Ducati จัดงาน DRE Track Days 2020 เอาใจไบค์เกอร์สายสปอร์ต ด้วยการนำลูกค้าสาวกดูคาทิสต้า เข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ในสนามแข่งระดับโลกอย่าง สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายใต้การฝึกสอน แนะนำเทคนิคการขับขี่อย่างใกล้ชิดของทาง Ducati Asia Pacific และ Ducati Thailand เมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งมีลูกค้าของ Ducati ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนกว่า 100 ชีวิต เลยทีเดียว
นอกจากจะได้ขี่รถกันแบบเต็มอิ่ม ยังได้สัมผัสเสื้อผ้าและของแต่งคอลเล็คชั่นใหม่ของ Ducati อีกด้วย
นอกจากจะเปิดโอกาสให้สาวกดูคาทิสต้าได้ซัดรถ Ducati ในครอบครองกันแบบเต็มข้อแล้ว งานนี้ Ducati ยังจัดเช็กชั่นให้ลูกค้า รวมถึงสื่อมวลชนชั้นนำ ได้ร่วมทดลองขี่มอเตอรืไซค์ 3 รุ่นล่าสุด อย่าง Ducati Streetfighter V4 S (ดูคาติ สตรีทไฟท์เตอร์ วีโฟร์ เอส), Ducati Panigale V4 S 2020 (ดูคาติ พานิกาเล่ วีโฟร์ เอส 2020) และ Ducati Panigale V2 (ดูคาติ พานิกาเล่ วีทู) ซึ่งเป็น 3 รุ่นที่กำลังได้รับความสนใจจากไบค์เกอร์ในยุคปัจจุบัน ด้วยดีไซน์ที่มีความทันสมัย เน้นรูปโฉมที่ดูโฉบเฉี่ยว ทะมัดทะแมง ขุมพลังที่เหนือชั้น สร้างแรงแห่งการขับเคลื่อนได้ในระดับสูงสุด แต่กระนั้นยังถุกปรับให้เป็นมิตรต่อผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้นด้วยระบบอิเล็คทรอนิคส์อันชาญฉลาด ซึ่งช่วยจัดการให้ตัวรถ Ducati ทั้ง 3 รุ่น มีเสถียรภาพในการขับขี่อย่างเหนือชั้น จนแทบจะสลัดคาแร็กเตอร์เดิมๆ ของรถแบรนด์นี้ ที่ใครๆ ต่างลือกันว่า "ขี่ยาก" ในยุคดั้งเดิมได้แบบหมดเปลือก หากยังไม่เชื่อ...เราขอท้าให้คุณได้ลอง นอกจากนี้ในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการดูแล เซอร์วิสตามระยะ ก็ยังถือว่าปรับลงมาให้สบายกระเป๋าขึ้นอีกไม่น้อย นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับสาวกดูคาทิสต้า ที่จะได้สัมผัสกับมอเตอร์ไซค์มาตรฐานระดับเวิลด์คลาส ภายใต้ความคุ้มค่าที่มากยิ่งขึ้น
มร.มาร์โก้ บิออนดี้ รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของดูคาติประจำตลาดเอเชียแปซิฟิก
คุณสมรรถ รอบบรรเจิด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด หรือ ดูคาติไทยแลนด์
ครูเล็ก ศักดา พรรณยืนยง ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ ก่อนลงทำการขับขี่ในสนามแข่ง
ก่อนที่จะเริ่มการขับขี่ เราได้รับเกียรติจาก มร.มาร์โก้ บิออนดี้ รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของดูคาติประจำตลาดเอเชียแปซิฟิก คุณสมรรถ รอบบรรเจิด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด หรือ ดูคาติไทยแลนด์ กล่าวต้อนรับ รวมถึงการแนะนำเทคนิคการขับขี่ในสนามแข่งเบื้องต้นจากทีม DRE Instructor นำโดย ครูเล็ก ศักดา พรรณยืนยง แน่นอนว่าในครั้งนี้ ทีมงาน BoxzaRacing ได้ทดลองขี่แบบเต็มๆ ทั้ง 3 รุ่น รุ่นละประมาณ 25 นาที ซึ่งก็พอมีโอกาสที่จะได้ทดลองขับขี่ในโหมดต่างๆ ที่ตัวรถเซ็ตติ้งมาให้เป็นพื้นฐานจากโรงงาน ทั้ง Street, Sport และ Race (ส่วนใหญ่จะป้วนเปี้ยนอยู่กับ Sport และ Race (บ้าง) เพื่อให้รถออกอาการพอให้เราได้จับฟีลลิ่งกันบ้าง โดยจะเน้นรายละเอียดในมุมมองของ User เป็นหลัก) โดยในแต่ละโหมดก็จะมีระดับการทำงานของระบบต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป เช่น Ducati Traction Control Evo 2, Ducati Wheelie Control Evo, ABS Cornering Evo รวมถึง Engine Brake Control Evo (เปิดเลขน้อย ระบบป้องกันทำงานน้อย อาการของรถจะออกมาก) ตรงนี้สำหรับผู้ขับขี่ที่ซื้อรถมา คงมีโอกาสได้สัมผัสถึงความแตกต่างในขั้นที่ละเอียดยิ่งขึ้น ต้องยอมรับว่าโหมดการทำงานและเซ็ตติ้งต่างๆ สามารถเข้าถึงได้ง่าย ลองกดเล่นเองได้แบบไม่งง แต่ด้วยเวลาที่มีค่อนข้างจำกัดในแต่ละรุ่น เราขออนุญาตโฟกัสที่ฟิลลิ่งการขับขี่เพื่อถ่ายทอดให้ทุกท่านได้รับทราบเป็นแนวทางไว้ ณ ที่นี้
Ducati Panigale V4 2020
Ducati Panigale V4 S 2020
ครั้งหนึ่ง BoxzaRacing มีโอกาสได้สัมผัสกับฟีลลิ่งของ Ducati Panigale V4 S เวอร์ชั่นปี 2018 ที่สนามเซปัง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย คุณเชื่อไหมว่า หลังจากที่ผมกลับจากการทดลองขี่ในครั้งนั้น ผมมีโอกาสอีกหลายต่อหลายครั้งที่จะได้สัมผัสสปอร์ตรุ่นใหญ่จากทั้งฝั่งยุโรปและญี่ปุ่น แต่ไม่มีรถจากค่ายไหนที่ให้ความประทับใจได้เท่ากับ Ducati Panigale V4 S เลยแม้แต่น้อย ด้วยคาแร้กเตอรืของตัวรถที่มีพละกำลังสูง แต่สามารถควบคุมได้ง่าย ด้วยน้ำหนักที่เบา และขนาดที่กะทัดรัด มันช่วยสร้างความมั่นใจได้ในระดับสูงเวลาที่เราขับขี่ โดยเฉพาะในสนามแข่งที่มีเรื่องของการจัดท่าทางการขับขี่เข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก บอกเลยว่า...ไม่ใช่ผมคนเดียวที่พูดแบบนี้ เพราะยังมีสื่อชั้นนำหลายๆ ท่าน ต่างก็พุดเป้นเสียงเดียวกันว่า Panigale V4 S เป็นรถที่ขี่ง่ายและยังคงความประทับใจในระดับสูงสุดเช่นกัน
โยกรถง่ายขึ้น ระบบเบรกยังคงมั่นใจด้วยตัวช่วยขั้นเทพทั้ง Stylema ระบบ Wheelie Control และข้อเหวี่ยง Reverse Ratating
แต่ด้วยการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ในอีก 2 ปีให้หลัง ค่ายสีแดงกลับมาพร้อม Ducati Panigale V4 S 2020 ซึ่งดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย นอกจากการเพิ่มปีก ที่ถอดแบบมาจากรุ่นใหญ่อย่าง Ducati Panigale V4 R แต่การพัฒนาของ Ducati ไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่นั้น Ducati Panigale V4 S 2020 ยังมีการปรับรายละเอียดของแฟริ่งใหม่ ให้มีแอโร่ไดนามิคส์ที่ดียิ่งขึ้น (หน้ารถกว้างขึ้น 15 มม., แฟริ่งกว้างขึ้น 38 มม. และชิลด์บังลมหน้าสูงขึ้น 38 มม.) ซึ่งเมื่อรวมกับปีกที่เพิ่มเข้ามาแล้ว สามารถสร้างแรงกดได้มากถึง 30 กก. ที่ความเร็ว 270 กม./ชม. และยังสามารถระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น (น้ำหล่อเย็น 6% น้ำมันเครื่อง 16%) ตัวรถได้รับการปรับให้มีความสูงเพิ่มขึ้นอีก 5 มม. เพื่อช่วยให้การบังคับควบคุม การโยกรถเพื่อเข้าโค้งทำได้ง่ายยิ่งขึ้น (ของเดิมว่าง่ายแล้ว คราวนี้ทางทีมงานของ Ducati บอกว่าขี่ง่ายขึ้นอีก) ลดความเหนื่อยล้าให้กับตัวผู้ขับขี่ นอกจากนี้สำหรับ Ducati Panigale V4 S 2020 ยังมาพร้อมล้ออะลูมิเนียมฟอร์จจาก Marchesini เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงานอีกด้วย
ฟีลลิ่งการขับขี่ของ Ducati Panigale V4 S 2020 คงไม่มีอะไรที่ต้องสาธยายกันมาก สิ่งใดที่ผมเคยยกย่องว่าดีงาม พอมาเป็นเวอร์ชั่นปี 2020 ต้องยอมรับว่าดีขึ้นไปอีก โดยเฉพาะความพลิ้วจากการยกระดับจุดศูนย์ถ่วงให้สูงขึ้น ทำให้การพารถแบนเข้าไปในโค้งทำได้อย่างสะดวก และไม่ต้องออกแรงในการโหนเยอะ ควบคุมได้ง่ายตามหลักการพัฒนาของรถ Ducati ยุคใหม่ แต่ด้วยพละกำลังที่มีมาให้ขนาดนี้ แม้ว่าจะขี่ง่ายก็จริง แต่ก็ต้องอาศัยความเข้าใจและคุ้นเคยกับตัวรถพอสมควร ซึ่งหากคุณเป็นคนที่มีร่างกายรวมถึงกล้ามเนื้อที่แข็งแรง มีความฟิตพอสมควร ก็จะช่วยให้การควบคุมพละกำลังในระดับ 214 แรงม้า (เพิ่มเป็น 226 ตัว ถ้าเปลี่ยนท่อเป็น Akrapovic และลดน้ำหนักลงอีก 6 กก. ด้วย) ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถึงตรงนี้ ต้องยอมรับแบบไม่อวยครับว่า Ducati Panigale V4 S 2020 เป็นสุดยอดมอเตอร์ไซค์สปอร์ตที่เงินยังสามารถหาซื้อได้ของยุคนี้จริง
Ducati Panigale V4 2020 ราคา 999,000 บาท และ 1,249,000 บาท (รวมชุดท่อไอเสีย Akrapovic Full System และ Map ปรับจูนเครื่องยนต์)
Ducati Panigale V4 S 2020 ราคา 1,198,000 บาท และ 1,448,000 บาท (รวมชุดท่อไอเสีย Akrapovic Full System และ Map ปรับจูนเครื่องยนต์)
Ducati Panigale V2
Ducati Panigale V2 ราคา 799,000 บาท และ
จบในเซ็กชั่นของรุ่นใหญ่ ก็ได้เวลาที่ BoxzaRacing จะมาลองสปอร์ตน้องเล็กของค่ายสีแดงอย่าง Ducati Panigale V2 กันบ้าง สิ่งหนึ่งที่โดยส่วนตัวผมประทับใจกับเจ้า V2 เรื่องของค่าตัวที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ในขณะที่เริ่องของเทคโนโลยีต่างๆ ที่ให้มานั้น เรียกได้ว่าถอดแบบจากรุ่นพี่อย่าง Ducati Panigale V4 มาแบบไม่มีผิดเพี้ยน เช่นเดียวกับภาพลักษณ์ที่ดูคล้ายกับ Panigale V4 เวอร์ชั่นแรกที่เปิดตัว ถ้าผมจะบอกว่า V2 นั้น...มีดีกว่า V4 หลายๆ คนคงอดสงสัยไม่ได้ ว่า...มันจะดีกว่าได้อย่างไร ? ซึ่งผมจะขอชี้แจงรายละเอียดให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ดูออกไหม...บน - ล่าง คันไหน V2 คันไหน V4 2018 ?
อย่างที่บอกครับว่า Ducati Panigale V2 นั้น ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากรุ่นใหญ่อย่าง V4 ไล่มาตั้งแต่โครงสร้างยุคใหม่ที่มาในรูปแบบ Monocoque ที่รวมเอา Air Box เป็นส่วนหนึ่งของเฟรม ซึ่งช่วยรีดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตัวเครื่องยนตืแม้จะเป็นบล้อคเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน Ducati Panigale 959 แต่ได้รับการอัพเกรดให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 155 แรงม้า (แรงม้าเพิ่ม 5 ตัว แรงบิดเพิ่ม 2 นิวตัน-เมตร) พร้อมได้รับการอัพเกรดระบบควบคุมเสถียรภาพเป็น Ducati Traction Control Evo 2 ประมวลผลผ่านเซ็นเซอร์ IMU 6 แกน ที่ทางค่ายบอกว่าขี่ได้สมูทขึ้นถึง 25% เรียกว่าระบบอิเล็คทรอนิคส์ ถอดแบบรุ่นพี่ V4 มาทั้งหมดก็ว่าได้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเซ็ตระบบนี้ควบคุมอาการพยศของ Panigale V4 ได้อยู่หมัด ก็คงไม่ใช่ปัญหาสำหรับ V2 อย่างแน่นอน
เข้ามือขนาดนี้...จะต้องจ่ายแพงกว่าทำไม ?
ด้วยความที่ในเซ็กชั่นแรก ผมเจออาการหลอนจากความแรงของ Ducati Panigale V4 2020 มาบ้างแล้ว ทำให้การขับขี่ Ducati Panigale V2 ของผมในรอบนี้ ทำได้ง่ายขึ้น ด้วยตัวรถที่มีขนาดกะกัดรัดและน้ำหนักเบากว่า โดยรวมแล้ว Ducati Panigale V2 เหมือนเกิดมาเพื่อคนไซส์มาตรฐานชายไทยโยแท้ ด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่โตจนเกินไป จับอะไรมันก็ดูจะเข้าไม้เข้ามือไปเสียหมด ซึ่งเมื่อทุกอย่างเข้ามือ มันย่อมส่งผลต่อเรื่องของความมั่นใจในการขับขี่ ซึ่ง Ducati Panigale V2 มีให้แบบเต้มร้อย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ User ที่เป็นมือใหม่สายสนาม หรือแม้แต่ผู้ที่มีประสบการณ๋ในระดับหนึ่ง (ที่ยังไม่ถึงขั้นระดับแข่งขัน) ได้สนุกกับตัวรถได้อย่างเต็มที่ ด้วยพละกำลังและแรงบิดที่มีมาให้ใช้อย่างเพียงพอ แต่หากมีข้อแม้อยุ่เล้กน้อยว่า การรักษารอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับกลางๆ เข้าไว้ เลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมในแต่ละโค้ง จะช่วยรักษาระดับความสนุกในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น (ตรงนี้ต่างกับรุ่นใหญ่ที่มีพละกำลังมากกว่า ที่นึกจะเปิดคันเร่งเมื่อไหร่ ตอนไหน เครื่องยนตืก็พร้อมตอบสนองได้แบบเต็มไม้เต็มมือ) การจัดการตัวรถทั้งทางตรงที่คามเร็วสูง รวมถึงในโค้ง ทำได้ง่ายมากๆ (V4 ว่าง่ายแล้ว ตัวนี้ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่...มือใหม่หัดแบน น่าจะถูกใจสิ่งนี้)
รุ่นเล็กยุคนี้ ได้ Single Side Swing Arm แล้วนะ...อย่างหล่อ !
ด้านโหมดการใช้งานต่างๆ แม้จะเป็นค่าที่ตั้งมาให้จากโรงงาน ในโหมด Street, Sport และ Race ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้ว ทำให้ง่ายสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่ต้องการจะปรับเซ็ตอะไรมาก แต่หากต้องการความละเอียดที่มากขึ้น ยังสามารถเข้าไปปรับในเมนูย่อยได้ตามต้องการ โดยโหมดที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น Sport ที่เซ็ตติ้งมาให้รถพอออกอาการบ้าง แต่มีระบบตัวช่วยเก็บได้หมด ซึ่งช่วยสร้างความสนุก ตื่นเต้น และยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัยแบบเต็มพิกัด ด้านพละกำลังแม้ตัวรถจะมีแรงม้าต่างจากรุ่นพี่พอสมควร แต่ความเร็วในช่วงสุดทางตรงของสนามช้างฯ สามารถเห็นตัวเลข 200 กลางๆ ได้แบบสบายๆ ระบบเบรก Brembo M4 ผนึกกำลังกับ IMU ทำหน้าที่สยบความเร็วได้อย่างมั่นใจ ไหลเข้าโค้งได้เนียนแบบง่ายๆ เช่นเดียวกับยาง Pirelli Rosso Corsa II ที่ให้มา สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างหลากหลาย และเพียงพอสำหรับผู้ที่ต้องการความสนุกจากการขับขี่ในรูปแบบ Track Day รวมถึงการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขี่จบ 25 นาที ในเซ็กชั่นนี้ ยังมีแรงเหลือๆ พอที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักขี่ท่านอื่นๆ ซึ่งมันทำให้ผมนึกไปถึงการขับขี่หล่อๆ ใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่ดูแล้ว Ducati Panigale V2 น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี สิ่งนี้แหละ คือ นิยามของคำว่า "ดีกว่า" ในความรู้สึกส่วนตัวของผม ค่าตัวเป็นมิตรกว่า หล่อได้เหมือนกัน พละกำลังพอตัว อิเล็คทรอนิคส์จัดเต็ม ขี่สนามก็ดี ขี่ถนนก็ได้ จอดที่ไหนใครก็ว้าว...ถ้าวัดกันเรื่องความคุ้มค่า Ducati Panigale V2 กินขาดแน่นอนครับ
Ducati Panigale V2 ราคา 799,000 บาท และ 894,000 บาท (รวมชุดท่อไอเสีย Akrapovic Full System และ Map ปรับจูนเครื่องยนต์)
Ducati Streetfighter V4 S
Ducati Streetfighter V4 S
เอาล่ะ...มาถึงทีของสายบู๊แห่งท้องถนนกันบ้าง รถเปลือยแฟริ่งที่มีแรงม้ามากกว่าถึง 208 ตัว (เครื่องยนต์ V4 พิกัด 1,103 ซีซี. พร้อมข้อเหวี่ยงแบบ Reverse Rotating Crankshaft ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจาก MotoGP)ธรรมดาที่ไหนกับความโหดร้ายระดับนี้ ต้องบอกว่า...นี่เป็นการกลับมาที่ผมรอคอยที่สุด โดยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนที่ชื่นชอบรถในรูปแบบเนคเก็ตไบค์บ้าพลังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การได้มาลอง Ducati Streetfighter V4 S ก็คงเป็นเหมือนการได้ลองกินของที่อร่อยถูกใจ แบบอยากเก็บไว้กินนานๆ ยังไงอย่างนั้น ซึ่งนอกจากพละกำลังความแรงแล้ว ยังมีเรื่องของดีไซน์ที่สุดแสนจะสะดุดตา ชนิดใครเห็นเป็นต้องเหลียว ผมจึงไม่รีรอกับการใช้เวลา 25 นาที ของผมให้เกิดประโยชน์ที่สุด
Ducati Streetfighter V4 S สองล้อผู้ถือกำเนิดภายใต้จิตวิญญาณแห่งวายร้าย Joker หากจะอธิบายถึงความเป็นจริงของมอเตอร์ไซค์คันนี้แบบง่ายๆ ก็คงพูดได้เพียงว่า เสมือนเป็นการนำ Ducati Panigale V4 S 2020 มาถอดแฟริ่ง แล้วใส่แฮนด์บาร์ ปรับแรงม้าและย่านกำลังนิดหน่อย ให้เหมาะสมกับการใช้งานบนถนนมากยิ่งขึ้น (ต่างกันแค่นั้นจริงๆ) เครื่องยนต์ ระบบอิเล็คทรอนิคส์ ส่วนประกอบต่างๆ ยังคงจัดเต็มเพื่อรีดประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นชุดโช้กอัพไฟฟ้าจาก Ohlins, ชุดเบรก Brembo Stylema, ล้อจาก Marchesini รวมถึงโหมดการขับขี่ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มแอโร่ไดนามิคส์ด้วยปีกคู่ที่ก้านข้างของตัวรถ ซึ่งช่วยสร้างแรงกดได้ถึง 27 กก. ที่ความเร็ว 270 กม./ชม. (แต่ผมขี่ไม่ถึงนะ...ใจมันไม่ไป 23 - 240 ก็ตัวจะปลิวแล้ว 555) ดูจากสเป็คโดยภาพรวม ทั้งเรื่องพละกำลัง รวมถึงองค์ประกอบในส่วนอื่นๆ พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า สปอร์ตหลายๆ ค่ายยังต้องอาย
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการควบคุมรถเนคเก็ตไบค์ที่ความเร็ว 200 กลางๆ ซึ่งต้องมีลมจากทุกทิศทางมาปะทะตัวรถอย่างมหาศาล ทั้งต้องสู้ลม ต้องใช้แขนดึงตัวไม่ให้หลุดจากรถ มันเป็นการขับขี่ที่ต้องใช้ความแข็งแรงจากร่างกายอย่างแท้จริง โดยเฉพาะ Streetfighter เจนเนอเรชั่นปัจจุบันที่เน้นท่านั่งที่เป็นมิตรต่อผู้ขับขี่มากขึ้น (นั่งตัวตรงกว่า Streetfighter เจนเนอเรชั่นก่อน) แต่สิ่งนี้แหละมันคือ แก่นแท้ของความสนุกในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่ได้ชื่อว่าเป็นรถแนว Streetfighter การขับขี่ที่สนามช้างฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นความสนุกในลำดับต้นๆ แต่เชื่อว่าเทียบไม่ได้กับการนำสองล้อผู้นี้ออกอาละวาดบนท้องถนน ให้เข้ากับสไตล์ของตัวรถมากที่สุด (เน้นโหดเข้าว่า เวลาไม่เกี่ยง) โดยสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดนอกจากเรื่องการไต่ความเร็วได้อย่างต่อเนื่องและหนักหน่วงจนน่าใจหาย (ตามกำลังแหละนะ) ด้วยเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่มาพร้อม Ducati Quick Shifty Up/Down Evo 2 (การทำงานค่อนข้าง Sensitive ช่วงฟรีระหว่างเกียร์น้อย ให้ความต่อเนื่องมากขึ้นกว่า Panigale V4 2018) ก็คือ เรื่องของความง่ายในการควบคุม ซึ่ง Ducati Streetfighter V4 S มาพร้อมความรู้สึกที่พลิ้วไหว นี่คือ รถที่ให้ความคล่องตัวตั้งแต่สัมผัสแรกหลักจากที่คุณยกเท้าออกจากพื้น การพลิกรถซ้ายขวานั้นทำได้ง่ายและเป็นธรรมชาติมากๆ ซึ่งส่งผลให้การเข้าโค้งทำได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ รวมถึงการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ที่บางจังหวะต้องมุด ซอกแซกตามสภาพการจราจร เช่นเดียวกับการเบรกที่ชื่อของ Stylema เป็นที่ไว้วางใจของผมมาตั้งแต่เริ่มมีมา (รวมถึงทิศทางการหมุนของข้อเหวี่ยง Reverse Rotating Crankshaft ที่ช่วยให้การเบรก เร่งความเร็ว ทำได้อย่างมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น) สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาคือ การจัดการกับความแรงที่ต้องเจอ และลมที่ปะทะตัวเท่านั้น
แรงดึงจากรถหนักหน่วง ลมปะทะตัวมหาศาล แต่มิอาจปฏิเสธได้ว่า Ducati Streetfighter V4 S คือ รถที่ขี่สนุกแบบสุดตัว
สิ่งที่อดพูดถึงไม่ได้เกี่ยวกับ Ducati Streetfighter V4 S ก็คือ ฟีลลิ่งในการขับขี่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การจะเลือกซื้อ หรือเลือกที่จะชอบมอเตอร์ไซค์สักคันหนึ่งนั้น มันต้องมีอะไรที่อาจจะต้องอยุ่เหนือเหตุผล ซึ่งนั่นก็คือ การมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แน่นอนว่า Ducati Streetfighter V4 S นั้นเป็นรถที่ให้สิ่งนี้ได้แบบเต็ม 100% นอกจากเรื่องดีไซน์ที่มีความสวยงาม สื่อถึงความเร้าใจแล้ว Streetfighter V4 ยังเป็นรถที่ให้อารมณ์ในการขับขี่ชั้นเลิศ ด้วยสุ่้มเสียงจากเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาให้มีความดุดัน (ท่อเดิมก็โหดแล้ว) มันทำให้นึกถึงจุดขายของ Ducati ที่นำเสนอในเรื่องของเสียง Symphony Sound จากการจัดวงองศาการจุดระเบิด 0 90 290 380 องศา ของเครื่องยนต์บล็อคนี้ ซึ่งบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า เป็นสุ้มเสียงที่ช่วยดึงอารมณ์ของผู้ขับขี่ออกมาได้อย่างเต็มสตีมตั้งแต่ครั้งแรกที่สตาร์ทเครื่องยนต์ โหด เร็ว ทรงพลัง แบบนี้ ถูกใจสายขี่เอามันส์ โดนใจสายเปิดทิ้งเปิดขว้าง หรือไบค์เกอร์สายชาดิสม์อย่างแน่นอน
Ducati Streetfighter V4 ราคา 899,000 บาท และ 1,059,000 บาท (รวมชุดท่อไอเสีย Akrapovic Full System และ Map ปรับจูนเครื่องยนต์)
Ducati Streetfighter V4 S ราคา 1,098,000 บาท และ 1,258,000 บาท (รวมชุดท่อไอเสีย Akrapovic Full System และ Map ปรับจูนเครื่องยนต์)
แม้ว่าจะได้ทดลองขี่ในช่วงสั้นๆ แต่สิ่งหนึ่งที่รถทั้ง 3 รุ่น อย่าง Ducati Streetfighter V4 S, Ducati Panigale V4 S 2020 และ Ducati Panigale V2 สามารถตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็น Ducati ยุคใหม่ ได้อย่างชัดเจนเลยก็คือ คาแร็กเตอร์ของตัวรถที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่องความเป็นมิตรต่อผู้ขับขี่ ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ยังคงรักษาไว้ก็คือ ความแรงและเร้าใจที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งต่อให้ผมพูดอีกกี่ครั้ง ก็คงไม่ถึงใจเท่าการที่คุณได้ลองสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง เชื่อได้เลยว่า คุณจะรักสองล้อค่ายสีแดงมากขึ้นอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ เลยล่ะครับ