เขียนโดย: AEFOTO

เมื่อ: 1 กันยายน 2563 - 18:23

Mercedes-Benz SUV Driving Experience จับรถหรูมาลุยทางฝุ่น ในเส้นทางออฟโรด

 

          บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ยกทัพรถยนต์ SUV ครบทั้งพอร์ตแบบจัดเต็มครบครัน ทั้งแบรนด์ Mercedes-Benz และแบรนด์ Mercedes-AMG ให้สื่อมวลชนร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ทั้งหรูหรา สะดวกสบาย และเปี่ยมด้วยสมรรถนะอันทรงพลัง บนสนามทดสอบสุดเร้าใจของกรังด์ปรีซ์ มอเตอร์ ปาร์ค จังหวัดกาญจนบุรี  โดยมีไฮไลต์เป็น “Mercedes-Benz GLB 200 Progressive” รถยนต์คอมแพ็คเอสยูวี 7 ที่นั่งเพิ่งเปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในทัพ SUV ที่ร่วมอยู่ในกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อให้รู้ว่า SUV ของค่ายตราด่วนั้น ไม่เฉพาะหรูหรา และจี๊ดจ๊าดบนทางเรียบเท่านั้น แต่ยังสามารถตะลุยผ่านด่านอุปสรรคต่างๆ ในเส้นทางที่ยากลำบาก อีกทั้งยังสามารถบู๊ระห่ำบนเส้นทางออฟโรดได้อย่างสบาย

 

 

          การจัดกิจกรรมทดสอบรถยนต์ในวันนี้นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่ Mercedes-Benz ขนทัพรถยนต์เอสยูวีแบบครบครันทั้งพอร์ตที่รวมทั้งแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์และแบรนด์ Mercedes-AMG มาให้สื่อมวลชนได้ร่วมทดสอบสมรรถนะและได้สัมผัสประสบการณ์ตรงของการขับขี่รถยนต์อเนกประสงค์ทุกรุ่นของMercedes-Benz ที่ทั้งหรูหรา และเพียบพร้อมด้วยสมรรถนะในการขับขี่ในทุกสภาพถนน ส่วนขบวน SUV ที่นำเข้ามาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ประกอบไปด้วย GLA, GLB, GLC, GLE และ GLS ส่วนในรุ่นตัวแรงอย่าง Mercedes-AMG จะมี  Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupe และ Mercedes-AMG GLE 43 4MATIC Coupe

 

 

          โดยในกิจกรรมครั้งนี้ถูกแบ่งเป็น 3 สถานีหลักๆ ได้แก่ 10 Station Thailand 4x4 Academy, สถานีต่อมาจะเป็นในส่วนกิจกรรมลองความเร็วบนเส้นทาง Cross Country ที่พื้นแทรคจะเป็นทราบ หินกรวดเล็กใหญ่มีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ก่อนปิดท้ายด้วยการขับขี่บนเส้นทางออฟโรดแบบลุยป่าจริง ระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร ให้ซึมซับกับบรรยากาศแบบลุยป่าอย่างแท้จริง 

 

 

          เริ่มสตาร์ทกิจกรรม Mercedes-Benz SUV Driving Experience จาก 10 Station Thailand 4x4 Academy เป็นด่านแรก โดยในสถานีนี้จะมีรถให้ทดสอบด้วยกัน 3 รุ่นด้วยกันได้แก่ GLS, GLC และ GLC Coupe โดยทางทีมงาน BoxzaRacing ได้เจ้า GLS เป็นพาหนะในการทดสอบด่านนี้ ซึ่งสถานีนี้ได้ถูกสร้างจำลองขึ้นจากสภาพที่ทุรกันดารของเส้นทางจริง มีทั้งเนินชัน เนินเอียง เนินระนาด ทราย น้ำ หลุมสลับ เป็นต้น โดยทั้ง 10 Station หรือ 10 สถานี จะประกอบด้วย Station-1 หลุมสลับซ้าย-ขวา/หินสลับซ้าย-ขวา, Station-2 สถานีบ่อโคลน, Station-3 สถานีระนาดซุง, Station-4 สถานีเนินเอียงสไลด์ซ้าย-ขวา, Station-5 สถานีเนินดิน-เนินปูนสูงชัน, Station-6 สถานีฝายทดน้ำ/ระนาดหินกรวด, Station-7 สถานีบ่อน้ำ, Station-8 สถานีเนินเอียง 45 องศาโค้งเสี้ยวพระจันทร์, Station-9 สถานีน้ำตก/สะพานซุง และปิดท้ายด้วยสถานีบ่อทรายดูด

 

 

          ต้องบอกว่าในตลอดเส้นทางจะมีเจ้าหน้าคอยกำกับ และช่วยบอกวิธีและแก้ไขในแต่ละสถาณการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เจ้า GLS ที่ทำการทดสอบจัดว่าเป็นรุุ่นใหญ่สุดในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ด้วยมิติความยาว x กว้าง และความสูงที่อยู่ที่ 5,207 x 1,956 x 1,823 มิลลิเมตร และ ระยะฐานล้อ : 3,135 มิลลิเมตร ที่สำคัญคือขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร ที่มีพละกำลังสูงสุด 286 แรงม้า มาพร้อมกับแรงบิดที่มากถึง 600 นิวตัน-เมตร  จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ซึ่งในความสามารถโดยรวมของ GLS นั้นแทบจะไม่ต้องทำอะไรมากมาย อีกทั้งยังไม่ต้องใช้ทักษะใดๆเข้ามาช่วยเลยเพียงแค่ควบคุมพวงมาลัย คอยกดเบรก และคันเร่งเท่านั้น ก็สามารถผ่านอุปสรรค และสถานีย่อยต่างๆได้อย่างง่ายดาย จะมีบางจุดที่เราต้องปิดระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เพื่อให้รถมีกำลังขับเคลื่อนไปได้

 

 

ด้วยพละกำลังแรงบิดที่มากรวมถึง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ก็เพียงพอที่จะผ่านด่านแรกหลุมสลับไปอย่างง่ายดาย

 

          ประเดิมใน Station ที่1 หลุมสลับซ้าย-ขวา/หินสลับซ้าย-ขวา หรือที่เรียกว่าหลุมขนมครกโดยสถานการณ์นี้จะมีล้อข้างหนึ่งลอยอยู่ เมื่อรถไปที่หลุมสลับแต่ด้วยแรงบิดที่เหลือเฟือของ GLS รวมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC เพียงค่อยกดคันเร่งระบบจะถ่ายกำลังของล้อที่ลอยอยู่ แล้วส่งกำลังไปบนล้อที่ติดพื้นเพื่อส่งให้ตัวรถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย

 

ด้วยตัวรถที่สูงใหญ่ รวมถึงสมรรถนะในการตะกรุยสามารถลุยน้ำลึกได้อย่างสบาย 

 

         ต่อเนื่องมาจะเป็น Station ที่ 2 สถานีบ่อโคลนที่มาน้ำลึกประมาณ 50 ซม. ซึ่งต้องบอกว่าง่ายกว่าที่คิดเพราะด้วยตัวรถที่สูงใหญ่ เป็นมาตรฐานอยู่แล้วมาสามารถผ่านพ้นไปอย่างสบาย โดยผสานกับระบบ 4MATIC ที่อยู่ในตัวด่านนี้จึงเป้นเรื่องง่ายกว่าที่คิด

 

Station ที่3 เป็นการจำลองวางท่อซุงบนพื้นเพื่อทดสอบระบบช่วงล่าง

 

           ถัดมาต่อใน Station ที่3 สถานีระนาดซุงเป็นการนำท่อนซุงมาวางเรียงเป็นแนวยาว แล้วให้ขับผ่านท่อนซุง เพื่อเป็นการทดสอบระบบช่วงล่างของ Mercedes-Benz GLS ที่เป็นระบบ AIRMATIC ต้องบอกว่าเป็นงานง่ายเพราะด้วยช่วงล่างที่ถูกออกแบบให้รองรับ และซับความสั่นสะเทือน ได้เป็นอย่างดี ขยับมาเป็น

 

     ด้วยระบบ 4MATIC ที่อยู่ในตัว SUV ของทาง Mercedes-Benz นั้นช่วยในตัวรถนั้นผ่านอุปสรรคในสถานีเนินเอียงสไลด์ซ้าย-ขวา ได้อย่างง่ายดาย

 

          Station ที่ 4 สถานีเนินเอียงสไลด์ซ้าย-ขวา สเตชั่นนี้อาจจะดูหวาดเสียวในตอนขับเพราะตัวรถจะต้องผ่านเนินเอียงที่มีการขับผ่านสันเนินในแบบสลาลมซ้าย-ขวา จึงทำให้ล้อของรถลอย 2 ล้อ แต่ด้วยระบบ 4Matic ที่อยู่ในตัว Mercedes-Benz GLS รวมทั้งแรงบิดอันมหาศาลของตัวรถจึงช่วยขับผ่านแบบสบายๆ 

 

Station ที่ 5 สถานีเนินดิน-เนินปูนสูงชัน

 

          ต่อเนื่องมาถึง Station ที่ 5 สถานีเนินดิน-เนินปูนสูงชัน โดยจะเป็นการขับขึ้นเนินสูงที่มีหินลื่น โดยเนินสูงมีความชันอยู่ที่ 40 องศา ซึ่งก่อนขึ้นจะปิดระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เพื่อให้รถมีกำลังขับเคลื่อนไปได้ โดยตอนขึ้นไปนั้นด้านหน้ารถจะชี้ฟ้า เรียกว่าจะมองเห็นในส่วนท้องฟ้าเท่านั้น ในด่านนี้ถ้าตัวรถมีระบบกล้องด้านหน้า หรือกล้องมองรอบคันจะช่วยเสริมความปลอดภัย และช่วยให้ผู้ขับขี่มั่นใจเพราะจะเห็นในทุกส่วน ทุกมิติรอบตัวรถ ซึ่งเจ้า Mercedes-Benz GLS ก็มีระบบนี้มาช่วยอีกด้วย และที่สำคัญคือพละกำลังเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร ที่มีแรงม้ามากถึง 286 แรงม้า กับแรงบิดอันเหลือเฟือถึง 600 นิวตัน-เมตร จึงไม่ใช้เรื่องเหนือกว่าบ่าแรงที่จะผ่านด่านนี้

 

ลุยน้ำลึกกันอีกรอบในระยะทางที่ยาวขึ้น

 

          มาสู่ครึ่งทางหลังของ 10 Station Thailand 4x4 Academy ในด่านที่ 6 สถานีฝายทดน้ำ/ระนาดหินกรวด ซึ่งจะทดสอบ และให้ลองระบบช่วงล่างซึ่งก็เป็นงานง่ายสำหรับ SUV ของทาง Mercedes-Benz รวมถึงด่านที่ 7 ที่เป็นสถานีบ่อน้ำลึกด้วยตัวรถที่สูงใหญ่จึงเป็นเรื่องสบายที่จะผ่านด่านนี้อย่างสบายๆ

 

 

          ต่อเนื่องที่ Station ที่ 8 เป็นสถานีเนินเอียง 45 องศาโค้งเสี้ยวพระจันทร์ โดยจะได้ลองทดสอบการทรงตัวของตัวรถ รวมทั้งการบังคับเลี้ยวในเส้นทางที่เป็นเนินเอียง ซึ่งการขับขี่ก็ผ่านไปได้อย่างสะดวก

 

 

          มาถึง Station ที่ 9 สถานีน้ำตก/สะพานซุง ซึ่งจำลองให้เห็นถึงเส้นทางที่วิ่งผ่าสายฝน บนเส้นทางชนบท ที่เป็นสะพานไม้ โดยการขับเคลื่อนด้วยความเร็วต่ำจะช่วยให้ผ่ายอุปสรรคนี้ไปอย่างง่ายดาย ปิดท้ายด้วยสถานีบ่อทรายก็ผ่านมาอย่างสะดวกโยธิน 

 

 

          บทสรุปของสถานีแรก 10 Station Thailand 4x4 Academy ด้วยตัวรถที่มีสรรมถะที่ดีเยี่ยม ไม่วาจะเป็นระบบ 4MATIC ของทาง Mercedes-Benz ที่ติดตั้งอยู่ใน SUV ทุกรุ่น รวมทั้งสมรรถนะของขุมพลัง และระบบช่วยเหลือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกล้อง จึงทำให้การผ่านด่านแต่ละด่านนั้นง่ายดาย ช่วยให้การขับขี่ในเส้นทางออฟโรดนั้นง่ายขึ้น แทบจะไม่ต้องใช้ทักษะอะไรเข้ามาช่วยมากมาย เพียงแค่ควบคุมพวงมาลัย, คันเร่ง และเบรก ให้เหมาะสมกับเส้นทาง ก็จะสามารถขับผ่านอุปสรรคไปได้อย่างปลอดภัย

 

 

          หลังจากที่ไปฝึกหัดใน Thailand 4x4 Academy แล้ว มาลองของจริงในเส้นทาง Cross Country Twin Track Speed Circuit ที่พื้นแทรคจะเป็นทราย หินกรวดเล็กใหญ่ มีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร กันบาง โดยในสถานนี้จะขับขี่บนทางลูกรัง โดยทีมงานเมอร์เซเดส-เบนซ์ จัดรถเตรียมไว้ที่สถานีนี้ 3 รุ่น คือ GLC, GLB และ GLA ซึ่งเป็นทั้งแบบรถขับเคลื่อนล้อหน้า และล้อหลังโดยสถานีนี้ จะได้ลองสมรรถะ รวมถึงระบบช่วงล่างของ SUV หรูว่าจะลุยฝุ่นได้จริงจังขนาดไหน โดย Instructions ของทาง Mercedes-Benz แนะนำให้ปิด ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ หรือ ESP ก่อนเริ่มการทดสอบ เพื่อจะได้ความสนุก และอรรถรสในการขับขี่ที่เพิ่มมากขึ้น โดยจะได้ขับคนละ 2 รอบสนาม โดยเส้นทางจะโค้งยูเทิร์นหลายจุด รวมถึงโค้งหักศอก นอกนั้นจะเป็นทางตรงรวมถึงโค้งกว้างให้ลองสาดโค้งในความเร็วได้อย่างสะใจ

 

 

          เริ่มจากในตัว Mercedes-Benz GLC 200 d ที่เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังกันก่อน เรื่องพละกำลังไม่ต้องเป็นห่วง ขับสนุกสาดได้ทุกโค้ง แต่ถ้าเผลอดกดคันเร่งแรงบนเส้นทางฝุ่นที่เป็นทราบ รวมทั้งหินกรวดจะมีอาการ Oversteer ออกมาให้เห็นทันที่ โดยที่ท้ายจะปัด และสไลด์ ซึ่งถ้าหากควบคุมพวงมาลัยได้ถูกวิธีจะช่วยแก้อาการเสียการทรงตัวนี้ได้ ส่วนในเส้นทางตรงสามารถกดกระชากได้อย่างเมามันส์ สมรรถนะเครื่องยนต์  2.0 ลิตร 4 สูบ 194 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic ต้องบอกว่าสะใจได้เรื่อง

 

 

          หลังจากที่ได้ลองในตัวขับเคลื่อนล้อหลังไปแล้วคราวนี้มาถึงตัวพระเอกในงานอย่าง Mercedes-Benz GLB 200 Progressive ที่มากับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร 4 สูบ ที่ให้กำลังแรงม้าอยู่ที่ 163 ตัว มาพร้อมกับแรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-DTC เป็นแบบขับเคลื่อนล้อหน้า ต้องบอกว่า Mercedes-Benz GLB 200 ให้ความรู้สึกการควบคุมที่ง่ายกว่ารถขับหลัง การแก้อาการทำได้ง่ายกว่ารุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า รวมถึงในเรื่องพละกำลังถึงแม้ว่าจะเป็นเคื่องยนต์ 1.3 ลิตร แต่เมื่ออยู่ในแทรคแล้ว ก็จัดจ้านเกินตัว ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งทางฝุ่นด้วยความเร็ว การเข้าโค้งที่มั่นใจ สรุปโดยรวมของสถานี Cross Country ตัวรถนั้นสามารถไปได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่าง หรือแม้แต่พละกำลังของเครื่องยนต์ แต่ต้องมีทักษะในการขับที่ดีพอประมาณ เพราะด้วยความเร็วที่ขับอยู่ในสนาม บนเส้นทางเต็มไปด้วยทราย หินกรวด จะส่งผลต่อการควบคุม

 

 

          นอกจากนั้นในเรื่องของยางที่ใช้นั้นควรต้องเป็นยางที่เหมาะสมต่อสภาพพื้นผิว เพราะยางที่ใช้ในการทดสอบในกิจกรรมครั้งนี้เป็นยางติดรถแบบ Highway Terrain ที่เหมาะกับการใช้งานในถนนเรียบ ซึ่งถ้านำมาลุยก็อาจจะลุยได้บางสถาณการณ์ และบางเส้นทางเท่านั้น แต่ถ้ามาวิ่งในเส้นทางโหดๆ ก็อาจจะไม่เหมาะ และอาจจะเกิดเหตุการที่ไม่คาดคิดได้ แนะนำให้ใช้ยางที่เหมาะกับเส้นทางมากกว่า

 

 

          ปิดท้ายในสถานีสุดท้ายเป็นการวิ่งแบบกินลมชมวิว ประมาณขับผ่านทุ่งหญ้าของกลางป่าเขา โดยสถานีสุดท้ายนี้เราได้เจ้า Mercedes-Benz GLC 300 e 4Matic AMG Dynamic ที่เป็นขุมพลังไฮบริดเป็นพาหนะในการลุยกิจกรรมสุดท้ายนี้ โดยมีเส้นทางออฟโรดเป็นอุปสรรค โดยในเส้นทางนี้เป็นเส้นทางธรรมชาติ ที่มีระยะทางรวมกว่า 4.5 กิโลเมตร

 

 

          ตลอดเส้นทางจะมีทั้งเนินชัน, ร่องน้ำ และเส้นทางที่แคบรถวิ่งได้เพียงคันเดียวตลอดสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่เบียดกับตัวรถตลอดเวลา ต้องใช้ความเร็วในการขับไม่เกิน 20 กม./ชม. บางเส้นทางต้องใข้คนบอก และนำทาง แต่ด้วยพละกำลังของตัวรถนั้นเหลือเฟือ ที่จะผ่านอุปสรรคดังกล่าวนี้ไปได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งถ้าตัวรถที่อุปกรณ์หรือฟังช์ชั่นมาช่วยเสริมอย่างกล้องหน้ารถ หรือกล้องมองรอบคัน จะช่วยให้ผ่านสถานีนี้ไปได้อย่างง่ายดาย 

 

 

          บทสรุปของกิจกรรม Mercedes-Benz SUV Driving Experience อย่างแรกต้องขอขอบคุณ Mercedes-Benz ประเทศไทย สำหรับกิจกรรมดีๆ และสนุกๆเช่นนี้ เพราะน้อยโอกาส หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย สำหรับการที่จะนำรถหรูราคาหลักล้านบาทขึ้นไปมาลุย มาขับพื้นที่ และทดสอบในสถาพเส้ทางออฟโรดจริงๆ นอกจากนั้นในกิจกรรม Mercedes-Benz SUV Driving Experience นี้นับว่าเป็นอีกกิจกรรมที่ทำให้รับรู้ว่า รถในตระกูล G ของทาง Mercedes-Benz นั้นนอกจากที่จะหรูหราเมื่อยามอยู่บนท้องถนนทั่วไปแล้ว ยังสามารถนำมาใช้งานในรูปแบบที่แตกต่างจากชีวิตจริงได้ เช่นการลุยในเส้นทางที่ยากเข้าถึง เพราะไม่ว่าด้วยพละกำลังของตัวรถ รวมถึงระบบช่วงล่างต่างๆ รวมถึงออฟชั่น และระบบช่วยเหลือของตัวรถนั้น สามารถบุกป่าฝ่าดงไปได้ทุกที่อยุ่แล้ว อยู่ที่ว่าคุณพร้อมที่จะนำรถหรู ราคาระดับหลายล้านมาลุยหรือป่าวเท่านั้น

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook