ก่อนไป พูดถึงเรื่องสมรรถนะมาดูที่ภาพลักษณ์ของตัวรถ Kia EV9 กันก่อนสำหรับรุ่นที่ได้ลองขับในครั้งนี้เป็นรุ่น GT Line AWD ซึ่งมีความแตกต่างกับรุ่น Earth Long Range อยู่เล็กน้อยทั้งเรื่องของขนาด แล้วพละกำลังร่วมไปถึงระบบขับเคลื่อน ทว่าครั้งนี้จะเน้นไปที่รุ่น GT Line AWD เพียงอย่างเดียว
Kia EV9 รุ่น GT Line
Image
สำหรับภายนอกของ รุ่นนี้ แทบไม่แตกต่างกัน หากไม่สังเกตุให้ดีด้วยขนาดตัวถังที่ยาว 5.015 เมตร กว้าง 1.980 เมตร สูง 1.780 เมตร และฐานล้อยาว 3.100 เมตร แม้ว่าจะเป็นรถรูปแบบ SUV ท่ว่าระยะห่างจากพื้นถึงจุดต่ำสุดของรถอยู่ที่ 177 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับรถ SUV หรือ Corssover หลายๆ รุ่น แต่ยังมีส่วนที่เห็นได้ชัดซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าทั้งสองรุ่นแตกต่างกัน คือ แร็คหลังคา แบบ Low Profile Type สีดำ รวมถึงการตกแต่งตามจุดต่างๆ เป็นสีดำ Gloss Black มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED ทรงลูกบาศก์ขนาดเล็กที่มี Dynamic Welcome Light ทำงานอัตโนมัติ ความโดดเด่นอีกอย่างคือ ตัวกระจังหน้าที่ตกแต่งด้วยไฟ LED แบบ Digital Grille เช่นเดียวกับ DRL ที่เป็นแบบ LED ที่สลับเป็นไฟเลี้ยวในตัว ส่วนการออกแบบด้านท้ายมาพร้อมกับไฟ LED รวมถึงสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรก ด้านบนหลังคามาพร้อมกับซันรูปแยกสองบาน หน้า หลังควบคุมด้วยไฟฟ้า ล้อที่ใช้กับรุ่นนี้มีขนาด 21 นิ้ว ส่วนรุ่น Earth Long Range นั้นใช้ขนาด 20 นิ้ว
ส่วนที่บ่งชี้ว่าทั้งสองรุ่นแตกต่างกัน คือ แร็คหลังคา แบบ Low Profile Type และล้อขนาด 21 นิ้ว สีดำในรุ่น GT Line AWD
สำหรับ Kia EV9 สมารถเรียกว่าเป็นยนตรกรรม SUV รุ่นแรก ที่ใช้แพลตฟอร์ม E-GMP ที่เป็นนวัตกรรมของ Kia ด้วยการออกแบบแพลตฟอร์มใหม่ด้วยพื้นเรียบ ซึ่งองค์ประกอบภายในของรุ่น GT Line AWD ด้านหน้ามาพร้อมกับหน้าปัดแบบ Digital Supervision จอแสดงผล LCD TFT ขนาด 12.3 นิ้ว ไม่รวมกับหน้าจอตวามบันเทิงที่อยู่ในกรอบเดียวกัน ระบบแสดงข้อมูลการขับบนกระจกหรือ HUD พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังสังเคราะห์พร้อมระบบอุ่นมือ พวงมาลัยปรับระดับสี่ทิศทางแบบไฟฟ้า สวิตช์เกียร์แบบ Column-Type Shift by Wire พร้อม Paddie Shift ปรับการทำงานในการ Regenertive Brake รวมถึงกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติพร้อมหน้าจอแสดงภาพด้านหลังในตัว และรุ่นนี้มาพร้อมกับระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกสามโซน พร้อมช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวที่สอง และแถวที่สาม
เบาะของ EV9 ที่ให้ความผ่อนคลายด้วยระบบ Relaxation ที่สามารถใช้ได้ทั้งคู่หน้า และแถวสอง
ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายรวมถึงการเชื่อมต่อผ่านระบบแอนดรอยด์ออโต้ และ Apple CarPlay แสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว แยกการทำงานกับจอแสดงการทำงานของรถหลังพวงมาลัย โดยในรุ่น GT Line AWD นี้มาพร้อมกับเครื่องเสียง เมอริเดียน พร้อมลำโพง 14. รอบคัน
สำหรบรุ่นนี้เป็นเบาะหุ้มหนังสังเคราะห์ แบบ 6 ที่นั่ง ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางสำหรับคู่หน้า มาพร้อมกับระบบผ่อนคลายความเหนื่อยล้าในการเดินทางด้วย Relaxation ที่มีให้ทั้งคู่หน้า และแถวสอง โดยจะสามารถปรับได้ด้วยการกดเพียงครั้งเดียวที่ตัวเบาะ หรือจะสั้งการผ่านหน้าจอสัมผัสก็ได้เช่นกัน พร้อมกันนี้ยังมากับระบบระบายอากาศ ระบบอุ่นและทำความเย็นที่เบาะ และเบาะรองขาปรับไฟฟ้า และระบบจดจำตำแหน่งของผู้ขับ 2 ตำแหน่ง เบาะแถวที่สามมาในแบบแยกพับด้วยไฟฟ้า
Performance
พละกำลังของรุ่น GT Line AWD มาพรัอมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังของมอเตอร์ (แยกด้านหน้า และหลัง) ให้ สูงสุด 192 แรงม้า หรือประมาณ 141.3 กิโลวัตต์ มีแรงบิดอยู่ที่ 350 นิวตัน-เมตร หากคิดรวมแล้วจะได้ 384 แรงม้า หรือประมาณ 282.6 กิโลวัตต์ แรงบิดเท่ากับ 700 นิวตัน-เมตร สร้างความเร็วปลายตามสเปคที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนอัตราเร่ง 0-100 อยู่ที่ 5.3 วินาที ซึ่งทั้งหมดเป็นตัวเลขจากโรงงาน เพราะฉะนั้นจะมีความคลาดเคลื่อนตามวิธีการขับของแต่ละบุคคล
ทั้งในรุ่น GT Line AWD และ Earth Long Range ใช้แบตเตอรี่แบบ Lithum-Ion Battery ขนาดความจุแบตเตอรี่ 99.8 กิโลวัตต์-ชั่วโมง รองรับการชาร์จแบบ AC สูงสุด 7 kW Single- phase และ 11 kW Three-phase รองรับการชาร์จแบบ DC สูงสุด 350 กิโลวัตต์ ที่มาพร้อมหัวชาร์จแบบ Type 2 สำหรับการชาร์จแบบ AC และ CCS Type 2 สำหรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง ระยะทางขับเคลื่อนไฟฟ้า มาตรฐาน NEDC ประมาณ 647 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
ส่วนระบบช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง หลังเป็นแบบ 5 ลิงค์ พร้อมคอยล์สปริง ในส่วนของฟังก์ชันรวมทั้งความปลอดภัยรุ่นนี้มาครบทุกระบบ อาทิ ถุงลมนิรภัยรอบทิศทาง 11 จุด ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC) และควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง (TSA) ระบบเบรก ABS + EBD พร้อมระบบ Multi-Collision Brake รวมทั้ง ระบบรักษาความสูงท้ายรถอัตโนมัติ Self Levelizer เป็นต้น
Test Drive
ในเรื่องของสมรรถนะแม้จะเป็นการทดลองขับในระยะสั้นๆ บนพื้นที่จำกัด แต่สามารถสัมผัสได้ถึงสมรรถนะของระบบส่งกำลัง และประสิทธิภาพในการควบคุมที่ละเอียด ด้วยน้ำหนักของพวงมาลัย ที่แม่นยำและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว มีการทำกงานสัมพันธ์กับระบบช่วงล่างที่ต้องรองรับน้ำหนักรถกว่า 3 ตัน ในช่วงที่ทดลองขับแบบ Salalom มีการโยกเปลี่ยนสลับซ้าย และขวา ตัวรถมีอาการโยนให้เห็น แต่ไม่มากโดยครั้งนี้ใช้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50 ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมถึงช่วง Lans Change ที่ต้องปรับเปลี่ยนเลนส์อย่างรวดเร็วตัวรถก็ยังมีความเสถียร ประกอบกับระบบการจัดการที่รวดเร็ว และละเอียดทำให้ไม่รู้สึกถึงความไม่มั่นคง มีการยึดเกาะที่ดีเกินคาด
Salalom โยกเปลี่ยนสลับซ้าย และขวา ตัวรถมีอาการโยนให้เห็น แต่ไม่มาก
รวมไปถึงสมรรถนะด้านความเร็ว ที่สามารถสร้างอัตราเร่งได้เกินตัว แม้ว่าตัวรถจะมีน้ำหนักมากแต่ไม่รู้สึกถึงความอืดอาด อัตราเร่งจากจุดจุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกับตัวเลข 5.3 วินาทีดูจะไม่เกินจริงด้วยกำลังของมอเตอร์ที่ให้แรงปั่นไฟ 141.3 กิโลวัตต์ทั้งหน้า และหลัง แรงบิดสูงถึง 350 นิวตันเมตรเมื่อรวมแล้วจะมีแรงบิดถึง 700 นิวตัน สามารถสร้างความเร็วสูงสุดได้ถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่บอกไปตอนต้น แม้ครั้งนี้จะไม่ได้ทดลองความเร็วบนท้องถนนกันในรูปแบบต่างๆ แต่ทั้งนี้ก็สัมผัสได้ถึง ความนุ่ม เงียบสบาย แต่แรงเร้าใจได้ทุกครั้งที่ต้องการ ซึ่งทั้งหมดมีอยู่ในตัวรถคันนี้กับ Kia EV9 รุ่น GT Line AWD
นอกเหนือจากสมรรถนะแล้ว ความโดดเด่นของ EV9 ยังอยู่ที่ความสะดวกสบายที่มีให้ตั้งแต่ห้องโดยสารตอนหน้า ตลอดไปจนถึงห้องโดยสารตอนกลาง และตอนท้าย จุดเด่นหรือจะเรียกเป็นจุดขายก็ว่าสำหรับ ตัวเบาะที่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกผ่อนคลายตลอดการเดินทางโดยเฉพาะกับระบบ Relaxation ที่สามารถปรับด้วยการกดเพียงกลุ่มเดียวที่หน้าจอ หรือที่ตัวเบาะก็ได้ ตัวเบาะจะทำงานโดยอัตโนมัติ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีฟังก์ชั่นเสริมทั้งนวด อุ่น และทำความเย็นที่ดูจะเหมาะกับสภาพอากาศในประเทศไม่น้อย ความโดดเด่นอีกจุดหนึ่งอยู่ที่เบาะของผู้ขับเมื่อเราปรับเปลี่ยนโหมดไปที่ Sport ตัวเบาะจะทำการปรับให้มีความกระชับ โอบรับกับตัวผู้ขับ ทำให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หน้าจอที่สามารถสั่งการทำงานต่างๆ ได้ค่อนข้างง่าย หากทำความเข้าใจแล้วจะสนุกและเพลิดเพลินไปกับการใช้งาน นอกจากนี้ สวิทช์ต่างๆ ที่ถูกแยกออกมาแบบ Stand Alone ไม่ต้องเข้าไปปรับที่หน้าจอ ก็ให้ความสะดวก ซึ่งน่าจะเป็นการทำการบ้านมาเป็นอย่างดีสำหรับสวิทช์ควบคุมที่ต้องใช้งานเปิดปิดบ่อยครั้ง
ทว่าในโลกนี้ไม่สิ่งใดที่ดีไปทั้งหมดยังไงก็ยังมีข้อเสียอยู่ ซึ่งในรายละเอียดบางอย่างยังดูไม่ลงตัวมากนัก เช่น ระบบถอยจอดที่ดูจะเหมาะกับรถขนาดใหญ่ และหนัก กลับยังไม่ได้ติดตั้งมาในรุ่นนี้ แถมระบบช่วงล่างเป็นแบบแมคคานิคหรือกลไกปกติ ซึ่งตอนแรกแอบคิดว่าจะเป็นแบบ Air Suspension แต่เข้าใจได้ว่าต้องการความแข็งแรงทนทานในระยะยาว
The Kia EV9 Earth Long Range ราคา 3,499,000 บาท
The Kia EV9 GT-Line AWD ราคา 3,899,000 บาท