เขียนโดย: Pajingo

เมื่อ: 1 มิถุนายน 2560 - 17:18

Honda CR-V 2017 ดีเซล i-DTEC หรือเบ็นซิน ขุมพลังไหนโดนใจ ออพชั่นรุ่นไหนเด็ด ที่นี่...มีคำตอบ

 

              Honda CR-V ใหม่ (ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่) เจเนอเรชั่นที่ 5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของทางค่าย Honda เนื่องจากนับเป็นครั้งแรก ที่ทางค่ายได้นำยนตรกรรมที่มาพร้อมขุมพลังในรูปแบบดีเซลเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา โดยเครื่องยนต์บล็อคนี้ ได้รับการขนานนามว่า i-DTEC Diesel Turbo ซึ่งมาในพิกัด 1.6 ลิตร พร้อมการจับคู่กับชุดส่งกำลังสุดล้ำ ที่ออกแบบอัตราทดมาอย่างต่อเนื่องถึง 9 สปีด 

 

 

                แม้จะมีขุมพลังดีเซล i-DTEC มาเป็นทางเลือกสุดล้ำ แต่ทางค่ายยังคงเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้บริโภคด้วยทางเลือกในรุ่นเครื่องยนต์เบ็นซินในพิกัด 2.4 ลิตร ที่คุ้นเคย ซึ่งทำให้ผู้ที่สนใจหลายๆ ท่าน เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า...แล้วจะเลือกรุ่นไหนดี ? เครื่องยนต์ดีเซลกับความจุเพียง 1.6 ลิตร ทำได้ดีพอสำหรับทุกการใช้งานหรือไม่ ? คุ้มค่าไหม...สำหรับค่าตัวที่สูงขึ้นอีกเล็กน้อยสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ? สเป็คและรายละเอียดที่น่าสนใจสำหรับ Honda CR-V ใหม่ ? สำหรับคำถามหรือข้อสงสัยต่างๆ นานา เหล่านี้ BoxzaRacing จะพาทุกท่านไปไขปริศนาเหล่านี้พร้อมๆ กัน ซึ่งหลังจากที่ทีมงานได้ทดลองขับมาแล้วทั้ง 2 รุ่น ก็พอจะมีข้อมูลที่น่าสนใจมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้รับชมกันครับ เอาเป็นว่า...ถ้าพร้อมแล้ว ไปสัมผัสด้วยกันเลยครับ

 

 

                การทดลองขับ Honda CR-V ใหม่ ในครั้งนี้ ทางค่าย Honda จัดเส้นทางในการทดลองขับขี่ในระหว่าง จ.ภูเก็ต – จ.พังงา ระยะทางรวมประมาณ 300 กม. โดยแบ่งช่วงของการทดลองขับเป็นรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล i-DTEC และรุ่นเครื่องยนต์เบ็นซิน 2.4 ลิตร เพื่อให้ได้สัมผัสถึงอรรสรสและความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่น อย่างชัดเจน โดย BoxzaRacing ได้เริ่มทดลองขับในรุ่นเครื่องยนต์เบ็นซิน 2.4 EL ขับเคลื่อนสี่ล้อก่อน หลังจากผ่านครึ่งทางไปแล้วจึงสลับขึ้นมาขับในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 EL ขับเคลื่อนสี่ล้อเช่นเดียวกัน สำหรับสภาพเส้นทางและภูมิประเทศที่ได้ทดลองขับนั้น เป็นภูเขาสลับกับโค้งในรูปแบบต่างๆ รวมถึงทางตรงยาวเป็นระยะให้ได้ทดลองเรื่องพละกำลังรวมถึงอัตราเร่งแบบครบถ้วน ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจและเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็คือ สภาพอากาศที่มีฝนตกตลอดช่วง บางช่วงเรียกได้ว่าฝนกระหน่ำ ชนิดที่ว่าทัศนวิสัยย่ำแย่แม้จะขับด้วยความเร็วเพียง 60-80 กม./ชม. ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและสมรรถนะในการทรงตัวของ Honda CR-V ใหม่ ได้เป็นอย่างดี

 

ภาพลักษณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรวมภายในห้องโดยสารมีความคล้ายคลึงกันมาก

 

เบาะนั่ง 3 แถว สามารถพับราบ เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอย่างจุใจ

 

                ทันทีที่เข้าไปนั่งอยู่ใน Honda CR-V ใหม่ สิ่งที่สัมผัสได้คือ ความหรูหรา สะดวกสบายที่ทางค่ายเนรมิตมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผสมผสานระหว่างภาพลักษณ์และประโยชน์ใช้สอยมาได้เป็นอย่างดี เบาะนั่งแบบปรับด้วยไฟฟ้าสามารถปรับให้เข้ากับสรีระของผู้ขับขี่ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นระยะพวงมาลัย รวมถึงระยะเบาะ ซึ่งสิ่งที่น่าจะตอบโจทย์ผู้ใช้ชาวไทยมากที่สุดก็คือ การเพิ่มประโยชน์ใช้สอยด้วยเบาะนั่งแถวที่ 3 (รวม 7 ที่นั่ง) ที่ดูจะเหมาะกับการเดินทางในรูปแบบครอบครัวมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงฝากระท้ายที่เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้ด้วยฟังค์ชั่นเปิด-ปิดอัตโนมัติ เพียงสอดเท้าเข้าไปที่ใต้กันชน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักช้อปหรือคุณพ่อบ้านแม่บ้านที่ถือของมาเต็มไม้เต็มมือ แล้วต้องการเปิดประตูท้ายเพื่อเก็บสัมภาระ ซึ่งนอกจากจะเปิดได้โดยไม่ต้องใช้มือแล้ว ยังสามารถปรับระดับความสูงของการเปิดฝาท้ายได้ตามต้องการอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่น่าจะเรียกได้ว่าโดนใจไลฟ์สไตล์ยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ความบันเทิงแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมเนวิเกเตอร์, ระบบปรับอากาศแบบ i-Dual Zone และช่องเชื่อมต่อมากมาย ทั้ง HDMI, USB Port รวมถึงช่องเสียบไฟ 12 โวลต์ เรียกได้ว่าสามารถเสียบชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ กันได้อย่างจุใจเลยทีเดียว

 

ขุมพลังเบ็นซิน 2.4 ลิตร i-VTEC ให้กำลัง 173 แรงม้า

 

                Honda CR-V ใหม่ ในรุ่นเครื่องยนต์เบ็นซินมาพร้อมขุมพลังในพิกัด 2.4 ลิตร i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ที่ได้รับการพัฒนาภาใต้เทคโนโลยี Earth Dream สามารถรองรับเชื้อเพลิง E85 ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที พร้อมกับแรงบิด 224 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ CVT ที่ให้ความต่อเนื่องในทุกย่านกำลัง โดยฟีลลิ่งที่สัมผัสได้จากการทดลองขับ Honda CR-V ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ก็คือ อัตราเร่งมีมาให้ใช้อย่างพอเหมาะ สามารถไต่ความเร็วขึ้นไปได้เรื่อยๆ อย่างนุ่มนวล สม่ำเสมอ ตามสไตล์ของระบบส่งกำลังที่มาในรูปแบบ CVT หากต้องการเร่งแซง อาจต้องเติมคันเร่งเพื่อเรียกรอบเครื่องยนต์มาช่วยสร้างอัตราเร่ง อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง – 100 กม./ชม. ทำได้ใน 10.x วินาที ด้านช่วงล่างมาในรูปแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทในด้านหน้า ส่วนด้านหลังมาในแบบ E Type มัลติลิ้งค์ เน้นความนุ่มนวลเป็นหลักตามสไตล์ของทางค่าย พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ E-DPS ที่ควบคุมการส่งถ่ายกำลังไปขับเคลื่อนล้อคู่หลังด้วยไฟฟ้าอย่างเหมาะสมตามสภาวะการขับขี่ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับรูปแบบการขับขี่ในสภาวะถนนเปียกลื่นอย่างที่ BoxzaRacing ได้สัมผัสในวันที่ทดลองขับ แม้ว่าสภาพดินฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจเท่าใดนัก แต่ก็สามารถฟันฝ่าทุกอุปสรรคทั้งสายฝน ทางโค้งในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการขึ้น-ลงเขาไปได้อย่างมั่นใจ อาจจะหนักไปทางนุ่มนวล แต่ก็ไม่ได้ถึงกับย้วยจนทำให้รู้สึกว่าการควบคุมรถทำได้ลำบาก หลังจากที่ได้ทดลองขับมาเป็นระยะทางเกือบๆ 150 กม. ด้วยความเร็วที่ใช้ส่วนใหญ่ 90-110 กม./ชม. เหยียบบ้าง ยกบ้าง อัตราการสิ้นเปลืองบนหน้าปัดแสดงอยู่ที่ 11.4 กม./ลิตร

 

Honda CR-V ขุมพลัง i-DTEC 1.6 ลิตร

 

ไม่ว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายขนาดไหน แต่การเดินทางยังเปี่ยมด้วยความมั่นใจใน Honda CR-V ใหม่

 

                หลังจากได้ขับ Honda CR-V รุ่นเครื่องยนต์เบ็นซินกันมาแบบพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ถึงช่วงเวลาที่ BoxzaRacing รอคอยแล้วครับ กับการได้ลองของใหม่อย่าง Honda CR-V i-DTEC ที่เพื่อนสื่อมวลชนที่ได้ขับไปก่อนหน้า Recommend มาว่า...ของเค้าดีจริง สำหรับภาพรวมทั้งภายนอกและภายในของ Honda CR-V รุ่น EL ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบ็นซินและดีเซล มีรายระเอียดที่ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน Honda CR-V รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 EL ก็คือ ระบบควบคุมการทำงานของชุดเกียร์รูปแบบใหม่ ที่ทางค่ายขนานนามว่า Shift by Wire สิ่งที่หายไปก็คือ คันเกียร์ แล้วแทนที่ด้วยการใช้ปุ่มกดเพื่อเลือกตำแหน่งเกียร์แทน ข้อดีก็คือ ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยและทำให้บริเวณคอนโซลดูโล่งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการด้วยแป้น Paddle Shiift หลังพวงมาลัย  

 

เครื่องยนต์ดีเซล i-DTEC 1.6 ลิตร ให้สมรรถนะที่เกินตัว เร้าใจถึง 160 แรงม้า

 

ระบบส่งกำลัง Shift by Wire ไร้ซึ่งคันเกียร์ พร้อมเติมความเร้าใจด้วย Paddle Shift

 

Brake Hold ยังคงเป็นลูกเล่นในดวงใจของ BoxzaRacing เสมอ

 

                เครื่องยนต์ดีเซล i-DTEC พิกัด 1.6 ลิตร ถือเป็นไฮไลท์หลักของ Honda CR-V เจนเนอเรชั่นนี้เลยก็ว่าได้ โดยขุมพลังบล็อคนี้ มาในรูปแบบดีเซล พ่วงเทอร์โบชาร์จแบบ 2 จังหวะ (อัตราบูสต์สูงสุด 2.0 บาร์) โดยประกอบไปด้วยเทอร์โบแรงดันต่ำ และเทอร์โบแรงดันสูง ที่จะทำงานร่วมกันเพื่อเรียกอัตราเร่งที่โดดเด่นตั้งแต่ในรอบต่ำ ซึ่งในตัวเทอร์โบแรงดันสูงนั้น จะมาในรูปแบบแปรผัน VGT (Variable Geometry Turbocharger) เพื่อการเร่งออกตัวที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเทอร์โบแรงดันต่ำนั้น จะสำแดงพลังเมื่อต้องการอัตราเร่งในย่านความเร็วที่สูงขึ้นไป โดยระบบจะปรับการทำงานของเทอร์โบทั้ง 2 ลูก อย่างเหมาะสม เพื่อรีดพละกำลังออกมาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ก่อนจะถูกส่งไประบายความร้อนและเพิ่มความหนาแน่นของไอดีด้วยอินเตอร์คูลเลอร์ส่วนระบบจ่ายเชื้อเพลิงมาในรูปแบบคอมมอนเรลแรงดันในระบบ 1,600 บาร์ กำลังสูงสุดที่ทำได้คือ 160 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมกับแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังได้แบบเนียนๆ ด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ที่ให้ทั้งอัตราเร่งที่ต่อเนื่องและความประหยัดแม้ต้องเดินทางในย่านความเร็วสูง

 

 

                สิ่งที่สัมผัสได้หลังจากที่ได้ทดลองขับ Honda CR-V ขุมพลัง i-DTEC คือ เรื่องของความกระฉับกระเฉงและฟีลลิ่งการขับขี่ที่สนุกสนานยิ่งขึ้น ด้วยเรื่องยนต์ที่มีแรงบิดในระดับ 350 นิวตัน-เมตร มาให้ใช้งานตั้งแต่ในรอบต่ำ ทำให้การออกตัว หรือเร่งแซงทำได้อย่างทันอกทันใจ ไม่ต้องเค้น (ใช้คันเร่งน้อยกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบ็นซินแบบรู้สึกได้ชัดเจน) ซึ่งสำหรับการใช้งานทั่วๆ ไป การขับเคลื่อนด้วยโหมด D ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับทุกการใช้งานอยู่แล้ว ด้วยความที่ชุดเกียร์มีอัตราทดอย่างต่อเนื่องถึง 9 จังหวะ ทำให้การส่งต่อกำลังมีความต่อเนื่องในทุกย่านความเร็ว แต่หากต้องการความสนุกในการขับขี่มากยิ่งขึ้น เพียงแค่กดปุ่มสลับโหมดจาก D เป็น S ก็ยิ่งจะช่วยเพิ่มอารมณ์การขับขี่ให้สายซิ่งได้ประทับใจได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการปรับรอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในช่วงที่สามารถเรียกแรงบิดสูงสุดออกมาใช้ได้ทันที คือ ในย่านประมาณ 2,000 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ของรุ่นนี้ อยู่ที่ 10.x วินาที ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นเครื่องยนต์เบ็นซินมากๆ

 

 

                 ส่วนเรื่องที่หลายๆ คนกังวลว่า การทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลจะมีเสียงดังเล็ดลอดเข้ามารบกวนในห้องโดยสารหรือไม่ BoxzaRacing คอนเฟิร์มเลยว่า การเก็บเสียงของ Honda CR-V ใหม่ ถือว่าทำมาได้ดีเลยทีเดียว เสียงส่วนใหญ่ที่ได้ยินนั้น จะมาจากยางหรือลมปะทะในการวิ่งที่ความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม. เสียมากกว่า ฟีลลิ่งของช่วงล่าง ยังคงมาในแนวนุ่มหนึบ โดยสารได้อย่างสะดวกสบาย ไว้ใจได้เรื่องทรงตัวในทุกรูปแบบ อาจจะไม่ได้สปอร์ตจ๋าเหมือนคู่แข่งในเซ็กเม้นท์เดียวกัน แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ โดยสิ่งที่โดดเด่นมากๆ เลยก็คือ ในเรื่องของระบบเบรกที่ให้ประสิทธิภาพที่ดี สามารถชะลอความเร็วได้ตามน้ำหนักที่กดลงไป และสิ่งที่อดพูดถึงไม่ได้เลยก็คือ เรื่องของความประหยัดที่หากใช้งานในความเร็วทั่วไป ไม่เกิน 120 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์จะอยู่ที่ไม่เกิน 1,600 รอบ/นาที เท่านั้น (ที่เกียร์8) แต่หากเกิน 130 กม./ชม. ขึ้นไป เกียร์จะขยับขึ้นในระดับ 9 แน่นอนว่า การเดินทางยาวๆ ด้วยความเร็วคงที่ น่าจะให้อัตราการบริโภคเชื้อเพลิงได้อย่างน่าพอในแน่นอน โดยตัวเลขที่ทำได้คร่าวๆ ในทริปนี้ คือ 15.5 กม./ลิตร ซึ่งถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว

 

ชอบแบบไหน...ให้สไตล์ เป็นคำตอบ

 

                Honda CR-V ใหม่ ทั้ง 2 รุ่น กับความแตกต่างเรื่องราคาราว 1.5 แสนบาท ควรเลือกซื้อรุ่นไหน ? แม้ว่า Honda CR-V ใหม่ ทั้ง 2 รุ่นนี้ มีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกันมากๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องของสมรรถนะโดยรวม ดูจากอัตราเร่ง ฟีลลิ่งการขับขี่ และการทรงตัว ที่ใกล้เคียงกันมาก จนไม่อาจนำมาเป็นประเด็นในการตัดสินใจ งานนี้คงต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลล้วนๆ เบ็นซินน่าจะเหมาะกับคนชอบความนุ่มนวล สะดวกสบาย ไปเรื่อยๆ สไตล์รถครอบครัว ส่วนคนชอบความจัดจ้าน คลั่งไคล้การขับขี่ในสไตล์สปอร์ต บนความประหยัดที่เหนือกว่า การต้องจ่ายเพิ่มอีกราว 1.5 แสนบาท ก็ดูน่าจะเป็นการลงทุน (เพิ่ม) ที่คุ้มค่าไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

 

 

Honda CR-V 2017 เครื่องยนต์เบนซิน

รุ่น 2.4 E ราคา 1,399,000 บาท

รุ่น 2.4 EL 4WD ราคา 1,549,000 บาท

 

Honda CR-V 2017 เครื่องยนต์ดีเซล

รุ่น DT E ราคา 1,549,000 บาท

รุ่น DT EL 4WD ราคา 1,699,000 บาท

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook