หลายคนได้เห็น Honda Civic Type R เจนเนอเรชั่นที่ 6 เชื่อว่า มีหลายคนคิดไปว่า แนวทางการออกแบบของ Honda นั้น เปลี่ยนแปลงไป ทว่านี่เป็นความตั้งใจ โดยทางค่ายต้องการให้รถรุ่นนี้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ก้าวร้าวน้อยลง แต่ยังคงความแข็งแรงอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าขัดกับภาพที่ผ่านๆ มา ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นหรือเจาะกลุ่มลูกค้าที่หลงใหลในความเป็นสปอร์ตเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งทำให้รุ่นนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ ภาพลักษณ์ แต่ยังให้อารมณ์ในการขับ ที่ผสานระหว่างสมรรถนะ และความสบายในการขับเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
แต่สุดท้ายแล้วคำว่า Type R ก็คือ Type R โดยเฉพาะกับในเจนเนอเรชั่นที่ 6 ทุกอย่างล้วนดีกว่า โดยจะเน้นในเรื่อง เสถียรภาพ การควบคุม รวมถึงความสะดวกสบายที่พร้อมให้ใช้งานได้ทุกวัน หัวใจสำคัญอยู่ที่การออกแบบ และปรับเซ็ตช่วงล่างใหม่ เพื่อเน้นให้ตัวรถ Honda Civic Type R สามารถดึงเอาศักยภาพออกมาใช้ได้ทุกส่วน เครื่องยนต์ Honda Civic Type R เจนเนอเรชั่นที่ 6 ยังคงเป็นบล็อคเดียวกับรุ่นที่ผ่านมา แต่ก็ได้รับการปรับไม่น้อย พละกำลังที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 320 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่ 2,600 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับชุดเกียร์ธรรมดา 6 สปีด โดยมีระบบ Rev Match Control มาเป็นตัวควบคุมรอบเครื่องยนต์ให้เหมาะกับความเร็วในแต่ละเกียร์ ความน่าสนใจก็คือ สำหรับการขับในสนามแข่ง โดยปกติแล้วเมื่อเราต้องการจะลดความเร็วเพื่อเข้าโค้ง สิ่งที่ต้องทำก็คือ Heel and toe เพื่อให้การเข้าโค้งสมดุลทั้งความเร็ว รอบเครื่องและเกียร์ แต่สำหรับรถที่มี Rev Match Control อย่าง Type R นั้น ไม่จำเป็น เพราะหลังจากลดเกียร์ เครื่องยนต์จะทำการเบิ้ลรอบขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อรักษารอบเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็วในเกียร์นั้นๆ
และหากต้องการความสนุกที่ไม่ซ้ำเดิม ด้วยโหมดการขับถึง 4 รูปแบบ ตั้งแต่ Comfort, Sport, +R และ Individual ที่สามารถเลือกเซ็ตค่าต่างๆ ตามต้องการได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น การตอบสนองของเครื่องยนต์, ช่วงล่าง, พวงมาลัย, ท่อไอเสีย รวมถึงระบบแสดงผล ซึ่งให้ข้อมูลได้แทบจะไม่แตกต่างกับรถที่ใช้ในการแข่งขัน
ลืมคำว่า เทคเปิด ไปได้เลย เพราะ Honda Civic Type R ยุคใหม่ๆ ที่เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ ได้ถูกการเซ็ตแนวทางของตัวรถมาแล้ว และมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ซึ่งด้วยเทคโนโลยีการออกแบบ รวมถึงการมีระบบอัดอากาศ เป็นการสร้างพละกำลังได้ดีตั้งแต่ในรอบต่ำ ซึ่งสร้างแรงบิดสูงสุดตั้งแต่ 2,600 รอบ/นาที เราจึงแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของย่านกำลังเหมือนกับในยุค เทคเปิดโลกเปลี่ยน หลายคนคุ้นเคย ณ เวลานี้ ไม่ว่าจะเดินคันเร่งตอนไหน (ในสนามแข่ง ปกติรอบเครื่องยนต์ที่ใช้ ล้วนถูกเลี้ยงให้อยู่ในระดับ 3-4,000 รอบ เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว) ตัวรถก็พร้อมตอบสนองอย่างรวดเร็ว รอบเครื่องยนต์ที่ใช้ถูกเลี้ยงให้อยู่ที่ประมาณ 3,000 - 4,000 รอบ เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว อีกทั้งอัตราบูสต์สูงสุดในระดับ 1.6 บาร์ ไปจนกระทั่งสุด Red Line ที่แตะๆ 7,000 รอบ ต่อนาที ชิฟท์ไลท์ติดครบพร้อมด้วยเสียงเตือนให้เปลี่ยนเกียร์ ความเป็น Honda Civic Type R ที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ก็แสดงออกมาให้ได้สัมผัส
ความโดดเด่นไม่ได้อยู่ที่เรื่องของกำลัง แต่กลับไปอยู่ที่ ระบบกันสะเทือน โดยในรุ่นนี้ มีการพัฒนาชุดปีกนกในลักษณะ L Shape (ต่างจากแบบทั่วๆ ไปที่มาในรูปทรง A Shape) ที่ให้ทั้งความมั่นคงในการขับ และความสบายไปในขณะเดียวกัน โดยด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท ที่แตกต่างจากรูปแบบทั่วๆ ไป โดยมาในชื่อ Dual Axis Macpherson Strut ออกแบบจุดยึดดุมล้อ ให้แยกอิสระจากระบบบังคับเลี้ยว รวมถึงจุดยึดโช้กในด้านล่าง
ประโยชน์ คือ ช่วยควบคุมองศาการเลี้ยวของล้อให้สม่ำเสมอ แม้ต้องเจอกับแรงกระแทก รวมถึงทิศทางในการเคลื่อนที่ที่เปลี่ยนไป, ช่วยให้ยางสัมผัสกับพื้นผิวสูงสุด ส่งผลให้การใช้ความเร็วในโค้งทั้งเข้า และออกได้มากกว่า นอกจากนี้แล้ว ช่วยลดภาระในการรับแรงของช็อคอับ ทำให้การทำงานหลักของช็อคอับมีมากขึ้น ในส่วนของด้านหลังก็ถูกปรับให้มาลงตัวมากขึ้นกับรูปแบบมัลติลิ้งค์ และระบบช่วงล่างใหม่นี้ยังเลือกใช้บู๊ชที่มีค่าความแข็งต่างกันในแต่ละจุดอีกด้วย
แม้จะเป็นการขับระยะสั้นไม่ว่าจะเป็นการขับบนถนนใช้งานทั่วไป หรือรีดเค้นสมรรถนะบนสนาม แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเป็น Type R ยุคใหม่ ซึ่งอาจพูดได้ว่า Honda Civic Type R เหมาะสมกับคนที่เติบโตมาพร้อมกับ Honda ที่มีอักษณ R ต่อท้าย ไม่ว่ารุ่นไหน คงนิยามสั้นๆ ว่า นี่คงมีความเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์มายาวนาน ทำให้ความคิดความรู้สึก สุขุมกว่า หนักแน่นกว่า ทว่ายังมีพละกำลังพร้อมที่จะนำออกมาใช้ได้เสมอ แต่สุดท้ายก็ต้องการความสบายอยู่นั่นเอง
Honda Civic Type R ราคา 3,990,000 บาท
