เขียนโดย: D Wisanuporn

เมื่อ: 2 มิถุนายน 2567 - 02:20

เจาะสเปค ลองหวดจริง แต่จะขายเมื่อไรไม่รู้กับ 4 โมเดล ค่าย BYD

        กลับมาพบกันอีกครั้งกับการทดลองสมรรถนะจริงในแบบฉบับ BoxzaRacing กับ EV ท้้ง 4 โมเดลจากค่าย BYD ทั้งพวงซ้าย พวงขวา ที่ดูแล้วน่าจะรู้ว่าคันไหนจะขายจริง คันไหนแค่โชว์ ครั้งนี้ไปลองกันแบบเต็มๆ บนแทร็กในตำนานอย่าง พีระฯ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต พัทยา   

 

BYD Seagull 

       ไม่รอช้ามาดูเลยว่า รถสี่คันมีรุ่นอะไรบ้าง เริ่มจากรุ่นเล็กอย่าง BYD Seagull ที่มาพร้อมกับ กำลังสูงสุด 55 กิโลวัตต์ แรงบิด 135 นิวตัน-เมตร ด้วยตวามจุของแบตเตอรี่ที่ 38.88 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ทำให้วิ่งได้ระยะทางตามมาตรฐาน NEDC ที่ 400 กิโลเมตร รองรับการชาร์จแบบ DC ที่กำลังสูงสุดที่ 40 กิโลัตต์  มาดูดีไซน์ของตัวรถแบบรอบๆ กัน ด้วยขนาดของตัวที่ยาวเพียง 3.78 เมตร กว้าง 1.715 เมตร และสูง 1.540 เมตร ก็ตีความได้ว่านี้ไม่ใช้ EV สมรรถนะสูง รูปทรงเน้นความเหลี่ยม เส้นสายคมชัด ซึ่งเข้ากันกับชิ้นส่วนต่างๆ อย่างตัวไฟหน้าทรงตริสตัลน้ำแข็ง 3 มิติ มาพร้อมล้อขนาด 16 นิ้ว แม้จะใหญ่ไปนิด แต่ไม่เป็นภาระในการขับเคลื่อน ตรงกันข้ามดูจะลงตัวกับรถทรงนี้ด้วยซ้ำไป ภายใน มาเท่าที่จำเป็น กับหน้าจอขนาด 10.1 นิ้ว เบาะนั่งทรงดีกระชับ ด้านหลังนั่งได้ดีสบาย แต่ต้องดูระยะยาว สามารถพับลงเพิ่มพื้นที่ในการเก็บของได้มากขึ้น แต่ไม่แยกต้องพับทั้งตัว  

 

 

      สำหรับช่วงที่ทดลองขับในแบบ Full Race ทำให้เห็นถึงประสิทธิภาพต่างๆ ของรถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอัตราเร่งที่ทำได้ในแบบ EV City กับเวลาที่ทางต้นสังกัดเครมไว้ที่ 13 วินาที จากจุดหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งในทางตรงยาวของสนามก็ต้อง เค้น กันจนมอเตอร์แทบไหม้ แต่นั้นไม่เรื่องแปลก หรือจะเอามาพูดเป็นจุดด้อยกันก็ดูไม่แฟร์กับรถ อย่าลืมว่านี่เป็นรถที่เน้นในเรื่องของดีไซน์ ตวามคล่องตัวในการใช้งานในเมืองเป็นหลัก พละกำลังจึงไม่ใช่คำตอบของรถคันนี้

 

 

        ส่วนเรื่องของการทรงตัวก็ตามลักษณะของช่วงล่างที่ไม่ต่างจาก City Car ทั่วไป โดยด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson Strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Torsion Beam ที่เน้นเรื่องความแข็งแรง ชิ้นส่วนน้อย รวมไปถึงจุดยึดน้อยทำให้ความยึดหยุ่น หรือขยับตัวได้น้อย เมื่อเทียบกับช่วงล่างแบบอื่น ทั้งเรื่องความนุ่มนวล และการยึดเกาะแล้ว เป็นลองไม่ต้องส่งสัย แต่เรื่องความแข็งแรงอยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน ผลที่ได้จากการวิ่งในโต้ง โดยเฉพาะโค้งกว้างออกอาการชัดมาก ในบ้างครั้งจะต้องแก้อาการช่วย ส่วนหนึ่งมาจากระบบช่วยเหลือการขับยังมีไม่มากในรถรุ่นนี้ รวมไปถึงฐานล้อที่สั้นเพียง 2.5 เมตรทำให้มีอาการพับในโค้งได้มาก ตรงกันข้ามกับช่วง Slarom กลับทำได้ดีมีความคล่องตัว แต่โดยรวมแล้วรับได้แม้จะเสี่ยวๆ ไปนิด

 

BYD M6 

        ต่อมากับรถอเนกประสงค์รูปแบบ MPV กับ BYD M6 ที่มาพร้อมกับ e-Platform 3.0 ด้วยประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนที่ 150 กิโลวัตต์ แรงบิด 310 นิวตัน-เมตร ด้วย Blade Battery ความจุ 71.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง สร้างอัตราเร่ง 8.6 วินาที จาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปได้ไกล 500 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC จับคู่กับระบบส่งกำลังแบบ 8 in 1 สู่ล้อคู่หน้า 

 

 

      ด้วยขนาดของตัวรถยาว 4.710 เมตร กว้าง 1.810 เมตร และสูง 1.690 เมตร กับระยะฐานล้อยาว 2.8 เมตรพอดี ด้วยรูปทรงและมิติต่างๆ พอจะเดาได้ว่า รถคันนี้เน้นที่ความนุ่มนวลเป็นหลัก เน้นการเดินทางที่ต้องการความสะบาย และผลจากการทดลองขับในสนามก็เป็นอย่างที่เข้าใจ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นรถที่ให้ความสะดวก แต่สมรรถนะในการขับไม่ด้อยเลยทีเดียว ในโค้งทำได้ดี แต่อย่างให้ออกอาการออกบ้างก็ตามแต่คนขับต้องการให้เป็น ด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ MacPherson Strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link ทว่าด้วยระบบที่ทำงานรวดเร็ว แม่นยำทำให้ความสนุกหายไปบ้าง แต่นั้นเป็นเรื่องของในสนาม แต่ในถนนนับเป็นเรื่องที่ดีทำให้การใช้งานมีความปลอดภัยอย่างมาก

        กลับมาคุยต่อในเรื่องทดลองขับ ช่วงทางตรงเป็นที่น่าพอใจสามารถเร่งได้ดี ไม่อืดอาดเกินงาม ต่างจากคันแรก เรียกว่าหลังจากจับพวงมาลัย BYD M6 ดีกรีความเร้าใจก็เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ ในการทดลองขับรถ BYD ในครั้งนี้ เป็นที่น่าเสียดายที่ได้ลองไม่มาก รายละเอียดบางอย่างขาดหายไป แต่โดยรวมแล้วเป็น MPV ที่น่าใช้ไม่น้อยทีเดียว ยิ่งเป็นรถพลังงานไฟฟ้าแล้วจุดเด่นหลายอย่างที่ MPV สันดาปไม่ชัด กลับเจอได้ในคันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเงียบ สะบาย การเร่งแซงที่เป็นจุดด้อยของรถประเภทนี้ก็ไม่มีให้เห็น  

 

 

        กลับมาดูเรื่องการดีไซน์ของ BYD M6 ด้านหน้าให้อารมณ์ไม่ต่างจากรถในค่ายหลายรุ่น กับแนวคิดในแนวราชวงศ์ (Dynasty series) หลังคาพาโนรามมิกซันรูฟ ประตูด้านท้ายไฟฟ้า สำหรับคันนี้เน้นที่เรื่องภายในซึ่งมีการออกแบบช่องปรับอากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก เกราะกำบังไหล่ ที่ถือเป็นหัตถกรรมโดดเด่นของราชวงศ์จีน มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ปรับหมุนด้วยไฟฟ้า

 

 

BYD Sealion 7 

       คันต่อมาเป็นรถที่แรงสุดในอีเว้นท์นี้ กับ BYD Sealion 7 รถ SUV Sport ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์คู่พกความแรงรวมระดับ 390 กิโลวัตต์ แยกด้านหน้า 160 ส่วนด้านหลัง 230 กิโลวัตต์ แรงบิดรวมที่ 670 นิวตัน-เมตร ด้านหน้า 310 ส่วนด้านหลังที่ 360 นิวตัน-เมตร ความจุแบตเตอรี่ 82.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งที่ 540 กิโลเมตร มาตรฐาน NEDC 

 

 

         ขนาดตัวรถยาว 4.830 เมตร กว้าง 1.925 เมตร และสูง 1.620 เมตร กับระยะฐานล้อยาว 2.93 เมตร ในเรื่องการทดลองสมรรถนะ ตามสเปคสามารถทำเวลาในการวิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่ว ภายใน 4.5 วินาที แม้ว่าครั้งนี้จะไม่มีเครื่องมืออะไรมายึนยัน แต่ก็สัมผัสอาการดึงแบบเร้าใจได้ไม่ยาก แม้ว่าหัวไม่ติดเบาะก็ตาม ส่วนเรื่องการเล่นโต้งในแบบต่างๆ ถือว่าสนุกทีเดียว ความแม่นยำของพวงมาลัย สำหรับเบรกก็ทำได้ดี ชนิดที่สั่งได้ว่าให้จิกเข้าไปส่วนไหนของโค้ง หรือต้องการเบรกเพื่อตั้งลำก็ทำได้ดีไม่เสียอาการจนเกินควบคุม ทำงานร่วมกับระบบช่วงล่างแบบ MacPherson Strut ที่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link

        มาดูที่เรื่องของภาพลักษณ์ของตัวรถคันนี้ ดีไซน์ล้ำในแบบฉบับของ BYD ที่มาในรูปทรง SUV Sport ท้ายลาด มีจุดเด่นที่เรื่องของกระจกบานหน้า และด้านข้างคู่หน้า แบบเก็บเสียง หลังคาพาโนรามิกตัดแสง พร้อมล้อขนาด 20 นิ้ว และยางขนาด 245/45 R20 ทั้งสี่ล้อ ภายในกับหน้าปัดหลังพวงมาลัยขนาด 10.25 นิ้ว ส่วนจอกลางขนาด 15.6 นิ้ว ระบบฟอกอากาศประจุลบ เครื่องเสียง Dynaudio ลำโพง 12 จุด กล้องมองรอบคัน 360 

 

 

Denza D9

       คันสุดท้ายสำหรับการทดลองขับในงานนี้เป็นอีกหนึ่งคันแบรนด์ Denza ภายใต้ผู้ผลิต BYD อย่าง Denza D9 รถอเนกประสงค์ Luxury MPV ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ความล้ำ รวมทั้งสมรรถนะที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์คู่ ให้กำลังสูงสุด 275 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงถึง 470 นิวตัน-เมตร โดยเน้นที่ด้านหน้ามากกว่า ด้วยกำลังของมอเตอร์หน้าที่ 230 กิโลวัตต์ แรงบิด 360 นิวตัน-เมตร ส่วนมอเตอร์หลังให้กำลังที่ 45 กิโลวัตต์ กับแรงบิด 110 นิวตัน-เมตร ความจุแบตเตอรี่ 103 กิโลวัตต์ชั่วโมง ไปได้ไกล 580 กิโลเมตร NEDC งานนี้สร้างอัตราเร่งในทางตรงของสนามจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วภายใน 6.9 วินาที แต่นี่เป็นสเปคจากโรงงาน แน่นอนว่างานนี้ยังไม่เอาจริง ส่วนในทางโค้งถือว่าดีที่เดียว ด้วยขนาดตัวรถที่ยาวถึง 5.250 เมตร ส่วนความกว้างอยู่ที 1.960 เมตร และสูง 1.920 เมตร กับระยะฐานล้อยาว 3.11 เมตร ประกอบกับระบบช่วงล่างแบบ DiSus-C ซึ่งระบบจะมีการปรับระดับการกระแทก โดยการประมวลบผล และควบคุมด้วย โซลินนอยด์วาล์ว งานนี้นั่งไปแบบเนียนๆ ไม่ว่าจะเป็นการ Slarom หรือ โค้งเอส ตลอดจนโค้งยูเทิร์น เก็บได้หมด 

 

 

        มาดูภาพลักษณ์ของรถแนวผู้บริหารกันว่ามีอะไรเด่นบ้าง อย่างแรก รถรุ่นนี้ได้รับการออกแบบในแนวโมเดิร์นแบรนด์ Denza TT-Motion ด้านหน้าแบบ Pi Motion โดยไฟหน้าเป็นแบบ Meteor Arrow ไฟท้ายแนวคิดจากฝนดาวตกที่พบได้มากมายในจีน ประตูคู่ด้านข้างแบบไฟฟ้า โดดเด่นเรื่องการเก็บเสียงด้วยการใช้ยางคุณภาพสูง ภายในอลังกาลมากมาย เรือนไมล์แสดงผลแบบ 3D ผ่านจอ LCD ขนาด 10-25 นิ้วเน้นระบบความบันเทิง ด้วยจอมัลติมีเดียสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าขนาด 15.6 นิ้ว ส่งสัญญาณ W-fi ในตัว รวมถึง I-Call และ E-Call ที่สามารถขอความช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน รวมถึงแสดงผลการขับสะท้อนบนกระจก W-HUD กว้างถึง 12.8 นิ้ว  

       เบาะนั่งหนังแนปป้ารอบคัน ที่นั่งแถวสองปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง แถวสามปรับ 4 ทิศทาง อัดแน่นด้วยระบบช่วยเหลือการยับอัจฉริยะ โปร่งสะบายด้วยหลังคา Panoramic Sunroof ขนาด 1.1 ตารางเมตร เงียบยิ่งขึ้นด้วยกระจกกันเสียง 2 ชั้นรอบคัน อัดแน่ด้วยระบบช่วยเหลือการขับอัจฉริยะ และระบบความปลอดภัยมากกว่า 30 รายการ

 

 

        เป็นเรื่องที่น่าเสียด้าย เพราะไหนๆ ก็มาถึงสนามแล้ว แต่ไม่สามารถ หวด ได้เต็มที่ทุกคัน เพราะมีรถหลากรุ่นที่ต้องทดลองขับกับเวลาที่จำกัดเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ที่แน่ๆ คันไหนพร้อมขาย ดูที่พวงมาลัยขวา น่าจะมีเปอร์เซ็นสูง ส่วนราคาค่าตัว ก็ประมาณการจากสเปคที่ลงให้ดูก็น่าจะเดาได้ ที่เหลือก็โปรฯ ของทาง Rever ว่าจะลด แลก แจก แถมอะไร ก็ต้องติดตามกันต่อไปกับ EV จากค่าย BYD ไว้มีโอกาสจะนำมาทดลองสมรรถนะกันแบบเจาะลึกทีละคันอีกครั้ง

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook