เขียนโดย: AEFOTO

เมื่อ: 21 กันยายน 2563 - 11:01

Nissan Kicks E-POWER 2020 ฟิลลิ่งการขับเหมือนรถ EV แต่เติมน้ำมัน ขับดี สนุก แรงจัดจ้านไม่เป็นรองใคร

 

          หลังจากที่ทีมงาน BoxzaRacing เคยได้เคยทดสอบ และทดลองขับ Nissan Kicks E-POWER มาแล้วครั้งหนึ่ง โดยในครั้งนั้นเป็นครั้งแรกกับการที่ทาง Nissan นำสื่อมวลชนมาทำความรู้จักกับนวัตกรรมใหม่ อย่างเทคโนโลยี e-Power ซึ่งเป็นการทดลองขับขี่ในรูปแบบสนามปิด ซึ่งในการทดสอบอาจจะไม่ได้ทดลองระบบในบางส่วน ที่อยู่ในเทคโนโลยีความปลอดภัย Safety Shield Technology และ Nissan Intelligent Mobility รวมถึง Handling ต่างๆในการขับขี่บนสภาพท้องถนนจริงว่าเป็นอย่างไร 

 

 

          จนล่าสุดทาง นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ได้จัดการทดสอบ Nissan Kicks E-POWER ขึ้นมาอีกครั้ง โดยในครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์สมรรถะการขับขี่ในรูปแบบการใช้งานจริงบนถนนทั่วไป ในสภาพการจราจรที่เป็นจริง ที่มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเส้นทางในเมืองหลวง และต่างจังหวัด โดยเส้นทางที่ใช้ทดสอบในครั้งนี้ใช้เส้นทางไปกลับ กรุงเทพ –จ.กาญจนบุรี กับระยะทางกว่า 450 กิโลเมตร

 

 

          ซึ่งตลอดเส้นทางจะมีถนนในหลายหลายรูปแบบให้ได้ทดลอง และทดสอบ Nissan Kicks E-POWER กันอย่างเต็มที่ ทั้งเส้นทางในเมืองที่จราจรหนาแน่นในช่วงเช้า หรือจะเป็นเส้นทางถนนหลวงไฮเวย์ที่โล่งยาว ที่จะได้หวดดูพละกำลังของระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร แม้กระทั่งเส้นทาง ขึ้น-ลงเขา ที่จะได้ลองระบบช่วงล่างกันอย่างเต็มเหนี่ยว เรามาดูกันว่ารถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% แต่ต้องเติมน้ำมันจะเป็นอย่างไร เมื่อเจอกับท้องถนนทั้งในแบบนอกเมือง และในเมืองของเมืองไทย 

 

 

          แต่ก่อนจะไปรับรู้ถึงสมรรถนะการขับว่าจะเป็นอย่างไรเรามาย้อนดูดีเทล รายละเอียดของ Nissan Kicks E-POWER กันสักนิด ต้องบอกก่อนว่า Nissan Kicks E-POWER เป็นครอสโอเวอร์ขนาดเล็กที่เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย Nissan Kicks E-POWER เป็นรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กที่ขณะนี้เป็น เซ็กเมนต์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในตลาดเมืองไทยขณะนี้ ซึ่งคู่แข่งในตลาดโดยตรงคงหนีไม่พ้น Mazda CX-30, Honda H-RV และเบอร์หนึ่งอย่าง Toyota C-HR ที่เป็นรถพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกัน

 

 

          Nissan Kicks e-POWER มีมิติตัวถังภายนอกยาว 4,290 มิลลิเมตร กว้าง 1,760 มิลลิเมตร สูง 1,615 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,615 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,520 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,535 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ Ground Clearance 175 มิลลิเมตร

 

 

          เป็นครอสโอเวอร์ที่ได้รับการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานเส้นสายของอารมณ์เข้ากับการใช้งานจริงได้อย่างลงตัว โดดเด่นทันสมัยด้วยกระจังหน้าแบบ V-Motion รับกับชุดไฟหน้า LED ที่มาพร้อมไฟเลี้ยวแบบบูมเมอแรง LED Signature Light ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน DRL แบบ LED ไฟหน้า พร้อมระบบ Follow-me-home เช่นเดียวกัชุดไฟท้ายที่เป็นแบบ LED 

 

 

          รูปร่างภายนอกโดยรวมของ Nissan Kicks e-POWER ได้รับการออกแบบให้ดูปราดเปรียว กว้าง และยาว ด้วยหลังคาแบบลอยตัว floating roof ที่มาพร้อมที่บังแดด wrap-around visor จากกระจกหน้าไปถึงกระจกข้าง เสาหลังคาท้ายถูกซ่อนพรางสายตาด้วยสีดำที่ผสมผสานเข้ากับกระจกประตูท้าย ในขณะที่หลังคาแบบลอยตัวที่ถูกขยายออก ทำให้ดูโดดเด่นสะดุดทุกสายตา เสริมด้วยภาพลักษณ์ในสไตล์รถครอสโอเวอร์ยกสูงด้วยโปร่งซุ้มล้อสีดำ ที่มากับล้อสีทูโทนไดมอนคัทขนาด 17 นิ้ว 

 

 

          ภายในห้องโดยสารของ Nissan Kicks e-POWER โดยรวมถูกทอดแบบมาจาก Nissan Aimera แผงหน้าปัด, หน้าจออินโฟเทนเมนท์, พวงมาลัย และเบาะที่นั่ง ดีไซน์ได้อย่างลงตัว ดูเรียบง่ายโดดเด่นด้วยจอสีแสดงผลบนหน้าปัดขนาด 7 นิ้ว มาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์เต็มรูปแบบกับแบบจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว รองรับ FM, AM, Bluetooth, Apple CarPlay ใช้งานง่ายเชื่อมต่อได้ดี

 

 

          เสริมด้วยพวงมาลัยทรง D-shape มาพร้อมกับเบาะนั่งที่ที่รับกันพอดี ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ได้รับความสะดวกสบายสูงสุด สำหรับการเดินทางไกล หรือจะเป็นเพียงการเดินทางสั้นๆในเมืองก็ตาม ในห้องโดยสารจะถูกออกแบบ และตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพและมีความประณีตในการผลิต

 

 

          โดยยังคงไว้ที่ความกว้างขวางในห้องโดยสาร ในขณะที่ส่วนพื้นที่วางเท้าของที่นั่งด้านหลังนั้นมีขนาดกว้าง และยังมาพร้อมกับพื้นที่บรรทุกสัมภาระตอนท้ายที่มีขนาดใหญ่ ที่บรรจุของได้มากกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในเซกเม้นต์เดียวกัน

 

 

          ส่วนระบบขับเคลื่อนนั้นอย่างที่รู้กันว่า Nissan Kicks e-POWER เป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 % แต่ไม่ใช่รถ EV เพราะยังมีเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง ฉะนั้นจะเรียก Nissan Kicks e-POWER ว่าเป็นรถ Hybrid ประเภทหนึ่งก็ได้ เพราะจะมีเครื่องยนต์มาทำหน้าที่ปั่นไฟมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับระบบขับเคลื่อนหรือมาเกี่ยวพันกับการหมุนล้อแต่อย่างใด เพราะ Nissan Kicks e-POWER จะมีมอเตอร์แยกต่างหากทำหน้าที่ปั่นล้อ

 

 

         โดยได้พลังงานมาจากแบตเตอรี่ที่ทำหน้าเก็บประจุไฟ ส่วนรายละเอียดเบื้องต้นของขุมพลัง Nissan Kicks e-POWER ประกอบไปด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า EM57 เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (generator) และอุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ทีผลิตกระแสไฟฟ้าจากเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 1.2 ลิตร 12 วาล์ว 3 สูบ แถวเรียงแบบ DOHC (Double Overhead Camshaft) ระบบ e-POWER ให้พละกำลังสูงสุด 95 กิโลวัตต์ (129 PS) มีแรงบิดสูงสุด 260 นิวตัน-เมตร และใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 1.57 kWh ที่มี 4 โมดูล ส่วนรายละเอียดเบื้องลึกเกี่ยวกับระบบ e-POWER นั้นทางทีมงาน BoxzaRacing ได้เคยเขียนเอาไว้แล้ว ลองกดเข้าไปที่นี่ แล้วจะได้รับรู้ว่าเทคโนโลยี e-POWER เป็นมาอย่างไร จะทำงานอย่างไร 

 

 

          นอกจากนี้ Nissan Kicks e-POWER ยังเพิ่มประสบการณ์การขับขี่ด้วยเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ One-Pedal ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่ เร่ง ชะลอความเร็ว และเบรกจนรถหยุดนิ่งได้ด้วยคันเร่งเพียงอย่างเดียว การใช้คันเร่งเดียวช่วยให้ การรักษาระยะห่างระหว่างรถยนต์คันหน้า การชะลอความเร็ว และการหยุดเมื่อลงเขาหรือหยุดเมื่อเจอสัญญาณไฟจราจร สะดวกสบายและง่ายยิ่งขึ้น

 

 

          อีกทั้ง Nissan Kicks e-POWER ยังมากับการขับขี่ 4 รูปแบบ คือ แบบปกติ หรือ Normal Mode, แบบ S หรือ Smart Mode, แบบ Eco Mode และ EV Mode ซึ่งการขับขี่ในแต่ละรูปแบบจะแตกต่างกันไป โดยในแบบปกติ หรือ Normal Mode จะให้อัตราเร่งความเร็ว และการหยุดรถที่ดีเยี่ยม (โดยการปล่อยเท้าออกจากคันเร่ง) เทียบเท่ากับการหยุดของรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วๆ ไป ในแบบ S หรือ Smart Mode รถจะเพิ่มประสิทธิภาพการเร่งความเร็วและการหยุดรถได้ดีมากยิ่งขึ้น ในแบบ Eco ตัวรถจะปรับการขับเคลื่อนเพื่อการประหยัดน้ำมัน โดยเน้นใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง นอกจากนี้ยังมีการขับขี่แบบ EV ที่ปรับเปลี่ยนให้รถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลือภายในแบตเตอรี โดยเครื่องยนต์จะไม่ทำงานจนกระทั่งแบตเตอรีอยู่ในระดับต่ำ จะให้สัมผัสถึงความเงียบ และความประหยัด

 

 

          ด้านระบบความปลอดภัยนั้น Nissan Kicks e-POWER มาพร้อม 14 เทคโนโลยีจาก นิสสัน อินเทลลิเจนท์ โมบิลิตี (NissanIntelligent Mobility) ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control) เทคโนโลยีช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning) เทคโนโลยีเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking) เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning system) เทคโนโลยีเตือนรถในทางสวนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor) พร้อมด้วยเทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection) และเทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ (Intelligent Rear View Mirror

 

 

          ขณะที่คุณสมบัติด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Nissan Kicks ใหม่ ประกอบไปด้วยระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (Anti-lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก (Electronic Brake Force Distribution System) และระบบเสริมแรงเบรก (Brake Assist) รวมไปถึงถุงลมนิรภัย SRS 6 จุด

 

 

          หลังจากได้รู้จักกับ Nissan Kicks e-POWER ไปบ้างแล้ว เราเข้ามาสู่บททดสอบของ Nissan Kicks e-POWER กันบ้างในการทดลองขับในครั้งนี้ จะใช้เส้นทาง กทม.-ราชบุรี ปลายทางที่ จ.กาญจนบุรี โดยออกสตาร์ทจาก โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร ไปสิ้นสุดที่โรงแรมเทวมันตร์ทรา รีสอร์ตแอนด์สปา โดยมีระยะทางกว่า 350 กม. ตลอดเส้นทางมีทั้งแบบการจราจรที่หนาแน่นในตัวกรุงเทพฯ ตอนเช้า รวมทั้งเส้นทางไฮเวย์ และถนนโค้งที่คดเคี้ยว ขึ้นเขาลงเขา 

 

 

          สัมผัสแรกตั้งแต่เห็นโฉม Nissan Kicks e-POWER ต้องบอกว่าเป็นรถที่มีความโฉบเฉี่ยวถูกออกแบบได้อย่างลงตัวในทุกมิติ โดยเฉพาะคันที่ทีมงาน BoxzaRacing ได้ทดลองคันนี้มีนอกจากเป็นรุ่นท๊อป VL แล้วยังเป็นรุ่นที่ถูกตกแต่งเสริมความสปอร์ตขึ้นมาเป็นพิเศษที่เรียกว่า PREMIERE EDITION ซึ่งในรุ่นนี้จะถูกตกแต่งขึ้นมาเพียง 500 คันเท่านั้น

 

 

          โดยจะถูกตกแต่งเพิ่มเติมด้วยชุดพาร์ทแต่งรอบคัน เริ่มตั้งแต่สเกิร์ตหน้า หลัง และข้างที่เป็นสีดำเงา, รวมถึงสปอยเลอร์หลังสีดำเงา เสริมความดุดัน และทันสมัยด้วยล้ออัลลอยสีดำเงาขนาด 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ มาพร้อมกับสัญลักษณ์ PREMIERE EDITION  ที่บริเวณเสากลางตัวรถ, คิ้วบันไดสแตนเลสพร้อมสัญลักษณ์ PREMIERE EDITION สัญลักษณ์ PREMIERE EDITION บริเวณคอนโซลกลาง และแป้นวางเท้าทรงสปอร์ต 

 

 

          สิ่งแรกที่ได้รับตั้งแต่ก้าวขึ้นไปนั่งบนตัว Nissan Kicks e-POWER คงเป็นเรื่องดีไซน์ของห้องโดยสาร ที่ทาง Nissan ที่ยกดีไซน์ภายในของ Nissan Almera มาทั้งชุด แต่ก้มีการปรับในส่วนวัสดุบางชิ้นให้ดูดีกว่า อีกทั้งยังในรุ่นท๊อปที่นำมาทดสอบบนี้ยังปรับเปลี่ยนในเรื่องสีสันภายในที่ออกแบบเป็นทูโทนทำให้ดูสะดดุดตา และให้อารมณ์ที่สปอร์ต โฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น

 

 

          เบาะนั่งทรงสปอร์ตเข้ารูปโอบกระชับรับกับตัวได้อย่างพอดี แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้าเพราะด้วยราคารถแตะไปหลักล้านน่าจะใส่เบาะปรับไฟฟ้ามาให้ รวมถึงเบาะที่นั่งแถว 2 ไม่มีที่วางแขนมาให้ ที่ถือว่าเป็นจุดบอดของ Nissan Kicks e-POWER, พวงมาลัยมัตติฟังช์ชั่นทรง สามก้านสปอร์ตท้ายตัด D-Shape จับกระชับมือได้อย่างพอดี การออกแบบจัดวางเรียบง่าย หน้าจอของมาตรวัดดูง่าย อ่านข้อมูลการขับขี่ได้ชัดเจน ส่วนหน้าจออินโฟเทนเม้นท์มีขนาดที่ลงตัวกับแผงคอนโซลใช้งานง่าย แบบสัมผัสดูลงตัว

 

 

         นอกจากนั้น Nissan Kicks e-POWER ยังคำนึงผู้โดยสาร โดยติดตั้งช่องชาร์จไฟมาให้ถึง 3 จุดทั้งตอนหน้า และตอนหลัง อีกทั้งในส่วนพื้นที่บรรทุกสัมภาระตอนท้ายยังสามารถจุ และเก็บของไปมากถึง 423 ลิตร เรียกว่าจุได้เยอะกว่าคู่แข่งในเซ็กเมนต์เดียวกัน

 

 

          เข้าสู่โหมดการขับขี่ และทดสอบ ในการทดสอบครั้งนี้จะเป็นการทดสอบจับความรู้สึก และลองระบบช่วงล่าง รวมถึงโหมดการขับขี่ต่างๆ ของ Nissan Kicks e-POWER เมื่อวิ่งอยู่บนเส้นทางถนนจริง แบบใช้งานจริงทั้งนอกเมือง และในเมืองบนถนนในประเทศไทย และที่สำคัญคือการหาอัตราสิ้นเปลือง

 

 

          โดยเริ่มสตาร์ทจาก โรงแรมอีสติน แกรนด์ ย่านสาทร มุ่งหน้าสู่ สู่ถนนบรมราชชนนี โดยกำหนดเส้นทางผ่านสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อ Apple CarPlay (ส่วนสาวก Android Auto คงต้องรอไปก่อนเพราะทาง Nissan กำลังพัฒนาอยู่) ซึ่งการเชื่อมต่อนั้นทำได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส

 

 

          โดยการจราจรในช่วงนี้ถือว่าที่หนาแน่นพอตัว ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้า Nissan Kicks e-POWER ด้วยรูปร่างไม่ใหญ่โตเป็น B-SUV ขนาดเล็ก ที่มีมิติตัวถังภายนอกยาว 4,290 มิลลิเมตร กว้าง 1,760 มิลลิเมตร สูง 1,615 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,615 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ Ground Clearance 175 มิลลิเมตร ทำให้มีความคล่องตัว สามารถมุดไปตามจังหวะได้อย่างคล่องแคล่ว รวมถึงควบคุมรถได้ดั่งใจ 

 

 

       ซึ่งการขับช่วงนี้ทางผู้เขียนเลือกใช้โหมด ECO โดยปุ่มปรับโหมดการขับขี่นั้นจะสามารถเลือกปรับได้ที่คอนโซลกลางใกล้กับชุดเกียร์ ที่เลือกใช้ในโหมด ECO นี้เพราะโหมดนี้จะสามารถใช้งานร่วมกับ One-Pedal ที่จะมาช่วยทำให้การขับขี่ในเมืองที่การจราจรหนาแน่นได้อย่างสะดวก สบายขึ้น แต่ก็ต้องทำความคุ้นเคยกับระบบนี้อยู่พอสมควร แต่ถ้าคุ้นชินแล้ว ในระบบนี้จะช่วยในเรื่องการขับขี่ได้อย่างดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น เร่งหรือชะลอความเร็ว หรือแม้กระทั่งในการเบรค โดยใช้คันเร่งเพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นยังจะช่วยอีกลดการใช้พลังงานได้อีกด้วย

 

 

          หลังจากนั้นลองปรับมาใช้ EV Mode ดูสักนิด โดยในโหมดนี้จะตัดการทำงานของเครื่องยนต์ที่จะนำมาปั่นกระแสไฟออกไป แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้งานคือต้องมีพลังงานในแบตเตอรี่ที่มีปริมาณเพียงพอ ซึ่งถ้่เหลือน้อยกว่า 40% EV Mode ก็จะไม่สามารถทำงาน โดยจะวิ่งได้ระยะทางได้ประมาณ 2-3 กม. จากนั้นเครื่องก็ทำงาน เพื่อปั่นกระแสไฟเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่เช่นเดิม

 

 

          หลังจากที่หลุดจากตัวเมืองที่การจราจร แสนวุ่นวายพอมาถึงในเส้นทางที่โล่งพอให้ได้กดคันเร่งเพื่อได้ทดลองระบบขับเคลื่อนที่เป็น EV 100 % โดยได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ใน Normal Mode ซึ่งการขับในโหมดนี้จะเห็นได้ว่าสามารถปล่อยปลอดพลังออกมา ได้อย่างรวดเร็วทันใจ เรียกได้ว่ากดเมื่อไหร่เป็นมาตามเท้าเมื่อนั้น โดย Nissan Kicks e-POWER จะมีอัตราเร่งที่เร้าใจโดยสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ในเวลา 9 วินาทีเท่านั้น นอกจากนั้นในการทรงตัวในย่านความเร็วสูงก็ยังทำออกมาได้ดี แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการใช้พลังงานที่มากขึ้นตามความเร็ว พลังานไฟฟ้าในแบตเตอรี่ก็จะลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

 

           ซึ่งอัตราเร่งของ Nissan Kicks e-POWER นั้นจะเป็นไปตามแบบฉบับรถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าไปหมุนล้อโดยตรง โดยได้พลังงานมาจากแบตเตอรี่ ส่งผลให้มีอัตราเร่งรวดเร็ว ไม่ต้องลุ้นรอรอบอะไรทันสิ้น การเร่งแซงรถที่อยู่บนท้องถนนด้วยกันเป็นไปได้อย่างต้องการ แต่ก็ไม่ถึงกับกระชากถึงตัวติดเบาะเหมือนกับรถคู่แข่งที่เป็นรถ EV สายพันธุ์แท้อย่าง MG ZS EV อาจเป็นเพราะด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดต่างกัน รวมถึงที่ต้องการแบกน้ำหนักของเครื่องยนต์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงที่ทำหน้าที่ปั่นไฟ 

 

 

         ในเรื่องของการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารของ Nissan Kicks e-POWER การเก็บเสียงค่อยข้างใช้ได้จะมีเสียงเล็ดรอดเข้ามาก็ตอนในช่วงความเร็วสูงที่เกิน 130 กม./ชม. ไปแล้ว ที่สิ่งหนึ่งที่น่าจะปรับปรุงคงเป็นเสียงจากพื้นถนนด้านล่างที่เข้ามากเกินไป โดยเฉพาะเสียงจากยางที่บดถนน คืดว่าควรจะมีการซับเสียงบริเวณพื้นห้องโดยสารให้มากกว่านี้

 

 

          พอมาถึงเส้นทาง ขึ้นเขา-ลงเขา ใน จ.กาญจนบุรี โดยตลอดเส้นทางนั้นจะสลับไปด้วยทางโค้งไปมา ซึ่งในช่วงนี้ได้สลับปรับโหมดมาใช้ในโหมด S หรือ Smart Mode ซึ่งในโหมดนี้ก็จะทำงานผสานกับเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะหรือ One-Pedal โดยในโหมดนี้จะช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับที่คล่องตัวมายิ่งขึ้น โดยเฉพาะเพิ่มในอัตราเร่งที่ตอบสนองเร้าใจ แต่ก็ต้องอาศัยในการกดคันเร่งเพิ่มขึ้นในตอนขึ้นเขา เพระาด้วยแรงบิดจากมอเตอร์ที่มีเพียง 270 นิวตัน-เมตร

 

 

          แต่ในช่วงทางโค้งนั้นได้ระบบ One-Pedal เข้ามาช่วยทำให้ในการเข้าโค้ง แต่ละครั้งอาศัยเพียงยกคันเร่งโดยไม่ต้องเตะเบรค ตัวรถก็จะชะลอความเร็วลงเพื่อให้การเข้าโค้งเป็นไปได้อยางราบลื่น และง่ายดายขึ้น 

 

 

          ส่วนในเรื่องการควบคุมพวงมาลัยหรือ Handling นั้น Nissan Kicks e-POWER จะมากับพวงมาลัยไฟฟ้า แต่มีน้ำหนักเบาไปนิดถ้าเป็นพวกที่ชอบความเร็วแบบจัดๆคงไม่ถูกจริต แต่ก็ได้เรื่องอัตราทดแปรผันตามความเร็วเข้ามาช่วย ส่งผลให้มีความเที่ยงตรงแม่นยำ และมีความคมในการเข้าโค้ง

 

 

          ส่วนระบบช่วงล่างนั้นเป็นจุดหนึ่งที่ต้องชมเพราะว่าจัดเซ็ทออกมาได้อย่างดี ด้วยช่วงล่างหน้าเป็นแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังทอร์ชันบีม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง อีกทั้ง Nissan Kicks e-POWER ยังมีโอเวอร์แฮงก์หน้าที่สั้นกุด พร้อมรัศมีวงเลี้ยวแค่ 5.1 เมตร จึงทำให้เข้า-ออกโค้ง ขนาดเล็ก รวมถึงพื้นที่แคบๆ ได้อย่างคล่องตัว อีกทั้งยังให้ทั้งความนิ่มนวล และหนึบแน่น ให้อารมณ์ของรถครอสโอเวอร์ ที่ไม่ได้นุ่มจนย้วย หรือแข็งโป๊กจนกระด้าง

 

 

         ส่วนในเรื่องการหยุดรถนั้นระบบเบรค ดิสก์เบรก หน้า-หลังนั้น ให้ความมั่นใจในทุกย่านความเร็ว เพียงกดแป้นเบรคเบาๆ สามารถเกลี่ยน้ำหนักการเบรก ตั้งแต่เริ่มเริ่มเบรกไปจนหยุดนิ่งได้ดี ไม่มีอาการกดเบาๆแล้วหัวทิ่ม ให้ความมั่นใจในการหยุดรถ 

 

บทสรุป

          ซึ่งจากภาพรวมทั้งหมดหลังจากที่ได้ทดลองขับเจ้า Nissan Kicks e-POWER ใหม่คันนี้ ต้องบอกว่าเป็น B-SUV ที่จัดออฟชั่น และฟีดเจอร์ มาให้อย่างเหลือล้น เหมาะมากสำหรับครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการความแตกต่างจากรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กทั่วไป

 

 

           อีกทั้งยังมีความสปอร์ตที่สอดประสานเข้ากันอย่างลงตัว กับสมรรถนะสามารถตอบสนองได้อย่างเหลือเฟือ พละกำลังดี เร่งแซง และที่สำคัญคือความนุ่มนวลของระบบช่วงล่างที่ต้องบอกว่าดีเยี่ยมเลยที่เดียว สามารถใช้งานได้ทั้งในเมือง และนอกเมือง รวมถึงห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย อีกทั้งยังเสริมลูกเล่น และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน

 

 

          รวมถึงทั้งฟีเจอร์ ฟังค์ชันต่างๆ ที่มีให้อย่างครบครันใน Nissan Kicks e-POWER คันนี้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Adaptive Cruise Control ระบบที่ช่วยควบคุมความเร็วในการขับขี่ให้สอดคล้องกับสภาพของการจราจรอย่างอัตโนมัติ โดยระบบ Adaptive Cruise Control ของ Nissan Kicks e-POWER จะทำงานจนถึงจนหยุดนิ่ง รวมถึงระบบ ABS, EBD, BA, VDC และระบบกล้องมองรอบคัน 360 องศา ที่ทาง Nissan จัดมาให้อย่างเต็มพิกัด

 

 

          และสิ่งที่ชอบมากที่สุดคงจะเป็นในตัวเทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ (Intelligent Rear View Mirror) ที่เปลี่ยนกระจกมองหลังปกติ เป็นกระจกมองหลังอัจฉริยะ โดยจะติดตั้งจอมอนิเตอร์ที่มีขนาดเท่ากับกระจกมองหลัง โดยจอนี้จะทำงานเมื่อเปิดสวิทช์ใต้กระจก ซึ่งระบบจะส่งภาพในอัตรา 4:1 เท่ากับภาพจริงกล้องสามารถจับภาพไว้ได้เข้ามา ทำให้อุปสรรคไม่ว่าจะเป็นกระจกหลังเป็นฝ้า, สัมภาระอัดด้านท้ายอัดแน่นจดบดบังสายตา หรือจะเป็นจาากจากผู้โดยสารตอนหลังนั่งทำให้มองไม่เห็นทัศนวิสัยทางด้านหลังหมดไป และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

 

 

          ในด้านอัตราสิ้นเปลืองของ Nissan Kicks e-POWER ถ้าเป็นรถ EV 100% ประเด็นนี้คงพูดในเรื่องว่าชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งเท่าไหร่ แต่เมื่อ Nissan Kicks e-POWER คันนี้เป็นหนึ่งในรถ Hybrid Series ที่มีเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้องดังนั้นเราต้องมามองให้เรื่องการบริโภคน้ำมันกัน โดยในการทดลองวิ่งไป-กลับของ Nissan Kicks e-POWER คันนี้มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 17.9 กม./ลิตร ซึ่งพอๆกับระดับ ECO-Car หรือคู่แข่งที่เป็นระบบ Hybrid แบบเต็มระบบ แต่ดีกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สับดาปในเซกเม้นท์เดียวกัน

 

 

          ซึ่งโดยรวมแล้วต้องบอกว่า Nissan Kicks e-POWER เป็นรถที่ประหยัดคันหนึ่งเลยที่เดียวถ้าเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก แต่ถ้าใช้งานนอกเมืองก็จะบริโภคน้ำมันตามการใช้งานจริง และที่สำคัญที่ถือว่าเป็นข้อดีของระบบ e-Power บนตัว Nissan Kicks นั้นก็คือได้ฟิลลิ่ง และอารมณ์ความรู้สึกในการขับขี่เหมือนรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆ ที่ไม่ต้องมากังวลในเรื่องแบตเตอรี่จะหมด หรือพะวงกับในเรื่องหาสถานีชาร์จไฟที่มีอยู่น้อยนิดในบ้านเราขณะนี้  

 

 

          ส่วนในเรื่องราคาค่าตัวจัดว่าเป็น B-SUV ที่ขับเคลื่อนหรือวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า ที่มีราคาในตัวเริ่มต้นไม่ถึง 1 ล้านบาท แต่จัดเต็มทุกฟีดเจอร์ และออฟชั่น ถ้าหากคุณต้องการรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กที่วิ่งด้วยไฟฟ้า (แต่ต้องเติมน้ำมัน) ในราคาไม่ถีงล้าน Nissan Kicks e-POWER ถือเป็น หนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจอีกคัน สำหรับคนที่กำลังมองหา รถอเนกประสงค์ขนาดเล็กที่จะสามารถตอบโจทย์สำหรับครอบครัวยุคใหม่ในวันนี้ 

 

 

          ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงรายงาน และการทดลองขับจากผู้เขียนซึ่งบอกไว้เป็นเพียงแนวทาง ว่าเป็นอย่างไร คุณเท่านั้นที่จะหาคำตอบที่แท้จริงได้ ควรลอง และสัมผัสตัวจริง และทดลองขับจริง แล้วจะรู้คำตอบทั้งหมดที่ถามหาอยู่ว่า Nissan Kicks ขุมพลัง e-POWER ใหม่นี้จะเป็นทางเลือกที่ใช่สำหรับรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กของคุณหรือไม่

 

 

ราคา Nissan Kicks e-POWER

  • 1.2 e-POWER S  889,000 บาท
  • 1.2 e-POWER E  949,000 บาท
  • 1.2 e-POWER V  999,000 บาท
  • 1.2 e-POWER VL  1,049,000 บาท
  • 1.2 e-POWER VL (Premier Edition)  1,099,000 บาท
รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook