BMW F900 R และ F900 XR ผลผลิตล่าสุดจากโรงงานประกอบ BMW Motorrad ในประเทศไทย
ก่อนหน้านี้ไม่กี่อึดใจ BoxzaRacing ได้นำทุกท่านร่วมสัมผัสบรรยากาศภายในโรงงานประกอบมอเตอร์ไซค์ BMW Motorrad ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในโรงงานประกอบที่ทันสมัยเป็นอันดับต้นๆ ของแบรนด์ BMW และเป็นเพียง 1 ใน 3 ของโรงงานที่สามารถประกอบได้ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ ซึ่งโรงงานแห่งนี้ หลังจากเริ่มประกอบมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่ในปี 2014 จวบจนปัจจุบัน รับหน้าที่ประกอบมอเตอร์ไซค์มาแล้วถึง 9 รุ่น ซึ่งก็รวมไปถึงรุ่นล่าสุดอย่าง BMW F900 R (บีเอ็มดับบลิว เอฟ 900 อาร์) และ F900 XR (เอฟ 900 เอ็กซ์อาร์) ที่ BoxzaRacing กำลังจะรีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันในครั้งนี้ด้วย
BMW ตระกูล F900 ในงาน EICMA 2019
BMW F900 R และ F900 XR เปิดตัวครั้งแรกช่วงปลายปีก่อน ในงาน EICMA 2019 ซึ่งก็เป็น 2 มอเตอร์ไซค์ที่ดึงดูดความใจจากผู้เข้าชมงานได้ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยทั้ง BMW F900 R และ F900 XR ได้รับการต่อยอดมาจากรถในตระกูล F ซึ่งก็คือ BMW F850 GS (ใช้โครงสร้างเดียวกัน) โดยการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นการอัพไซส์ของเครื่องยนต์ให้มีความจุที่สูงขึ้น เพื่อให้สามารถเรียกพละกำลังออกมาใช้งานได้อีกระดับ แต่หากในส่วนของรายละเอียดภายในเครื่องยนต์เปลี่ยนไปนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การอัพลูกสูบให้ใหญ่ (84 มม. เป็น 86 มม.) หรือยืดช่วงชักให้ยาวขึ้นเท่านั้น (ช่วงชัก 77 มม. เท่าเดิม) แต่ยังเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการทำลูกสูบ จากอะลูมินั่มหล่อ มาเป็นแบบอลูมินั่ม Forged ซึ่งให้ความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า และยังมีน้ำหนักที่เบาลงอีกด้วย ความจุของเครื่องยนต์โดยรวมขยับขึ้นมาเป็น 895 ซีซี. ซึ่งให้กำลังในระดับ 99 แรงม้า ที่ 8,500 รอบ/นาที และแรงบิด 88 นิวตัน-เมตร ที่ 6,750 รอบ/นาที ด้วยอัตราส่งกำลังอัด 13.1 : 1 รองรับเชื้อเพลิงตั้งแต่ออกเทน 95 ขึ้นไป และผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ Euro 5
ในขั้นตอนการประกอบ ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความพิถีพิถัน
ด้านเครื่องยนต์นั้น อาจะไม่ได้ถึงกับมีลูกเล่นอะไรให้ตื่นตาตื่นใจสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เรียกได้ว่า เป็นจุดขายของทาง BMW ก็คือ เรื่องของระบบความปลอดภัย ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ว่ารถราคาหลัก "ห้าแสนกว่าบาท" แต่กลับได้เทคโนโลยีระดับชั้นนำ ที่ประจำการอยู่ในมอเตอร์ไซค์ "ราคาหลักล้าน" แน่นอนว่า สำหรับแบรนด์ BMW คุณสมบัติข้อนี้...ล้วนเป็นไปได้ เพราะรถค่ายนี้ เน้นเรื่องความปลอดภัยแะปรัสิธิภาพในการขับขี่เหนือสิ่งอื่นใด อะไรที่ใส่เข้าไปแล้วเป็นมิตรต่อผู้ขับขี่ แม้จะล้ำสักแค่ไหน แต่ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไปสำหรับ BMW อย่างแน่นอน โดยใน BMW F900 R และ F900 XR มีการติดตั้งระบบ Dynamic Engine Brake Control รวมถึงระบบระบบควบคุมแรงฉุดเครื่องยนต์ MSR ที่ช่วยปรับระดับการทำงานของคลัทช์ตามโหมดการขับขี่ (Rain, Road, Dynamic รวมถึง Dynamic Pro ที่ต้องเปิดใช้งานต่างหากในภายหลัง) ทำหน้าที่คล้ายๆ กับการเป็น Slipper Clutch ที่สามารถปรับระดับในการหน่วงได้โดยอัตโนมัติ เพิ่มความสมูทในขณะที่ทำการลดเกียร์อย่างรวดเร็วในรูปแบบที่หลากหลาย
หน้าจอสี กุญแจ Keyless มาตรฐานใหม่ของมอเตอร์ไซค์ยุค 2020
เพราะความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ BMW F900 R และ F900 XR จึงได้ติดตั้งระบบไฟส่องสว่าง Adaptive Cornering Light สำหรับส่องสว่างในยามเข้าโค้ง โดยไฟนี้จะติดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เมื่อรถมีการเอียงตั้งแต่ 10 องศา ในความเร็วที่มากกว่า 10 กม./ชม. ขึ้นไป รวมถึงไฟหน้าในรูปแบบ Adaptive ที่จะปรับองศาในการส่องสว่างโดยอัตโนมัติ เรือนไมล์ของทั้ง BMW F900 R และ F900 XR มาในรูปแบบจอสี TFT ที่สามารถเลือกดูค่าต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ทั้งความเร็ว, รอบเครื่องยนต์, ตำแหน่งเกียร์ ที่เป็นฟังค์ชั่นมาตรฐาน รวมถึงฟังค์ชั่นพิเศษอย่าง องศาการเอียงของตัวรถ, ความหนักในการใช้เบรก รวมถึง % การทำงานของระบบ Dynamic Traction Control ด้านรายละเอียดออพชั่นในเชิงลึก BoxzaRacing ขอเจาะในแต่ละตัวที่เราได้ทดลองขับขี่ แบบสรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ส่วนรายละเอียดในแต่ละรุ่นย่อย เลือกซื้อสีไหน รุ่นไหน ได้อะไรบ้าง เนื่องจากรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างเยอะมาก จนไม่สามารถกล่าวถึงได้หมด ทุกท่านสามารถดูรายละเอียดในแต่ละรุ่นย่อยเพิ่มเติมได้ที่ BMW F900 R และ F900 XR
ระบบช่วงล่างหลักๆ ของ BMW F900 R และ F900 XR มาในรูปแบบ Dynamic ESA ที่ปรับรูปแบบการทำงานได้อัตโนมัติ ด้วยระบบไฟฟ้า ตามแต่ละคอนดิชั่นการขับขี่ สามารถเลือกปรับได้ระหว่าง Road และ Dynamic ทำงานร่วมกับโช้กอัพหน้าแบบ Upside Down ขนาดแกน 43 มม. พร้อมโช้กอัพหลังพร้อมซับแทงค์ปรับความหนืดด้วยไฟฟ้า ล้อที่ให้มาเป็นขนาด 17 x 3.5 และ 17 x 5.5 นิ้ว ตามลำดับ รัดด้วยยาง 120/70 ZR17 ในด้านหน้า และยาง 180/55 ZR17 ที่ล้อหลัง ชุดเบรกเป็นเครื่องเคียงจาก Brembo แบบ 4 POT จับคู่จาน 320 มม. ด้านหน้า ส่วนด้านหลังมาในแบบ 1 POT พร้อมจาน 265 มม. พร้อม BMW Motorrad ABS Pro
นอกจากเรื่องของสไตล์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว ความแตกต่างระหว่าง BMW F900 R และ F900 XR ก็คือ เรื่องของช่วงล่างที่ออกแบบระยะยุบมาต่างกัน รวมถึงท่าทางในการขับขี่ เพื่อให้ตอบโจทย์ในแต่ละรูปแบบการใช้งาน โดยทาง BMW นั้น ยังมีทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้ใช้ ด้วยการออกแบบเบาะที่มีความหนาต่างกันไป ให้ผู้ซื้อได้เลือกเป็นออพชั่นที่เหมาะสมกับสรีระของแต่ละบุคคล เลือกเบาะ Low Seat ได้ ซึ่งหากยังสูงไป ก็มีชุดปรับระดับช่วงล่างไว้รองรับ ส่วนสำหรับคนตัวสูง ก็ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะมีเบาะแบบ High Seat ให้เลือก โดยความสูงเบาะสแตนดาร์ดของ BMW F900 R กำหนดไว้ที่ 815 มม. (Low Seat 790 มม.) มีน้ำหนักเมื่อรวมเชื่อเพลิง 13 ลิตร อยู่ที่ 211 กก. ส่วน BMW F900 XR มีความสูงเบาะสแตนดาร์ด 825 มม. (Low Seat 795 มม.) ถังน้ำมันมีความจุ 15.5 ลิตร โดยเมื่อน้ำมันเต็มถังตัวรถจะมีน้ำหนัก 219 กก.
ครูไก๋ ปฏิมา กองเพชร หัวหน้าทีมฝึกสอนของ BMW Enduro Park Thailand
การทดลองขี่ในครั้งนี้ มีรถทั้ง BMW F900 R และ F900 XR มาให้เลือกขี่กันอย่างจุใจ เส้นทางจาก อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ถึง อ.เมือง จ.ระยอง อาจดูไม่มีอะไร แต่ทางทีมงานจาก BMW Enduro Park Thailand นำโดย ครูไก๋ ปฏิมา กองเพชร วางเส้นทางให้ได้สัมผัสความหลากหลายในแต่ละคอนดิชั่นที่ต่างกัน เพื่อให้สัมผัสสมรรถนะที่แท้จริงของตัวรถ รวมถึงระบบความปลอดภัยที่จัดมาให้แบบเต็มสูบ ระยะทางรวมทริปนี้กว่า 300 กม. มีอะไรที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่อย่างแน่นอน เมื่อมีรถให้เลือกแบบจุใจเช่นนี้ ผู้เขียนก็ไม่รีรอที่จะเลือกรุ่นที่ตัวเองชื่นชอบ (และเชื่อว่าผู้ใช้หลายๆ คน ที่กำลังมองๆ รถแนวนี้อยู่...ก็น่าจะชอบด้วยเช่นกัน) BMW F900 XR สี Galvanic gold metallic ซึ่งเป็นรุ่นย่อยที่มาในแนว Exclusive Style เน้นความหรูหรา พร้อมออพชั่นเพื่อการเดินทางเป็นหลัก เช่น เบาะหนา มีการ์ดแฮนด์ ชิลด์หน้าทรงสูง ปรับได้ 2 ระดับ เป็นต้น
เริ่มการเดินทาง ครูฝึกจาก BMW Enduro Park Thailand แนะนำให้เลือกใช้โหมด Rain ก่อน เพื่อทำความคุ้นเคยกับตัวรถ บวกกับสภาพอากาศในตอนนั้น สุ่มเที่ยงต่อการเกิดฝนตกเป็นอย่างยิ่ง แต่งานนี้ The Show Must Go On ตกก็ลุยบนพื้นฐานความปลอดภัยเป็นสำคัญ แม้จะเป็นสัมผัสแรกกับ BMW F900 XR แต่โดยส่วนตัวแล้ว กลับรู้สึกว่า นี่เป็นมอเตอร์ไซค์ที่มี ซีซี. สูง น้ำหนักเยอะ ที่สามารถทำความคุ้นเคยได้ง่าย ตั้งแต่ท่านั่งที่สบายและเป็นมิตรหากต้องขี่ไกลๆ (สูง 168 ซม. ไม่ต้องใช้ความพยายามมากในการประคองรถ) ความจัดจ้านของพละกำลังที่ไม่ดุร้ายจนเกินไป แต่ก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังที่สามารถดึงออกมาใช้ได้อย่างไม่มีหมด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการเลือกใช้ Rain Mode ซึ่งช่วยให้การปรับตัวทำได้ง่ายกว่าการเริ่มด้วยโหมดอื่นๆ เนื่องจากมีตัวช่วยมาคอยอำนวยความสะดวกแบบจัดเต็ม (ทางครูไก๋มาให้แง่คิดในภายหลังว่า การใช้โหมด Rain ในการขับขี่นั้น เป็นการใช้สมรรถนะของรถที่คุ้มค่าที่สุด เพราะระบบที่ทาง BMW ตั้งใจใส่มาให้ คือ ต้นทุนที่ทางแบรนด์เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการใช้งานของผู้บริโภค ให้สามารถขับขี่ได้อย่างสนุกและปลอดภัย...ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้)
ขี่เร็วๆ ก็นิ่ง เข้าโค้งได้ง่าย ตัวช่วยเยอะ...สบายใจ
มีช่วงฝนโปรยเป็นระยะ แต่ไม่สามารถทำอะไรระบบความปลอดภัยของ BMW F900 Series ได้
อย่างที่บอกว่าแม้จะขับขี่ด้วย Rain Mode แต่พละกำลังของ BMW F900 XR นั้น ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องของแรงบิดในรอบต่ำ ที่มีมาให้ใช้งานแบบเหลือเฟือ ไม่ต้องเค้นรอบมาก (ส่งผลต่อเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองโดยตรง) ก็มีกำลังเพียงพอที่จะตอบสนองทุกการเร่ง ตัวรถให้การทรงตัวที่ดีในย่านความเร็วต่ำ - กลาง เลี้ยวโค้งได้ง่ายมีความสมูท ไม่ต้องออกแรงในการควบคุมเยอะ ชิลด์หน้าตัดลมได้ดี ลดอาการเมื่อยล้าให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างน่าประทับใจ ในช่วงกลาง - ท้าย ของการขับขี่ใน Section แรก มีฝนตกลงมาพอสมควร ผู้ขี่ลองปรับยกชิลด์ให้สูงขึ้นเพื่อลดการปะทะ ก็สามรถทำได้อย่างสะดวก ไม่ต้องจอดรถเพือดึงขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การมีระบบความปลอดภัยมาเป็นหัวใจหลักท่ช่วยร้างความมั่นใจในการขับขี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาด เช่น เบรกแรงไป เร่งเยอะไป เพราะหากมีปัจจัยใดๆ ที่อยู่ในคอนดิชั่นที่เกินความเหมาะสม ระบบอิเล็คทรอนิคส์ใน BMW F900 XR จะช่วยจัดการทั้งหมด แบบที่เราแทบไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ นี่คือ คาแร็กเตอร์พิเศษของ BMW ที่ยังไม่มีแบรนด์ไหนๆ เทียบชั้นได้
เจอทรายแบบนี้...มีเสียวแน่นอน
หลังจากที่เดินทัวร์โรงงานประกอบมอเตอร์ไซค์ BMW Motorrad ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร กันจนหนำใจแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่ จ.ระยอง โดยคราวนี้ BoxzaRacing เปลี่ยนรถเป็น BMW F900 R เนคเก็ตไบค์สุดหล่อที่ได้รับการถ่ายทอดกลิ่นอายจากรุ่นพี่อย่าง BMW R1200 R ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของตัวรถดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา โดยก่อนจะเริ่มเดินทาง ทีมมาร์แชลมีภารกิจมาชาเลนจ์กันเล็กน้อย (โดยยังไม่บอกว่า คือ อะไร) ด้วยสภาพถนนที่ยังคงหมาดๆ บวกกับเส้นทางข้างหน้าที่มีทรายอยู่บนถนนเป็นระยะ ทำให้ยังคงขับขี่ด้วยโหมด Rain กันอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกสัมผัสก็คือ ท่านั่ง สำหรับ BMW F900 R พักเท้ายกขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นพอสมควร ลำตัวโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตเนคเก็ตไบค์แบบเต็มตัว ฟีลลิ่งซิ่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับต้องืนร่างกายจนเกินไป หากต้องขับขี่เป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งด้วยท่านั่งที่เป็นสปอร์ตเช่นนี้ ยิ่งช่วยให้การควบคุมรถทำได้อย่างสนุกมากยิ่งขึ้น โดยระหว่างเส้นทางใน Section นี้ มีโค้งแคบๆ ให้เล่นค่อนข้างเยอะ ซึ่งหากช่วงล่างเซ็ตมาไม่ดีจริง ก็ย่อมที่จะฟ้องอาการออกมาให้เห็นอย่างแน่นอน แต่สำหรับ BMW F900 R กลับไม่รู้สึกถึงจุดบกพร่องตรงนั้น ส่วนหนึ่งนอกจากการออกแบบช่วงล่างที่ดีแล้ว ก็คงต้องยกเครดิตให้กับระบบอิเล็คทรอนิคส์ด้วยเช่นกัน พวกกันการจัดการ Engine เบรกที่ทำงานได้อย่างเหมาะสม ช่วยให้การควบคุมรถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ต้องใช้เบรกเยอะก็สามารถผ่านได้ ทั้งโค้งแคบๆ ทั้งพื้นผิวที่ลื่นด้วยโคลนและทราย ต้องบอกว่า BMW F900 R เอาอยู่จริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับการขับขี่ในชีวิตจริง ไม่ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความประมาท แม้จะมีตัวช่วยติดตั้งมาให้มากแค่ไหนก็ตาม
เบรกเนียน...ก็รับไป
หมดช่วงของการเล่นโค้ง ก็เป็น่วงของการเดินทางต่อบนทางตรงยาวๆ ตรงจุดนี้พอจะมีพื้นที่ว่างให้ลองพละกำลังของเครื่องยนต์กันบ้าง ผู้เขียนลองเปลี่ยนฟีลลิ่งเล็กน้อย ด้วยการเลือกโหมดการขับขี่ทั้ง Road และ Dynamic ซึ่งก็พบว่า เป็นเสมือนการปลดล็อคพละกำลังของตัวรถใหมีความโดดเด่นขึ้นมาอีกขั้น โดยเฉพาะการตอบสนองคันเร่งที่ทำได้อย่างทันอกทันใจ ไม่มีอาการหน่วงให้เห็น แต่ด้วยความที่ BMW F900 R เป็นรถที่มาในแนวเนคเก็ตไบค์ การใช้ความเร็วที่สูงอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้เกิดความเมื่อยล้าต่อผู้ขับขี่ เนื่องจากไม่มีชิลด์มาบังลมปะทะตัวเหมือนกับเพื่อนร่วมตระกูล แต่ถ้าต้องการขี่หล่อๆ เน้นความคล่องตัวเป็นหลัก BMW F900 R กินขาดในจุดนี้แน่นอน อีกสิ่งหนึ่งที่อดที่จะชื่นชมไม่ได้คือ การทำงานของระบบเบรกที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็จ และมีน้ำหนักที่ดีพอสำหรับการหยุดรถในทุกย่านความเร็ว ฟีลลิ่งกระชับ สั่งได้ แต่ก็อย่างที่บอกไปในข้างต้นว่า การมีระบบ Dynamic Engine Brake Control นั้น ช่วยให้การเบรกทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งผู้เขียคงเป็นอีกหนึ่งคนที่เห็นความสำคัญในจุดนี้ จึงได้ของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ จากทาง BMW Motorrad ในช่วงการชาเลนจ์ของทีมงาน
ในการทดลองขี่ในครั้งนี้ ยังมี BMW F900 XR อีกหนึ่งรุ่นย่อย ที่ผู้เขียนได้ลดลองขี่ ซึ่งก็คือ BMW F900 XR สี Racing Red ที่มาในรูปแบบ Sport Style ชิลด์หน้าทรงสั้น สีดำ เบาะนั่งบาง เน้นอารมณ์ความเป็นสปอร์ตเป็นหลัก ซึ่งดูแล้วน่าจะตอบโจทย์สำหรับสาย "ทัวริ่ง...ก็ซิ่งได้" ในภาพรวมของการขับขี่นั้น ไม่รู้สึกว่าต่างกับตัว Exclusive Style ที่ได้ทดลองขี่ไปในช่วงแรก แต่ด้วยท่านั่งที่ต่ำลง อาจให้ฟีลิ่งในการขับขี่ที่กระชับมากยิ่งขึ้น แต่หากต้องแลกมาด้วยความกระด้างขึ้นอีกเล้กน้อย ด้วยความหนาของตัวเบาะนั่งที่ลดลงไป ในส่วนของชิลด์แบบต่ำ ยังคงรับหน้าที่ในการลดลมปะทะได้อย่างน่าพอใจ จะปรับสูง ปรับต่ำ คงต้องขึ้นอยู่กับสรีระของผู้ขับขี่ว่าชอบแบบไหน โดยรวมก็จัดว่าเป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจ หากใครที่เป็นสายซิ่ง ชอบอะไรที่โฉบเฉี่ยว พร้อมต่อยอดแต่งองค์ทรงเครื่องให้ตัวรถมีความโดดเด่นมากขึ้น ดูแล้วน่าจะเป็นคำตอบที่ดีทีเดียว
BMW F900 R
BMW F900 XR กับความหล่อ 2 สไตล์
หลังจากที่ได้สัมผัส BMW F900 R และ F900 XR มาแบบพอหอมปากหอมคอแล้ว ผมอดอิจฉานักบิดยุคนี้ที่กำลังมองหามอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ๆ ออกมาใช้งานสักคันจริงๆ ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปไกล ทำให้เข้าถึงสิ่งที่อยู่แค่ในจินตนาการในยุคก่อนได้ไม่ยาก ก็อย่างที่บอกครับ สำหรับทั้ง BMW F900 R และ F900 XR ที่ค่าตัวห้าแสนกลางๆ แต่พกเทคโนโลยีที่ติดมากับรถราคาหลักล้าน ถ้าจะบอกว่า...มีแต่ได้กับได้ ก็คงไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงมั้งครับ หรือชาว BoxzaRacing ว่าไง ?
- BMW F900 R 2020 ราคา 495,000 บาท สำหรับสี Black Storm Metallic (โช้กธรรมดา)
- BMW F900 R 2020 ราคา 520,000 บาท สำหรับสี Hockenheim Silver Metallic / Racing Red
(Sport Style)
- BMW F900 R 2020 ราคา 525,000 บาท สำหรับสี San Marino Blue Metallic
- BMW F 900 XR 2020 ราคา 535,000 บาท สำหรับสี Light White
- BMW F 900 XR 2020 ราคา 550,000 บาท สำหรับสี Racing Red (Sport Style)
- BMW F 900 XR 2020 ราคา 550,000 บาท สำหรับสี Galvanic Gold Metallic (Exclusive Style)