เป็นที่น่าเสียดายสำหรับ Honda e:N1 ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบของ Honda ที่ยังไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ในวันนี้ แต่สำหรับคนที่สนใจ และอยากลองสัมผัสยนตรกรรมไฟฟ้า 100% ที่ผลิตในประเทศไทย สามารถ เช่า ขับได้ในระยะยาว กับทางบริษัทผู้ให้บริการเช่ารถด้วยเงื่อนไขพิเศษโดยเฉพาะเรื่องของบริการต่างๆ ที่ทาง Honda พร้อมมอบให้
Imege
และก่อนไปทดลองสมรรถนะเรามาดูเรื่องของดีไซน์ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของรถรุ่นนี้ที่สร้างขึ้นจากแพลตฟอร์ม e:N Architecture F ซึ่งหลายคนต่างฟันธงว่านี้น่าจะเป็นการนำรถ Honda HR-V มาปรับโฉม ซึ่งก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นเช่นนั้น หลังจากที่เราทีมงานได้รับข้อมูลมาส ซึ่งเมื่อดูด้วยรูปทรงของรถนั้นแทบจะไม่แตกต่างไปจาก Honda HR-V ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันจะมีเพียงแค่ด้านหน้า และด้านท้ายที่ปรับเปลี่ยนให้มีความรู้สึกเป็นรถไฟฟ้า 100% กระจังหน้า เป็นรูปแบบของรถไฟฟ้า กับช่องชาร์ทที่ด้านหน้าที่สามารถเปิด-ปิดจากในรถ และนอกรถ รวมถึงดีไซน์ของชุดไฟหน้าที่สอดรับกับตัวกระจังหน้าได้อย่างพอดีที่มาพร้อมกับไฟ LED แสดงสถานะขณะชาร์จไฟ รวมถึงตาสัญลักษณ์ H Mark ดีไซน์ใหม่โดยใช้สีขาวเป็นหลัง ซึ่งต่างจากรุ่น Hybrid ที่เป็นสีฟ้า แน่นอนว่านี่เป็นการบ่งบอกถึงความเป็นรถไฟฟ้า
มาดูที่เรื่องขนาดของตัวรถ e:N1 นั้นจะสั้นกว่า HR-V อยู่ 5 มิลลิเมตร แต่สูงกว่า 2 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างของตัวรถเท่ากัน ส่วนด้านข้างลักษณะคล้ายคลึงกับ HR-V ในตัวโฉมปัจจุบันความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของดีไซน์ของล้อ ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานเฉพาะเจาะจงกับขนาด 18 นิ้ว ในส่วนนี้ยังมีรายละเอียดสำคัญซ่อนอยู่นั่นคือเรื่องของการเก็บ และลดเสียง ที่ทาง Honda ได้ใส่เทคโนโลยีที่เรียกว่า NV Technology เพื่อลดเสียงลบกวนที่มาจากล้อ รวมไปถึงชิ้นส่วนของชุดรองรับน้ำหนัก ขยับไปดูที่ด้านท้าย ได้รับปรับเปลี่ยนจากโลโก้มาเป็นตัวอักษร HONDA ที่อาจให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่สำหรับผู้พบเห็น
ภายใน ได้รับการออกแบบแตกต่างทั้งเรื่องของรูปทรง และวัสดุ ตัวแผงคอนโซลหน้าถูกลดระดับลงทำให้ทัศนวิสัยในการมองมากขึ้นเซ็นเตอร์พาแนลถูกออกแบบใหม่ให้มีการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นยกตัวอย่างเช่น ชุดควมคุมเกียร์ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นแบบสวิทช์กด ส่วนหน้าจอขนาดใหญ่ 15.1 นิ้ว แนวตั้ง ที่รวมการใช้งานไว้ในจอเดียว ทว่าเป็นการแบ่งโซนการแสดงผลออกเป็นสามส่วน คือ Upper Zone, Midle Zone และ A/C Zone สามารถแสดงผลการเชื่อมต่อระบบความบันเทิง การแสดงผลต่างๆ ในการทำงานของรถ และระบบควบคุมทำความเย็น พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชันสามารถควบคุมระบบความบันเทิง ตลอดจนสั่งการระบบควบคุมควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เบาะนั่งเป็นแบบปรับด้วยกลไก หลังพวงมาลัยเป็นหน้าปัดขนาด 10.25 นิ้ว แบบ Full TFT และหากสังเกตุดีๆ จะเห็นส่วนที่เหมือนกันกับ HR-V นั่นคือ Air Diffusion ที่เป็นแถบยาว
ห้องโดยสารตอนหลังเรียบง่ายให้ความรู้สึกโปร่งโล่งพอสมควร ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนรูปทรงของเบาะนั่งให้ความสูงขึ้น แต่สั้นลงตัววัสดุมีการปรับเปลี่ยนไปด้วยสำหรับในรุ่น e:N1 สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมีให้ครบเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่ดูโดยรวมแล้ว ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป จนใช้งานไม่ได้
Porformance
สำหรับรถรุ่นนี้มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ผ่านมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ 3-in-1 (Motor, Power Drive Unit และ Gearbox) กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ หรือประมาณ 204 แรงม้า ส่วนแรงบิดที่ได้อยู่ที่ 310 นิวตัน-เมตร เลือกโหมดการขับได้ 3 รูปแบบ ทั้ง Sport Mode, Normal Mode รวมไปถึงโหมดการขับแบบประหยัด ECON Mode ส่งพลังไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี ริเธียม-ไอออน ขนาด 68.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง พร้อมระบบระบายตวามร้อนแบบน้ำ เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถทำระยะวิ่งได้ประมาณ 500 กิโลเมตร มาตรฐาน NEDC รูปแบบการชาร์จ AC แบบ Type 2 ส่วน DC เป็นแบบ CCS2 ในเรื่องของการชาร์จ Honda e:N1 สามารถปรับตั้งค่าให้เข้ากับสภาพการชาร์จต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จที่ บ้าน หรือการชาร์จไฟ เมื่ออยู่ไกลรถ โดยมี 3 ระดับให้เลือก ตั้งแต่ LOW ซึ่งจํากัดกำลังไฟฟ้าไว้ที่ 6 แอมป์ ไปจนถึง HIGH ที่รองรับกระแสไฟสูงสุดจากเครื่องชาร์จได้เท่ากับกำลังสูงสุดที่แบตเตอรี่จะรับได้
และที่สำคัญกับระบบความปลอดภัย Honda sensing อาทิ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Information – BSI) ระบบเตือนเมื่อมีรถผ่านขณะถอย (Cross Traffic Monitor – CTM) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) เซนเซอร์กะระยะ 8 จุด (8-position Parking Sensors) ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
Test Drive
ส่วนสมรรถนะในการขับด้วยมอเตอร์ที่ให้มา สามารถกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ หรือประมาณ 204 แรงม้า แน่นอนว่าจุดเด่นของรถ BEV คือสามารถปลอยพลังงานออกมาได้เต็มที่ และทันทีเมื่อกดคันเร่ง แรงบิดที่จากมอเตอร์สู่ล้อมาครบถ้วนซึ่งไม่แปลกใจมาก ส่วนตัวเลขอัตราเร่งจาก 0-100 นั้นเป็นเพียงตัวเลขในสเปคเท่านั้น อาจมีความผันแปรตามสถานะการณ์ และพื้นผิวที่อาจทำให้รถมีอาการแตกต่างไปตามแต่รูแบบการขับของแต่ละคน รวมถึงประสบการณ์ในการควบคุมการทำงานของรถ บ้างมีอาการสลิปล้อหมุนฟรีอยู่กับที่ เนื่องจากแรงบิดที่ถ่ายลงมาที่ล้อ หรือบางครั้งระบบมีการจัดการเพื่อให้การขับมีความปลอดภัย ซึ่งปัจจัยทั้งหมดมีส่วนทำให้ตัวเลขของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ทว่านั่นเป็นเพียงตัวเลขในสเปคเท่านั้น
การใช้งานจริงเราอาจจะใช้ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ได้ไม่เต็มที่ด้วยสภาพแวดล้อม หรือทักษะในการขับอย่างที่บอก ซึ่งผลจากการทดลองขับในครั้งนี้ปรากฏว่าอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งสามารถทำได้ใกล้เคียงกับตัวที่ทางต้นสังกัดกำหนดไว้ส่วนความเร็วปลายทำได้ตามที่ค่ายบอกไว้ ส่วนหนึ่งมาจากตัวเลขไมได้สูงมากนัก และในจุดนี้อาจทำให้หลายคนดูจะผิดหวัง แต่หากนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ทั้งอัตราเร่ง หรือความเร็วสูงสุดที่ใช้งานได้ของรถคันนี้ ดูจะเหมาะสมอยู่พอสมควรหากนำมาใช้ในชีวิตประจำวันทั้งในเมือง และนอนเมือง ในเรื่องของระบบรองรับน้ำหนักอาจดูด้อยกว่ารุ่น e:HEV ไปซักเล็กน้อย จะมีบางครั้งที่เกิดอาการชัดเจน เมื่อใช้ความเร็วต่อเนื่อง หรือหากเจอกับสภาพเส้นทางที่เกินกว่ารถจะตอบสนองได้ทัน(แต่ไม่เกิดอันตราย) เรียกว่ารับได้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องอาศัยการควบคุมจากคนขับเป็นหลัก ซึ่งตรงนี้ต้องยกให้การทำงานของพวงมาลัยที่ปรับมาได้ค่อนข้างดี โดยรวมแล้ว Honda e:N1 ไม่ใช่รถที่เน้น Porformance แต่เน้นไปที่การใช้งาน สามารถใช้ได้ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะในเมืองหรือเดินทางในระยะที่ไกลเกินกว่าพลังงานในแบตเตอรี่มี ก็สามารถทำได้แบบไร้กังวล แม้ระยะทางที่ทำได้จะอยู่ในกลุ่มกลางๆ ไม่น้อยไป แต่ก็ไม่มากจนเอามาคุยได้ แต่สุดท้ายรถรุ่นนี้ยังไม่เปิดให้จับจองเป็นเจ้าแต่ก็สามารถเช่าใช้ได้ในระยะยาว เรียกว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการใช้รถไฟฟ้าของ Honda ไปก่อนเป็นเจ้าของจริงจังในภายภาคหน้า
Honda e:N1 มีให้เลือก 1 รุ่นย่อย มาพร้อม สีภายนอก 1 สี ได้แก่ สีขาวพรีเมียมซันไลท์
ลูกค้าที่สนใจสัมผัสประสบการณ์ขุมพลังการขับเคลื่อนไฟฟ้า 100% ของ Honda e:N1 สามารถสัมผัสได้ด้วยการเช่าใช้ ผ่านบริษัทรถเช่าชั้นนำ อาทิ
