เขียนโดย: D Wisanuporn

เมื่อ: 20 มีนาคม 2567 - 17:13

ลองสมรรถนะจริงไปกับความเป็นที่สุดของ SUV EV ใน LOTUS Eletre R Lightweight

       เชื่อว่าหลายคนคงได้เห็น หรือได้สัมผัสต้วเป็นๆ ของ Hyper SUV นามว่า Lotus Eletre กันไปแล้วไม่ว่าจะเป็นที่โชว์รูม Lotus หรือแม้แต่ตัวโชว์ในงาน Motor Expo ครั้งที่ผ่านมา รวมไปถึงครั้งที่ทีมงาน BoxzaRacing เองก็ได้เคยพาไปชมตัวจริงกันแล้ว ฉะนั้นคงไม่ต้องพูดถึงตัวรถให้มากความ เพราะครั้งนี้เราจะว่ากันที่เรื่องของการทดลองขับล้วนๆ   

 

 

        แต่ก่อนดูเรื่องทดลองขับ หรือทดลองสมรรถนะมาดูดีไซน์ของตัวรถกันซักเล็ก เพราะว่ารุ่นที่เราเอามาวิ่งนี้แตกต่างจากสเปคเดิมโรงงานกับ Lotus Eletre ที่ถูกเปิดตัวพร้อมกันสองรุ่น หรือสองสเปคคือ สเปค S กับสเปค R อันเป็นรุ่นที่ทีมงานได้เข้าไปรีวิวรถมาแล้ว Lotus Eletre นี้มีดีไซน์ที่ล้ำสมัยโดยจะเน้นเรื่องอากาศพลศาสตร์ตั้งแต่ด้านหน้าไหลไปด้านข้างจนถึงด้านท้าย เราจะจะเห็นช่องดักอากาศมากมายทำหน้าที่ในการจัดเรียงอากาศให้ไหลลื่นจากด้านหน้าไปถึงท้าย ร่วมทั้งสร้างแรงกดให้รถทรงตัวดีขึ้นเมื่อต้องใช้ความเร็วที่เกินกำหนด และแน่นอนว่าช่องแต่ละช่อง ใช้งานได้จริง

 

 

      ทั้งสองรุ่นหากดูจากภายนอกแล้วจะไม่มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย ขนาดตัวรถมีความยาวถึง 5.103 เมตรความกว้าง 2.019 เมตรและความสูงอยู่ที่ 1.636 เมตรแม้ว่าจะใช้ ล้อขนาด 22 หรือ 23 นิ้วก็ตามพื้นที่เก็บสัมภาระที่ด้านหน้าค่อนข้างใหญ่มีขนาด 46 ลิตรส่วนด้านหลังมีขนาดขนาด 1,532 ลิตรเมื่อพับเบาะลงพูดง่ายๆ คือต้องดูที่เรื่องของระบบขับเคลื่อน และพลังของมอเตอร์ รวมถึงแบตเตอรี่เพียงเท่านั้น เพราะทั้งสองรุ่นสามารถเลือกปรับแต่งได้ตามต้องการ โดยในรุ่นสเปค S จะให้กำลังอยู่ที่ 603 แรงม้า แต่ถ้าเป็นสเปค R ที่เราทีมงานนำมานี้จะขยับขึ้นไปที่ 905 แรงม้า ส่วนแรงบิดของสเปค S นี้อยู่ที่ 710 นิวตัน-เมตร ในขณะสเปค R จะอยู่ที่ 985 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งของทั้งสองรุ่นจะมีความแตกต่างกันในรุ่นของสเปค S จะอยู่ที่ 4.5 วินาที และ 2.95 วินาทีในรุ่น สเปค R นั่นคือเวลาที่ใช้จาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความแตกต่างอีกหนึ่งอย่างคือ ระยะที่สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งใน แน่นอนว่ารุ่นสเปค R ทำระยะได้สั้นกว่าเพราะกำลังมากว่าโดยจะอยู่ที่ 490 กิโลเมตร ส่วนสเปค S อยู่ที่ 600 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ทั้งสองรุ่นรองรับการชาร์จ 355 กิโลวัตต์ ถ้าชาร์จจาก 0 - 100% ด้วยกำลังไฟ 22 กิโลวัตต์จะใช้เวลา 5 ถึง 8 ชั่วโมง แต่ถ้าชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุด 350 กิโลวัตต์ที่รถรับได้จะอยู่ที่ 20 นาทีเท่านั้น ซึ่งบ้านเรายังไม่มีกำลังไฟที่จ่ายมาได้ถึงขนาดนี้ ต่อให้มีหัวชาร์ทแบบ Super ที่รองรับการชาร์จที่ 350 กิโลวัตต์ก็ตาม

 

 

      เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า สำหรับ Lotus Eletre รุ่นที่เรานำมาทดลองขับกันนี้น่าจะเรียกว่าเป็นรุ่น Lightweight ก็ได้ ด้วยรูปลักษณ์ที่เน้นไปทางดุดันกับสีที่สั่งแบบพิเศษ แน่นอนว่าจะต้องเพิ่มเงินในการสั่งสีชนิดนี้เข้าไป ซึ่งคันที่เรานำมาทดลองขับนี้เป็นสีดำ Stellar Black ความตั้งใจให้เป็นรถที่มีน้ำหนักเบานั้นอยู่ที่การตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ทั้งภายนอก และภายใน อาทิ คอนโซลพาแนลสวิตช์พาแนล แผงข้งประตู เป็นต้น นอกจากนี้ในจุดเล็กๆ ทั้งหมดได้ถูกตกแต่งเป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ดูแล้วลงตัวกับการ ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำอย่างหนังกลับ จัสเปอร์ และไม่ใช่การติดตั้งเพิ่ม หรือทับกับชิ้นงานเก่า ทว่าเป็นการเปลี่ยนยกชิ้นแทนกันในทุกรายละเอียด ซี่งน้่นเป็นผลให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาขึ้นไปหลายกิโลกรัม

 

 

      และก่อนทดลองขับจริง ต้องมีการปรับตัวเข้ากับรถก่อนให้ได้เสียก่อน เพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมแรงม้าเกือบพันดัน ต้องบอกว่างานนี้หาความลงได้ไม่ยากมากนัก ยิ่งใครเป็นคนที่มีขนาดตัวใหญ่ระดับ XL  ขึ้นไปแล้วเป็นอะไรที่ลงตัวที่สุด เพราะรูปทรงของเบาะจะโอบกระชับกับขนาดไซน์ดังกล่าวได้เหมาะเจาะทีเดียว ส่วนคนตัวเล็กก็จะหลวมๆ ไปหน่อย ตัวเบาะเองก็มีความกระชับ แถมปรับด้วยไฟฟ้าได้รอบทิศทาง ทำให้การจัดท่านั่งเป็นเรื่องง่าย ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลในการควบคุมรถได้เป็นอย่างดี ทัศนวิสัยด้านหน้ามองเห็นได้ชัดเจนด้วยเพราะตัวรถที่มีขนาดใหญ๋ และสูง กระจกบังลมหน้าขนาดใหญ่ รวมถึงระบบเซ็นเซอร์ และกล้องมองรอบคัน ทำให้มั่นใจได้ไม่ว่าการใช้งานในเมืองจะเจอกับอุปสรรคแบบไหน พร้อมก้นนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ให้แบบครบครันเกินตัว สามารถตอบสนองการใช้งานชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ต้องบอกว่าไม่เพียงแต่ความเอนกประสงค์เท่านั้นที่จะพบได้ในรถคตันนี้ เรื่องอารมณ์ความสปอร์ตเต็มขันก็มีให้ครบไม่ต่างกัน 

 

 

      การทดลองสมรรถนะในการขับในครั้งนี้ จะแบ่งเป็นสองรูปแบบทั้งแบบ On Road และ Off Road ในส่วนของ ถนนดำพื่นเรียบพอจะพูดได้ว่า ด้วยขนาดของรถซี่งเห็นตอนก่อนขับ ทำให้รู้สึกถึงความเทอะทะ แต่เมื่อลองไปขับจริงแล้วรถคันนี้กลับให้ความรู้สึกว่าคล่องตัวเกินคาด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระบบเลี้ยวล้อหลัง ทำให้การกลับรถ การปรับเปลี่ยนเลนส์ในที่แคบทำได้อย่างคล่องตัว ในเรื่องของสมรรถนะเอง กำลังกว่า 905 แรงม้าไม่ว่าจะใช้คันเร่งช่วงไหน พลังมอเตอร์คู่ ก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วแน่นอนว่าคนที่ชื่นชอบความเร็วรับรองถูกใจไม่น้อย เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้ทดลองสมรรถนะจากจุดหยุดนิ่งเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของเพื่อนร่วมทาง แต่คนที่ไม่คุ้นเคยกับพละกำลังที่มีมากขนาดนี้อาจจะควบคุมรถได้ยากซักหน่อยซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมรถรุ่นนี้ถึงมีระบบช่วยเหลือการขับที่หลากหลาย ซึ่งที่สามารถปรับ Mode ที่หน้าจอได้ด้วยตัวเอง ระบบจัดการปรับแต่งส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายพลังงานไปยังมอเตอร์ ช่วงล่างปรับตามรูปแบบการขับ ไปจนถึงพวงมาลัยที่ปรับตามให้อย่างเหมาะสม ในช่วงการวิ่งบนถนน

 

 

        มีช่วงสั้นๆ ที่ลองอัตราเร่งจากช่วงกลางความเร็ว สิ่งที่ได้คือการตอบสนองต่อคันเร่ง หลังที่กดลงไปอย่างรวดเร็ว รถพุ่งกระโจนออกไปด้วยกำลังของมอเตอร์ทั้งสองตัว ระยะทางเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ความเร็วทะลุ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปแล้ว เรียกว่าสมกับความเป็นจากความเร็วในกลุ่ม SUV อย่างแท้จริง ความคล่องตัวในช่วงที่การจราจรหนาแน่นต้องบอกว่าทำได้ดี และเห็นได้ชัดมากขึ้นเมื่อต้องการเลี้ยว หรือกลับรถในที่แคบ ระบบเลี้ยวสี่ล้อสามารถตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว

 

 

         ในส่วนของทางฝุ่น หรือ Off Road แน่นอนว่า Lotus Eletre ที่มาพร้อมกับช่วงล่างแบบถุงลมซึ่งหลายคนอาจมองว่าไม่สามารถรองรับการใช้งานแบบนี้ได้ รวมถึงขนาดล้อที่มีความใหญ่ และยางที่มีเปอร์เซ็นความหนาไม่มาก ทว่าหลังจากที่เอาไปลองวิ่งรอบแรกเพื่อดูความเป็นไปได้ ก็รู้ได้เลยว่ารถคันนี้สามารถไปได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็ปรับเปลี่ยน Mode ให้เหมาะกับสภาพผิวอย่างพื้นทราย ไม่ถึงกับโหดหินมากนัก แต่เมื่อมองย้อนกับไปดูที่เรื่องของพละกำลังที่ถ่ายทอดลงสุ้ล้อทั้งสี่แล้ว งานนี้มีไถล ลื่นออกได้ไม่ยาก แต่ก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อเอามาลองวิ่งจริงแล้วแทบไม่มีปัญหาในการวิ่งครั้งนี้ เมื่อรถเริ่มออกอาการ แต่ด้วยระบบที่เข้ามาช่วยทำให้ก่อนที่จะเสียอาการไปมากกว่านั้น รถสามารถเดินหน้าไปต่อได้ มีอยู่บ้างในบางครั้ง ที่รถถูกตัดปัญหาก่อนที่จะเกิดอาการ พูดง่ายๆ คือรถได้มีการประมวลผลต่อความเสี่ยงแล้วว่ามีโอกาศเกิดเหตุจึงเข้ามาควบคุมการทำงานแทนคนนั่นเอง

 

 

        แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น อย่าได้ลืมว่ารถรุ่นนี้ไม่ได้ถูกสร้างมาเป็นรถ Off Road ร้อยเปอร์เซ็นต์เพียงแต่เป็นรถ SUV เอนกประสงค์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงเท่านั้น คำว่า SUV นี้เป็นรถที่ใช้งานได้อเนกประสงค์ทั้งทางเรียบทางขุขะ รวมถึงการเดินทางไกล การใช้งานได้อย่างคลอบคลุมในภาพรวมจึงถูกเรียกว่าเป็นประเภทนี้ ทว่า LOTUS Eletre กลับไม่ได้ถูกสร้างมาเพียงเพื่อความเอนกประสงค์แบบทั่วๆ ไป แต่ถูกสร้างมาให้เป็นรถทุกคนยอมรับว่า นี่คือ Hyper SUV อันเป็นที่สุดในด้านพละกำลังนั่นเอง

 

LOTUS Eletre

รุ่น Spec S ราคาเริ่มต้น 5,890,000 บาท

รุ่น Spec R ราคาเริ่มต้น 6,890,000 บาท

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook