Mitsubishi Pajero Sport เทียบสิ่งที่ได้กับส่วนต่างที่ต้องเพิ่ม เลือกแแบบไหน...โดนใจกว่ากัน
รูปลักษณ์ภายนอก
Mitsubishi Pajero Sport 2015 รุ่น GT- Premium (รุ่นท็อป) และรุ่น GT จะมีความแตกต่างกับรุ่น GLS- LTD (รุ่นเริ่มต้น) อยู่บ้างเล็กน้อย โดย GT- Premium และ GT จะติดตั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ Bi-LED ที่มาพร้อมระบบปรับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ และไฟเวลากลางวันแบบ Spectrum LED Daytime Running Light อีกทั้งยังมีระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ ปิดท้ายด้วยการติดราวหลังคาเพื่อให้เป็นรถที่สมบูรณ์แบบในทุกการใช้งาน เพิ่มประโยชน์ใช้สอยได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ลายของล้อแม็กที่ให้มาจะไม่เหมือนกัน เพราะ GT- Premium จะใช้แบบ Two-Tone ส่วน GT และ GLS- LTD จะใช้ล้อแบบ Mono-Tone ในขนาด 18 x 7.5J เท่ากัน
ภายในห้องโดยสาร
Mitsubishi Pajero Sport รุ่น GT- Premium และ GT ได้รับการออกแบบภายในที่เหนือกว่า GLS- LTD อย่างเห็นได้ชัด ไมว่าจะเป็นจอแสดงข้อมูลขับขี่ ระบบแยกปรับอากาศแบบแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา ต่อด้วยระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย และระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย รวมถึงเบาะที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะ GT- Premium และ GT จะใช้เบาะที่หุ้มด้วยหนังสีดำ ทั้งที่นั่งด้านหน้า แถวที่ 2 และแถวที่ 3 ส่วน GLS- LTD จะใช้เป็นเบาะที่หุ้มด้วยผ้าสีดำ ส่วนทางด้านความบันเทิงก็นับว่าแตกต่างกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียงที่สามารถรองรับ DVD บวกกับหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว และระบบเชื่อมต่อบลูทูธแบบ A2DP กับระบบนำทางในรถยนต์ ปิดท้ายด้วยจอภาพแบบ Wide Screen พร้อมเครื่องเล่น DVD, รีโมท และหูฟังอินฟราเรด 2 ชุด สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ซึ่งจะทำงานร่วมกับลำโพง 6 จุด ของรุ่น GT- Premium และ GT
ด้านเครื่องยนต์
Mitsubishi Pajero Sport 2015 ทั้ง 3 รุ่น จะใช้เครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อที่เหมือนกันนั่นก็คือ เครื่องยนต์ดีเซล 4N15 แบบ 4 สูบ ไมเวคคลีนดีเซล ขนาด 2.4 ลิตร ที่จะให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 สปีด ซึ่งจะมาพร้อมระบบ G-SENSOR ที่มีหน้าที่ควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้มีความแม่นยำมากขึ้นในทางลาดชัน และระบบ Idle Neutral Control ที่ทำหน้าที่ควบคุม และตัดกำลังไปยังเพลาขับโดยอัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรค แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ระบบขับเคลื่อน เนื่องจาก GT- Premium จะมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Super Select 4WDII ส่วน GT และ GLS- LTD จะใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ
ระบบความปลอดภัย
ด้านระบบความปลอดภัยของ GT- Premium หรือรุ่นท็อปจะมีระบบที่เหนือชั้นกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยด้านข้าง, บริเวณหัวเข่าด้านคนขับ และม่านถุงลมนิรภัย รวมถึงระบบ HDC-Hill Descent Control System (ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ต่อด้วยระบบที่มีความทันสมัยอย่างระบบ UMS-Ultrasonic misacceleration Mitigation System ที่จะตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเกิดการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรง และรวดเร็วในระยะไม่เกิน 4 เมตร ตามมาด้วยระบบ BSW–Blind Spot Warning ที่ทำงานด้วยการใช้คลื่นอัลตร้าโซนิค เพื่อส่งสัญญาณไฟเตือนบนกระจกมองข้างให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีรถอยู่ในจุดอับสายตา ซึ่งคุณไม่สามารถมองเห็นได้จากกระจกมองข้าง ปิดท้ายด้วยระบบ Multi-around Monitor หรือกล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ ที่จะทำงานผ่านกล้อง 4 ตัว เพื่อประมวลผลและแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะติดตั้งอยู่ในรุ่น GT- Premium เท่านั้น ส่วนระบบความปลอดภัยที่รุ่น GLS- LTD ไม่ได้ติดตั้งมาให้ด้วยก็จะมี ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ต่อด้วยระบบ FCM-Forward Collision Mitigation System ที่จะช่วยเตือนการชนด้านหน้าตรง ที่มาพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ปิดท้ายด้วยกล้องมองภาพด้านหลังขณะถอยจอด ที่มาพร้อมเส้นกะระยะ
สรุป
Mitsubishi Pajero Sport 2015 ทั้ง 3 รุ่น นับว่ามีข้อแตกต่าง และลูกเล่นที่แตกต่างกันมากอยู่พอสมควร ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับราคาของรุ่นตัวท็อป GT- Premium (4WD) ที่มีราคา 1,450,000 บาท (ช่วงโปรโมชั่น 1,399,000 บาท) และรุ่นเริ่มต้น GLS-LTD (2WD) ที่มีราคา 1,138,000 บาท แล้วหล่ะก็...สำหรับคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยประดุจยนตรกรรมที่เน้นเรื่องความปลอดภัยจากฝั่งยุโรป ถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่ต้องเพิ่มอย่างเห็นได้ชัด ส่วนถ้าคนที่ไม่เน้นเรื่องของเทคโนโลยีมากมาย ไม่เน้นว่าต้องเป็นรถที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ ใช้งานทั่วไป เน้นความสะดวกสบายและลูกเล่นเป็นหลัก รุ่นกลางที่ราคา 1,250,000 บาท ก็ดูจะเป็นราคาที่เหมาะสม และเป็นคำตอบที่น่าจะลงตัวที่สุด แต่ก็ใช่ว่ารุ่นเริ่มต้นจะไม่มีทีเด้ดทีขาดเสียทีเดียว เพราะด้วยค่าตัวเพียงล้านต้นๆ กับสิ่งที่ได้มาแบบเทียบเท่าหรือเหนือกว่าคู่แข่งในคลาส ไม่ว่าจะมองมุมไหน Mitsubishi Pajero Sport ก็ยังเป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์สุดคุ้มอยู่ดี