เขียนโดย: D Wisanuporn

เมื่อ: 29 กรกฏาคม 2566 - 13:34

ทดลองสมรรถนะ Honda New City สะท้อนทั้งความแรง และประหยัดอย่างแท้จริง

         บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เชิญสื่อมวลชนทดสอบสมรรถนะ New Honda City ซิตี้คาร์ยอดนิยม บนเส้นทางที่สะท้อนทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน จากกรุงเทพฯ สู่จังหวัดสิงห์บุรีรวมระยะทางกว่า 260 กิโลเมตร

 

 

         ในการทดลองสมรรนะที่ผ่านมานั้น ทาง Honda ได้จัดเตรียมเส้นทางการทดลองความประหยัดของรุ่น รุ่น e:HEV RS และให้สัมผัสกับสมรรถนะการขับ ทั้งเรื่อง อัตราเร่ง การแรง ของรุ่น Turbo พร้อมกันนี้ยังให้ทดลองการทำงานอันแม่นยำของ Honda SENSING ในรูปแบบใช้งานจริงทั้งในแง่ของการขับโดยอาศัยฟังก์ชัน และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ติดตั้งมาในรุ่นนี้ ซึ่งผลจากการทดลองขับในครั้งนี้ จะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ แยกเรื่องความประหยัด กับความแรงออกจากกัน

 

 

        โดยช่วงแรกเป็นการทดลองความประหยัดกับรุ่น e:HEV ที่ จบด้วยตัวเลขประมาณ 34.5 กิโลเมตร/ลิตร (ตามหน้าปัด) ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ตั้งแต่ออกตัวใช้ Hybrid Drive Mode กับความเร็วตามกฎหมายกำหนดตลอดเส้นทาง ซึ่งอยู่ระหว่าง 60-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะมีการเร่งแซงบ้างในบางช่วงที่ความเร็วขึ้นไปถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง  ประกอบกับเส้นทางที่ใช้ในการทดลองวิ่งนั้น เป็นถนนแบบไฮเวย์ที่ใช้ความเร็งคงที่ได้ รวมไปถึงเส้นทางปกติบนนถนนสายมิตรภาพ มีทั้งสะพาน เนิน และรถร่วมทางให้ได้เร่งขึ้นบ้างเป็นบางจังหวะ แน่นอนว่าการประคองคันเร่งให้ได้ตัวเลขที่ดีตามต้องการตลอดทางนั้นเป็นไปได้ยาก แต่จากการทำงานของระบบ Hybrid และระบบการจัดการพลังงานที่ดี จะเห็นว่าตลอดเส้นทางที่วิ่ง เครื่องยนต์ทำงานน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วระบบจะตัดเข้าสู่ EV Mode ที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนเป็นหลัก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลของความประหยัดในครั้งนี้นั่นเอง 

        มีข้อสังเกตุเล็กน้อยกับความเป็นจริงว่า การวิ่งบนเส้นทางสาธารณะนั้นเรา ไม่สามารถวิ่งช้า และกรีดขวางรถที่ร่วมทางได้ แต่ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ข้างต้นในเรื่องการทำงานของระบบที่ประกอบกัน ทำให้การขับในครั้งนี้มีรูปแบบใกล้เคียงการใช้รถจริงในชีวิตประจำวันมากที่สุด เมื่อดูตัวเลขแล้วสรุปสั้นๆ ได้ว่า New Honda City e:HEV ให้ความประหยัดอย่างน่าประทับใจโดยที่ยังคงการใช้งานในแบบปกติได้อย่างครบถ้วน

 

 

        ส่วนของการขับรูปแบบ Performance ของรุ่น VTEC Turbo นั้นทีมงานไม่เน้นเรื่องของตัวเลขมากนัก เพราะรถรุ่นนี้มีเครื่องยนต์ รวมถึงระบบการทงานที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเครื่องยนต์ตัวนี้มี ขนาดเพียง 1.0 ลิตร และมีแค่ 3 สูบ เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วเครื่องยนต์ที่มีความจุเพียงเท่านี้หากนำมาใช้กับรถทีมีขนาดตัว และน้ำหนักเท่านี้ ต้องเค้นสมรรถนะออกมามากกว่ารถที่ใช้เครื่องใหญ่ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นการลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ แต่ต้องได้สมรรถนะที่สูงขึ้น Turbo Charger จึงเป็นคำตอบในครั้งนี้ ส่วนเรื่องผลที่ได้จากการขับ ก็ไม่ต่างจากรุ่นเดิมก่อนหน้านี้มากนัก โดยรวมแล้ว เครื่องยนต์ให้สมรรถนะตามต้องการ ทั้งเรื่องของอัตราเร่งแซง ที่ทำให้ได้ โดยเฉพาะความเร็วช่วงกลาง หรือประมาณ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นต้นไป สามารถตอบสนองได้ดี ไม่มีการรอรอบของเครื่องยนต์ ส่วนหนึ่งมาจากขนาดของเทอร์โบที่ไม่ใหญ่เกินไป และควมคุมด้วยระบบไฟฟ้า ทำให้ความเร็วมีความสัมพันธ์กัน ในทุกการเปลี่ยนเกียร์ แต่หากต้องการเร่งแซงแบบฉับพลัน ก็จะมีการดึงของรอบเครื่องให้สูงขึ้นไปก่อน แล้วความเร็วจะทยานขึ้นตาม ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของระบบเกียร์ แต่โดยร่วมแล้วตอบสนองได้ดีในทุกย่างความเร็ว ระบบช่วงล่างทำงานได้ดี แม้บ้างครั้งจะยวบลง เมื่อมีการโยกเปลี่ยนเลนกะทันหัน แต่ไม่ไหลออก เรียกว่ายังควบคุมได้แบบไม่ต้องใช้ฝีมือในการขับมาก ระบบเบรกเป็นที่น่าพอใจ ตอบสนองต่อการสั่งการได้อย่างรวดเร็ว ให้ความมั่นใจ แม้บ้างครั้งจะเบรกหนักกว่าปกติก็ตาม โดยรวมแล้ว New Honda City รุ่น  VTEC Turbo ยังให้ความสนุกในการขับมากกว่า แม้ว่า รุ่น  e:HEV ก็สามารถสร้างความสนุกได้เช่นกันก็ตาม 

 

        New Honda City ที่สุดของยนตรกรรมซิตี้คาร์ ที่จะทำให้ทุกวันของคุณสมบูรณ์แบบ มาพร้อมคุณค่าที่ยกระดับซิตี้คาร์ไปอีกขั้น กับ 2 ขุมพลังทางเลือก เพื่อตอบโจทย์การขับขี่ที่ลงตัวกับทุกไลฟ์สไตล์ อีกทั้งยังขับสนุกและประหยัดน้ำมัน ที่มาพร้อม Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย เพิ่มเติมฟังก์ชันใหม่ โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกที่สปอร์ตพรีเมียมรอบคัน เพิ่มประสบการณ์สุดเร้าใจและท้าทายทุกการขับขี่ ด้วย 2 ขุมพลังการขับเคลื่อน

 

 

        ขุมพลังฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และ แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบแรงบิดมอเตอร์สูงสุดที่ 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที และยังให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 83 กรัม/กิโลเมตร รองรับพลังงานทางเลือก E20 ทั้งนี้ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV จะปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ให้โดยอัตโนมัติตามความเหมาะสม ประกอบด้วย 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)

 

 

        ขุมพลัง Turbo กับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO 3 สูบ 12 วาล์ว ที่มาพร้อม Turbo Charger มอบกำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 - 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) ให้อัตราเร่งและอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมสูงถึง 23.8 กิโลเมตร/ลิตร มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 99 กรัม/กิโลเมตร และสามารถรองรับพลังงานทางเลือก E20

 

 

ภายนอก โดดเด่นเหนือระดับในทุกรายละเอียด

·    กันชนหน้าและกันชนหลังดีไซน์ใหม่

·    กระจังหน้าโครเมียม

·   ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED

·    ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ

·    มือจับประตูด้านนอกโครเมียม (รุ่น SV และ e:HEV SV)

·    กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัว

·    ฝาครอบกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ

·    เสาอากาศแบบครีบฉลามสีเดียวกับตัวรถ

·    ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว (รุ่น V) แบบทูโทน (รุ่น SV) และแบบทูโทนขนาด 16 นิ้ว (รุ่น e:HEV SV)

 

 

เสริมความสปอร์ตรอบคันยิ่งขึ้นและโฉบเฉี่ยวในทุกมุมมอง กับรุ่น RS และ รุ่น e:HEV RS

·    กระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่ เสริมความสปอร์ตแบบ RS

·    กันชนหน้า กันชนหลัง สเกิร์ตข้าง ดีไซน์ใหม่ เสริมความสปอร์ตแบบ RS

·    สปอยเลอร์หลังดีไซน์สปอร์ตแบบ RS

·    ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED

·    มือจับประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ  (รุ่น RS และ e:HEV RS)

·    ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED

·    ฝาครอบกระจกมองข้างสีดำเงา

·    ระบบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (รุ่น e:HEV RS)

·    เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำเงา

·    ล้ออัลลอยแบบทูโทนสไตล์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว

สะดวกสบายไปอีกขั้น กับห้องโดยสารที่กว้างขวาง โปร่ง โล่งสบาย

 

ภายใน

·    วัสดุตกแต่งคอนโซลหน้าสีเงิน (เฉพาะรุ่น V) และสีดำ Piano Black (เฉพาะรุ่น SV และ e:HEV SV)

·    วัสดุหุ้มเบาะผ้า (เฉพาะรุ่น V) และวัสดุหุ้มเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์สีดำ (เฉพาะรุ่น SV และ e:HEV SV)

·    มือจับเปิดประตูด้านในตกแต่งโครเมียม

 

 

ยกระดับความสปอร์ตพรีเมียมยิ่งขึ้นกับรุ่น RS และรุ่น e:HEV RS

·    วัสดุตกแต่งคอนโซลหน้าสีแดงเมทัลลิก

·    วัสดุหุ้มเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์สีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง

 

ครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

·    มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

·    ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ  Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)

·    ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth

·   พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์

·    พวงมาลัยปรับระดับ 4 ทิศทาง

·    ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) (รุ่น RS และ e:HEV RS)

·    ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

·    ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

·    ปุ่ม ECON

·    ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

·    ลำโพง 8 ตำแหน่ง (รุ่น RS และ e:HEV RS)

·    กระจกมองหลังแบบตัดแสง

·   แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า (รุ่น RS และ e:HEV RS)

·    ไฟอ่านแผนที่และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร

·    ไฟส่องสว่างห้องสัมภาระท้าย

·    พนักเท้าแขนด้านหน้า

·    พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว (รุ่น RS และ e:HEV RS)

·  ช่องเก็บของหลังเบาะนั่งคนขับและหลังเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมช่องเก็บของขนาดเล็ก

(รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

·    ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT (รุ่น RS และ e:HEV RS)

·    ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ (One Push Ignition System)

·    ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System)

 

 

มั่นใจในทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน

        ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์ คนเดินถนน จักรยาน และจักรยานยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 6 ฟังก์ชันการทำงานหลัก ๆ ดังนี้

·    ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)

·    ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)

·    ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)

·    ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

·    ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC) (รุ่น V, SV และ RS)

พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (with Low-Speed Follow: with LSF)

(รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

·    ใหม่ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)

ลุคใหม่ กับความสปอร์ตพรีเมียมรอบคัน

 

พร้อมด้วยเทคโนโลยีและความปลอดภัยครบครัน

·    ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) (รุ่น e:HEV RS)

·    กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)

·    ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

·    ระบบ Auto Brake Hold (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

·    ถุงลมคู่หน้า

·    ถุงลมด้านข้างคู่หน้า

·    ม่านถุงลมด้านข้าง (รุ่น RS และ e:HEV RS)

·    ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed)

·    ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)

·    ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)

·    ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า

·    ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD)

·    เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ

·    เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าและหลังแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง

·    ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย

·    ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)

·    จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)

·    ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)

·    ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)

·    สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)

 

 

New Honda City มีให้เลือก 2 ขุมพลังขับเคลื่อน รวม 5 รุ่นย่อย แบ่งเป็น

New Honda City e:HEV มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย

รุ่น e:HEV RS             ราคา 839,000 บาท

รุ่น e:HEV SV             ราคา 769,000 บาท

 

New Honda City VTEC Turbo มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย

รุ่น RS                       ราคา 749,000 บาท

รุ่น SV                       ราคา 679,000 บาท

รุ่น V                         ราคา 629,000 บาท

สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่

  • สีน้ำเงินออบซิเดียน (มุก) (เฉพาะรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)
  • สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) (เฉพาะรุ่น RS และ e:HEV RS)
  • สีขาวแพลทินัม (มุก) (เฉพาะรุ่น SV, RS, e:HEV SV, และ e:HEV RS)
  • สีดำคริสตัล (มุก)
  • สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)
  • สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)
  • สีขาวทาฟเฟต้า (เฉพาะรุ่น V)

        โดยมาพร้อมข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ย 2.09%** พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี** และเฉพาะรุ่น e:HEV เพิ่มการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง** เมื่อจองและรับรถตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2566 – 30 กันยายน 2566**

 

 

        ชุดอุปกรณ์ตกแต่งเสริมความพรีเมียมด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) รอบคัน ที่มาพร้อมกับแนวคิด “More Stage Up Booster” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก เช่น ล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว* ราคา 15,600 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,700 บาท คิ้วบันไดสเตนเลส LED ราคา 4,400 บาท รวมทั้งอุปกรณ์เพิ่มอรรถประโยชน์ใช้สอย ในห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ เช่น กระบะใส่ของท้ายรถ สำหรับรุ่น TURBO ราคา 1,100 บาท, สำหรับรุ่น e:HEV ราคา 1,250 บาท นอกจากนี้ ยังมีให้เลือกในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคัน  ได้แก่ Modulo Aero Package ราคา 15,500 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง และสเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น

        ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลจากที่ปรึกษาการขายได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดทาง www.honda.co.th/city โดยลูกค้าที่ลงทะเบียนและร่วมกิจกรรมทดลองขับผ่าน www.honda.co.th/testdrive ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2566 จะได้รับฟรี ขวดน้ำพับได้ มูลค่า 250 บาท

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook