เขียนโดย: Pajingo

เมื่อ: 21 มีนาคม 2561 - 23:01

Toyota C-HR รีวิว SUV สายพันธุ์ใหม่ ใส่เต็มสมรรถนะ พร้อมฟังค์ชั่นอัจฉริยะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนทันสมัย

 

          Toyota C-HR (โตโยต้า ซี-เอชอาร์) เปิดตัวไปเมื่องาน Motor Expo 2017 ที่ผ่านมา ก่อนจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการยานยนต์ในเมืองไทย ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูล้ำสมัยเหมือนหลุดมาจากโลกอนาคต พร้อมด้วยฟังค์ชั่นต่างๆ มากมายที่ช่วยอำนวยความสะดวก เติมเต็มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากซับคอมแพค SUV ผู้นี้ จะเป็นรถที่ใครๆ ต่างก็จับตามอง และหมายปองด้วยยอดจองกว่า 3,000 คัน ในระยะเวลาอันสั้น (โดยกว่า 80% ของยอดจองทั้งหมด เป็นรุ่นเครื่องยนต์ Hybrid) พร้อมสร้างกระแสในโลกออนไลน์ชนิดที่ว่าไม่เคยมีมาก่อนเลยจริงๆ

 

 

          Toyota C-HR เรียกได้ว่าเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่ BoxzaRacing รอคอยที่จะได้สัมผัสสมรรถนะและฟังค์ชั่นต่างๆ ที่มีมาให้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตั้งแต่เปิดตัวในต่างประเทศ ผมเป็นคนหนึ่งที่เฝ้ารอคอยมาโดยตลอด ซึ่งก็เชื่อว่าแฟนๆ BoxzaRacing หลายๆ คน ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน จนกระทั่งในที่สุด ทาง บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ก็ได้ประกาศเปิดตัวพร้อมเปิดให้จอง ก่อนจะส่งมอบรถ Toyota C-HR สำหรับผู้ที่จอง 150 ท่านแรก ในงาน C-HR The Irresistible Night เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา หลังจากนั้นไม่นาน ทางค่ายก็ได้ฤกษ์เชิญชวนสื่อมวลชนเข้าร่วมสัมผัสสมรรถนะของ Toyota C-HR ซึ่งทาง BoxzaRacing ได้ทดลองขับในรุ่น HV Hi บนเส้นทางสุดท้าทายจาก จ.ลำปาง ผ่าน อ.เด่นชัย จ.แพร่ และมุ่งหน้าสู่จุดหมายที่ จ.น่าน

 

C-HR = Coupe High Rider

 

 

          แฟนๆ BoxzaRacing หลายคนอาจสงสัยว่าตัวอักษร C-HR มีความหมายว่าอย่างไร ซึ่งทาง Toyota ให้คำจำกัดความไว้ว่า Coupe High Rider หรือประมาณว่า รถคูเป้ยกสูงอะไรทำนองนั้น โดยแรงบันดาลใจที่ใช้ในการออกแบบ Toyota C-HR ก็มาจากเพชร ซึ่งหากเราลองสังเกตดีๆ ก็จะพบว่า องค์ประกอบต่างๆ ได้รับการแต่งแต้มด้วยเหลี่ยมสันดั่งเพชรที่ถูกเจียรนัยมาอย่างประณีต ทั้งภายนอกหรือแม้แต่ภายในห้องโดยสารที่แต่งแต้มกิมมิคเล็กๆ ให้ชวนนึกถึงแรงบันดาลใจข้อนี้ โดยนอกจากความสวยงาม พิถีพิถันแล้ว Toyota C-HR ยังมาพร้อม 4 เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เรียกได้ว่าจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ระบบไฮบริดเจนเนอเรชั่นใหม่ ที่ออกแบบแบตเตอรี่ให้มีขนาดเล็กลง แต่ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังย้ายตำแหน่งการจัดวางเพื่อให้สามารถระบายความร้อนได้ดี มีการกระจายน้ำหนักของตัวรถได้ดีขึ้น โดยทางค่ายรับประกับคุณภาพของแบตเตอรี่ถึง 10 ปีเต็ม นับตั้งแต่วันที่ส่งมอบ และครอบคลุมตลอดอายุแม้มีการเปลี่ยนผู้ครอบครองด้วย

 

 

          เทคโนโลยีที่ 2 คือ เรื่องของโครงสร้างอันเลื่องชื่ออย่าง Toyota New Global Architecture (TNGA) ที่ได้รับการออกแบบให้มีความแข็งแกร่ง ลดอาการโคลงของตัวถังด้วยการออกแบบจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง อันเป็นผลให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ทำได้ดียิ่งขึ้น เทคโนโลยีต่อมาก็คือ เรื่องของมาตรฐานความปลอดภัยอย่าง Toyota Safety Sense หรือตัวช่วยต่างๆ ที่เติมความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น เช่น ระบบป้องกันก่อนการชน, ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ, ระบบปรับความสูง-ต่ำ ของไฟหน้าโดยอัตโนมัติ, ระบบป้องกันการออกนอกเลนพร้อมหน่วงพวงมาลัยโดยอัตโนมัติ และที่จะขาดไม่ได้สำหรับไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบัน นั่นก็คือ เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ Toyota T-Connect Telemetics ที่จะเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างรถและผู้ขับขี่ผ่านทางสมาร์ทโฟน หรือ Apple Watch โดยมีเครือข่ายศูนย์ข้อมูลที่จะคอยให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชม.

 

 

           เรื่องของดีไซน์นั้นคงไม่ต้องสาธยายอะไรกันให้มากความ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนรู้สึกเช่นเดียวกันว่า Toyota C-HR นั้น ดูดีสมคำร่ำลือ เช่นเดียวกับในส่วนของภายในห้องโดยสารที่ออกแบบมาในแนวสปอร์ต ซึ่งเชื่อได้เลยว่า คนที่ชอบอะไรซิ่งๆ น่าจะถูกอกถูกใจกับดีไซน์ภายในของ Toyota C-HR เข้าอย่างจัง ไม่ว่าจะเป็นหน้าปัด พร้อมแผงคอนโซลที่มาในสไตล์ค็อกพิทหันเข้าหาผู้ขับขี่ เพื่อความง่ายในการใช้งาน โดดเด่นด้วยสีทูโทนที่ดึงดูดทุกสายตา เรือนไมล์ผสานระหว่างความเป็นอนาล็อกกับหน้าจอ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว อย่างลงตัว โดยสามารถบ่งบอกค่าการทำงานต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน เบาะนั่งมาในดีไซน์ที่ดูสปอร์ต เน้นความโอบกระชับ รับกับสรีระผู้ขับขี่ พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้า ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ Nanoe ปิดท้ายด้วยระบบความบันเทิงในรูปแบบหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมตอบรับทุกไลฟ์สไตล์คนวัยมันส์ด้วยการเชื่อมต่อที่หลากหลาย

 

แม้ตัวเลขแรงม้าจะอยู่ที่เพียง 122 ตัว แต่บอกเลยว่า...สมรรถนะเกินคาด

 

           Toyota C-HR ในรุ่น HV มาพร้อมอีกหนึ่งไฮไลท์เด็ด นั่นก็คือ ขุมพลังไฮบริดเจนเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Prius สำหรับความโดดเด่นในเจนฯ นี้ก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของชุดมอเตอร์กำลังสูงสุด 53 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร ให้สูงขึ้น โดยแม้จะมีขนาดที่เล็กลง แต่สามารถรองรับการทำงานในย่านความเร็วถึง 110 กม./ชม. ซึ่งมอเตอร์ชุดนี้ จับคู่อยู่กับขุมพลังพิกัด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FXE แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1,798 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ x ระยะชักอยู่ที่ 80.5 x 88.3 มม. ให้อัตราส่วนกำลังอัดสูงสุดถึง 13.0 : 1 และหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI สมรรถนะสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที เมื่อรวมทั้งระบบสามารถรีดสมรรถนะสูงสุด 122 แรงม้า ก่อนส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ซึ่งมีโหมดการขับขี่ให้เลือกตั้งแต่ Sport, ECO Drive และ EV Drive ด้านระบบช่วงล่างด้านหน้ามาในแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง แบบดับเบิ้ลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลงในด้านหลัง ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ใช้ล้อขนาด 17 นิ้ว โอบรัดด้วยยาง 215/60 และบังคับเลี้ยวด้วยพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า (EPS)

 

เหยียบๆ ยกๆ แล้วก็เหยียบซ้ำ ยังทำได้ที่ 19.2 กม./ลิตร

 

           เริ่มต้นการทดลองขับจาก จ.ลำปาง มุ่งหน้าสู่ จ.น่าน ระยะทางรวมกว่า 230 กม. ทันทีที่สตาร์ทเครื่อง ความเงียบก็เข้ามาครอบงำตามสไตล์รถไฮบริดพันธุ์แท้ หากไม่รู้ว่าเครื่องติดเรียบร้อยหรือยังให้ลองสังเกตหน้าจอ หรือระบบปรับอากาศที่พร้อมให้ความเย็นปกติ ซึ่งหากจอดนานจนไฟในแบตเตอร์รี่ถูกใช้ไปในระดับหนึ่ง เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาโดยอัตโนมัติเพื่อชาร์จไฟ และจะดับลงเมื่อชาร์จไฟได้ในปริมาณที่ต้องการแล้ว สำหรับการออกตัวของ Toyota C-HR จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนก่อน ซึ่งหากต้องการกำลังที่เพิ่มขึ้น เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นมาช่วยเสริมกำลัง โดยจะปรับการทำงานตามสภาพการขับขี่ ฟีลลิ่งของขุมพลังทั้งระบบ ให้ความรู้สึกที่น่าพอใจ อาจไม่ได้ดุดันอะไรมากมาย แต่ก็ถือว่าปั่นกำลังออกมาให้ใช้ได้อย่างต่อเนื่อง ทำความเร็วได้ดี เร่งแซงได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเผื่อเยอะ และในจังหวะที่ลดความเร็วเครื่องยนต์จะดับลงเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง และหากมีการเบรกก็จะมีการชาร์จไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ ตามอินดิเคเตอร์ที่แสดงบนเรือนไมล์ โดยทางค่ายเคลมอัตราการสิ้นเปลืองเอาไว้ที่ 24.4 กม./ลิตร แต่สำหรับการขับขี่ในทริปนี้ ที่ต้องมีทั้งการขึ้นและลงเขา ทำความเร็วยืนพื้นที่ประมาณ 120 กม./ชม. เร่งแซงอย่างต่อเนื่อง กดคันเร่งแบบไม่ได้เลี้ยงเอาตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง โดยเลือกโหมดการขับขี่ Sport ตลอดการเดินทาง ผลออกมาที่ราว 19.2 กม./ลิตร ซึ่งเมื่อเทียบกับสไตล์การขับขี่แล้ว บอกได้เลยว่า...ประหยัดเกินคาด

 

 

           Toyota C-HR ไม่ได้มีดีแค่เครื่องยนต์เท่านั้น แต่ในส่วนของช่วงล่างยังทำออกมาได้แบบน่าประทับใจ อาจไม่ได้ดูสปอร์ตจ๋า แต่เป็นสไตล์ที่กลมกล่อมระหว่างความสบายกับประสิทธิภาพในการทรงตัวที่ดีเยี่ยม ไม่มีอาการย้วยในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับเส้นทางในรูปแบบต่างๆ ทั้งการขับขี่ในย่านความเร็วสูง ในโค้งลงเขาที่ความเร็วเกินปกติ (หากต้องการ Engine Brake ที่มากขึ้น แนะนำให้เลื่อนคันเกียร์มาในตำแหน่ง B จะช่วยเพิ่มแรงฉุดให้สูงขึ้นอีกระดับ) ระบบเบรกให้ประสิทธิภาพที่ดีประทับใจ สามารถหยุดได้อย่างมั่นใจ แต่หากเริ่มขับใหม่ๆ อาจต้องทำความคุ้นเคยเรื่องน้ำหนักในการวางเท้าสักเล็กน้อย เพื่อให้การเบรกทำได้อย่างนุ่มนวลพอเหมาะ ส่งผลให้ในภาพรวม Toyota C-HR เป็นรถที่ขับสนุกอย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังพ่วงความอุ่นใจด้วยตัวช่วยอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบเตือนมุมอับสายตาบริเวณกระจกข้าง, ระบบเตือนเมื่อพุ่งเข้าหาความเสี่ยงด้วยความเร็ว และเบรกอัตโนมัติไร้การตอบสนองจากผู้ขับ, ระบบเตือนการออกนอกเลน เป็นต้น

 

สะดวกสบายในยามที่การจราจรไม่เป็นใจด้วย Hold Brake

 

            อรรถรสในห้องโดยสารนับเป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นใน Toyota C-HR โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชื่นชอบอารมณ์ความเป็นสปอร์ต เชื่อได้ว่าน่าจะถูกใจเป็นแน่แท้ การจัดท่าทางการนั่งสามารถทำได้อย่างเหมาะสมด้วยความหลากหลายในการปรับ ทั้งในส่วนของเบาะนั่งที่ให้ความโอบกระชับหรือแม้แต่พวงมาลัยที่ปรับขึ้น-ลง เข้า-ออกได้ตามต้องการ เสียงลมที่ปะทะเข้ามาในห้องโดยสารถือว่ามีเข้ามาค่อนข้างน้อย เสียงส่วนใหญ่ที่ได้ยินจะเป็นเสียงจากเครื่องยนต์หากใช้คันเร่งค่อนข้างหนัก และพัดลมระบายความร้อนของแบตเตอรี่ไฮบริดเสียมากกว่า สิ่งที่อดพูดถึงไม่ได้อีกอย่างก็คือ ระบบความบันเทิงที่มีความหลากหลาย เชื่อมต่อง่าย และให้คุณภาพเสียงที่น่าประทับใจ อาจไม่ได้ถึงกับไฮเอนด์อะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มเติม แต่หากมีข้อสังเกตเพียงนิดว่าช่องเชื่อมต่อ USB มีมาให้เพียงแค่ 1 ช่อง ซึ่งหากต้องการมากกว่านั้น อาจต้องใช้อแดปเตอร์เสียบกับช่องเชื่อมต่อไฟ 12 โวลต์ แทน

 

 

           Toyota C-HR เรียกว่าทำได้สมการรอคอย เพราะไม่ได้มีแค่ดีไซน์ที่สวยแต่รูป แต่ยังจูบหอมด้วยสมรรถนะการขับขี่ ความประหยัด ฟังค์ชั่นการใช้งาน รวมถึงระบบความปลอดภัยที่เรียกได้ว่า “กลมกล่อม” บาลานซ์ในทุกๆ องค์ประกอบ อีกทั้งยังมั่นใจได้ด้วยมาตรฐานพร้อมการรับประกันจากผู้ผลิตถึง 5 ปี หรือ 150,000 กม. รวมถึงยังมีโปรแกรมการรับประกันมูลค่าในอนาคต ณ Toyota Sure สำหรับ Toyota C-HR รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดที่นำมาแลกเปลี่ยนในปีที่ 5 อีกด้วย

 

 

Toyota C-HR ราคา

Toyota C-HR 2018 รุ่น 1.8 Entry ราคา 979,000 บาท

Toyota C-HR 2018 รุ่น 1.8 MID ราคา 1,039,000 บาท

Toyota C-HR 2018 รุ่น HV MID ราคา 1,069,000 บาท

Toyota C-HR 2018 รุ่น HV HI ราคา 1,159,000 บาท 

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook