เบอร์แรงสุดว่ามีกลิ่นเหม็นไหม้ และยังทำความเย็นได้อยู่หรือไม่ นอกนั้นก็คงดูสภาพโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งมีรอยฉีกขาดหรือไม่, แผงประตูมีร่องรอบฉีกขาดหรือไม่, คอนโซลหน้ายังอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานหรือไม่ และที่สำคัญคือกลิ่นภายในห้องโดยสาร หากมีกลิ่นที่อับชื้น หรือมีเชื้อราบริเวณชุดพรมรองพื้น ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่ารถคันนี้ เคยลุยน้ำท่วมมาอย่างแน่นอน

 

ตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ ว่ามีการรั่วซึ่มหรือไม่, ตรวจเช็คระดับของเหลว และแบตเตอรี่

 

5. เครื่องยนต์

          แน่นอนว่าส่วนสำคัญที่จะทำให้รถวิ่งไปได้นั่นก็คือ เครื่องยนต์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าคุณได้รถมือสองคุณภาพดีหรือไม่ โดยวิธีตรวจสอบเบื้องต้นก็คือ สตาร์ทเครื่องยนต์ (แนะนำให้สตาร์ทตอนเครื่องเย็น) และสังเกตเสียงเครื่องยนต์ทั้งตอนสตาร์ท และตอนเดินเครื่องว่ามีเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่ (แนะนำให้เปิดฝากระโปรงหน้า) จากนั้นติดเครื่องไว้อย่างน้อย 15 นาที โดยคุณสามารถดูรอบเดินเบาของเครื่องยนต์ได้ว่านิ่งหรือไม่ มีอาการสั่น และกระตุกหรือไม่ และสิ่งที่ควรดูเป็นสำคัญคือ เกจ์วัดความร้อนขึ้นสูงผิดปกติหรือไม่ (ปกติคือ ตรงกลางหรือต่ำกว่าเล็กน้อย) และมีไฟแจ้งเตือนต่างๆ ขึ้นบนจอแสดงผลหรือไม่ อีกหนึ่งขั้นตอนคือการดมกลิ่น ว่ามีกลิ่นเหม็นไหม้จากการทำงานของเครื่องยนต์ และกลิ่นน้ำมันที่ผิดปกติหรือไม่ หากตรวจสอบดูอย่างแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างปกติ ให้ดับเครื่องแล้วตรวจเช็คสภาพของสายพาน, แบตเตอรี, ขั้วแบตเตอรี่, ระดับของเหลวต่างๆ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีคราบน้ำมันรั่วซึมออกมา หรือหยดลงที่พื้น

 

ตรวจสอบช่วงล่าง และยางรถยนต์

 

6. ตรวจสอบช่วงล่าง

          ข้อนี้อาจจะทำได้ และทำไม่ได้ในบางกรณี เพราะต้องใช้อุปกรณ์ในการยกรถขึ้น เพื่อดูใต้ท้องรถ แต่ถ้าหากไม่มีก็ไม่เป็นไร โดยคุณสามารถตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ได้ด้วยสายตา ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ยางรถยนต์ โดยดูจากสภาพภายนอกว่ามีรอยฉีกขาดหรือไม่, เหมือนกันทั้ง 4 เส้นหรือไม่, ดอกยางยังสามารถใช้ได้อยู่หรือไม่ และอาจจะดูจากปีที่ผลิตเป็นส่วนประกอบ , จากนั้นตรวจสอบล้อแม็ก และน็อตยึดว่ามั่นคงแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ ส่วนโช้คอัพ-บูชยาง และลูกหมากต่างๆ สามารถก้มดู และเอามือเข้าไปสัมผัสดูว่ามีการสั่นคลอน และมีเสียงดังหรือไม่

 

จะซื้อรถยังไงก็ต้องทดลองขับ

 

7. ทดลองขับ

          แน่นอนว่าจะซื้อรถทั้งที หากไม่ได้ลองขับก็คงจะตัดสินใจได้ยาก โดยการลองขับนี้ อาจจะเป็นตัวชี้วัด และบ่งบอกได้เลยว่ารถยนต์มืองสองที่คุณกำลังจะตัดสินใจซื้อนั้น ควรซื้อหรือไม่ แน่นอนว่าการทดลองขับก็คงขึ้นอยู่กับฟิลลิ่งของรถแต่ละรุ่น และสไตล์การขับของแต่ละท่าน แต่สิ่งหลักๆ ที่ต้องตรวจสอบ และจับอาการคือ เสียงของเครื่องยนต์, อัตราเร่ง, อุณหภูมิความร้อนของเครื่องยนต์, พวงมาลัย, ระบบช่วงล่าง และระบบเบรค ว่าทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะเป็นหรือไม่

 

ตรวจเช็คเอกสารประจำรถให้เรียบร้อย

 

8. เอกสารประจำรถ

          อีกหนึ่งสิ่งที่ควรต้องตรวจสอบ และให้ความสำคัญก็คือ เอกสารประจำรถ โดยเฉพาะสมุดคู่มือการจดทะเบียน และสมุดการรับประกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะบ่งบอกคุณได้ว่ารถคันนี้ผ่านมาแล้วกี่มือ และมีใครเป็นเจ้าของก่อนหน้านั้น อีกทั้งยังสามารถตรวจว่ารถคันดังกล่าวผ่านการซ่อมบำรุงอะไรมาแล้วบ้าง และมีการเข้าศูนย์ตรวจเช็คตามระยะหรือไม่

 

คำนวณราคา และอัตราดอกเบี้ยให้ดี

 

9. คำนวณราคา

          เมื่อคุณเจอรถที่ถูกใจ แต่บางครั้งมันอาจจะอยู่ในงบที่เกินเอื้อม ให้คุณลองคำนวณราคาให้ดี โดยอาจจะมองหาทางเลือกสำรองเผื่อไว้อีกหนึ่งคัน และนำมาเปรียบเทียบกันอีกครั้งว่าคันไหนมีความคุ้มค่าที่สุด ซึ่งหากคุณตัดสินใจ และตรวจเช็ครายละเอียดของตัวรถอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ออกรถได้เลย (แต่ระวังดอกเบี้ยด้วยนะ) เพราะรถมือสองจะมีอัตราดอกเบี้ยถูกสูงกว่ารถใหม่ป้ายแดง (อย่าตกใจไป)

 

หลังจากได้รถแล้ว ให้นำรถเข้าตรวจเช็ค ณ ศูนย์บริการอีกครั้งหนึ่ง

 

10. รีบนำรถเข้าศูนย์บริการ

          และขั้นตอนสุดท้ายนี้ หากคุณตกลงออกรถที่คุณหมายปอง แนะนำให้คุณรีบนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจเช็คอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่ถ้ารถของคุณกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบพร้อมใช้งาน ก็จะสามารถขับได้อย่างปลอดภัย และช่วยยืดอายุการใช้งานให้รถของคุณได้อีกด้วย

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook