เขียนโดย: D wisanuporn

เมื่อ: 4 กุมภาพันธ์ 2563 - 17:16

Nissan Almera 2020 ยนตรกรรมล้ำสมัย เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์ ขับง่าย ใช้เพลิน ยกให้เลย

          เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ถูกจับตามองอย่างมาก ตั้งแต่เปิดตัวไปเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา กับ Nissan Almera 2020 นับเป็นการเขย่าวงการรถ Eco Car ให้กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง ซึ่งผ่านมากกว่า 5 ปี ตั้งแต่โครงการรถคันแรกอุบัติขึ้นมา กระทั่งวันนี้หลายค่ายต่างพยามเปิดตัวรถ Eco Car ป้อนสู่ตลาดอีกครั้ง กับโครงการ Eco Car Phase 2 แน่นอนว่ารถที่เข้าโครงการนี้ ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ต้อง ปล่อยก๊าซ CO2 ไม่เกิน 100g./km., มาตรฐานมลพิษ EURO 5, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต้องไม่ต่ำกว่า 23.25 กิโลเมตร/ลิตร, ต้องติดตั้งระบบเบรก ABS, EBD, BA เป็นมาตรฐานทุกรุ่นย่อย และต้องติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว VSA, VSC, VDC และ DSC เป็นมาตรฐานทุกรุ่นย่อยเช่นกัน

 

 

          และ Nissan Almera 2020 ที่ทีมงาน BoxzaRacing ได้มีโอกาสทดลองขับนี้ ก็ได้ผ่าน เงื่อนไขที่ตั้งไว้ทั้งหมด นี่กลายเป็นคำถามที่ว่ารถที่ผ่านมาตรฐานเหล่านี้ จะมีสมรรถนะเพียงพอต่อการใช้งานอย่างที่พูดไว้ได้หรือไม่ เพราะจากสิ่งที่ถูกกำหนดมากนั้น เน้นไปที่เรื่องความประหยัด ปลอดภัยมากกว่า เอาเป็นว่ามาดูผลจากการที่ทีมงานได้ทดลองขับกันว่าจริงแล้ว Nissan Almera 2020 นั้นเป็นรถแบบไหนเหมาะกับการใช้งานอย่างไร ?

 

ดีไซน์ปรับใหม่ตามแบบฉบับของ Nissan สื่อความเป็นเทคโนโลยีอัจฉริยะในการขับ

         แต่ก่อนไปดูว่าสมรรถนะในการขับเป็นแบบไหน ขอพูดถึงเรื่อง Design คร่าวๆ ก่อนว่ารุ่นนี้ มีอะไรที่โดดเด่น เริ่มจากสีที่ทางโรงงานแจ้งว่าใช้โทนเดียวกับ Nissan GT-R และ Nissan X-Trail โดยสีที่เป็นโทนเดียว เน้นว่าโทนเดียวกันไม่ใช่เบอร์เดียวกัน ซึ่งโทนที่เหมือนกับ Nissan GT-R จะเป็นสีเทา Gun Metallic ส่วนสีที่เหมือนกับ Nissan X-Trail เป็นสีส้ม Monarch Orange

 

 

          ภาพรวมเรื่องการออกแบบภายนอก เป็นไปตาม Concept ที่กำหนดจาก Nissan อย่างชัดเจน หากเราย้อนกลับไปดูเรื่องของแนวทางการออกแบบที่แสดงผ่าน Nissan Vmotion 2.0 Concept ที่เผยโฉมเมื่อปี 2017 โดย Nissan ต้องการสื่อความหมายของ Nissan Intelligent Mobility ผ่าน Concept Car คันนั้น แน่นอนว่าเราจะเห็นการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ในรถรุ่นใหม่ๆ ของ Nissan ไม่ว่าจะเป็น GT-R, Murano, X-Trail หรือแม้แต่ Leaf และเช่นเดียวกันกับ Nissan Almera 2020 ที่ได้แนวคิดนี้ สิ่งที่สื่อให้เห็นในทุกรุ่นคือ กระจังหน้าแบบ Vmotion และแนวหลังคาแบบ Floating ที่จะเป็นตัวกำหนดเส้นสายของตัวรถสอดรับกันตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า เส้นข้างตัวรถ ไปกระทั้งฝาปิดท้าย ไฟหน้าแบบ LED เช่นเดียวกับไฟท้าย

 

รุ่นใหม่นี้ใช้ล้อขนาด 15 นิ้ว เท่านั้น 

 

         ภาพรวมการออกแบบภายในกำหนดตำแหน่งของสวิทช์ต่างๆ ไว้ได้ค่อนข้างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นชุดควบคุมความเย็น หรือแม้แต่หน้าจอสัมผัส ที่ไม่ต้องขยับเลื่อนตัวออกไป ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ขับ และส่วนที่น่าจะเรียกว่าเป็นจุดเด่นของภายในของ Nissan Almera 2020 คือ Cockpit โดยเฉพาะทางด้านคนขับที่แทบไม่ต้องปรับตำแหน่งเบาะนั่ง เพราะได้ระดับกับพวงมาลัย ซึ่งทำมุมรับกับการท่านั่งได้พอเหมาะ อีกทั้งตัวเบาะเองก็โอบกระชับด้านข้างอย่างดี หลายท่านอาจมองว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่ในความเป็นจริงแล้ว การจัดท่านั่งที่ดีสามารถสื่อสารกับรถได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแรงสะท้อนกลับของระบบช่วงล่าง ทัศนะวิสัยในการมองไปด้านหน้า มุมมองด้านข้างที่ดูง่ายและปลอดภัย รวมถึงการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ภายใน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับท่านั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  

 

 

          ส่วนพื้นที่ด้านหลังดูแล้วยังไม่เน้นมาก อุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานของผู้โดยสารค่อนข้างน้อย ในเรื่องพื้นที่นั้น ต้องทำความเข้าใจกันสักเล็กน้อย เพราะมีหลายคนที่ฟันธงว่า ด้านหน้าหรือด้านหลัง กว้าง แคบ แตกต่างกันไป หรืออย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงความคิดเห็นที่ปราศจากความเป็นจริงในบางส่วน ลองคิดตามหากจะกล่าวว่าพื้นที่ด้านหลังแคบเกินไป ต้องมองที่ด้านหน้าประกอบกันด้วย เมื่อเบาะนั่งด้านหน้าถูกเลื่อนขึ้นไปมากด้านหลังจะเหลือมาก ตรงกันข้ามหากด้านหน้าเลื่อนออกมาพื้นที่ด้านหลังจะเหลือน้อยลงตามสัดส่วนเช่นกัน การจะสรุปว่าพื้นที่ภายในกว้าง หรือแคบ ต้องดูที่องค์ประกอบการใช้งานเป็นหลัก การเอาสัดสัดส่วนที่ไม่ใกล้เคียงกับ หุ่น ที่ใช้ในขั้นตอนการออกแบบมาเป็นตัวตัดสิน เป็นเรื่องไม่สมเหตุผลเท่าไรนัก อย่าลืมว่าขนาดตัวถังของรถ เบาะนั่ง และอุปกรณ์ทุกส่วน เป็นเรื่องต้นทุนในการผลิต (อันนี้ไม่ได้โอนเอียงไปทางค่ายผลิตรถใดๆ) แต่นี่เป็นความจริงที่ต้องนำมาเสนอ หากต้องการความกว้างใกล้เคียงกับรถระดับสูงกว่า ก็ต้องยอมแลกกับต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เอาเป็นว่าโอกาสหน้าจะพูดถึงเรื่องความเหมาะสม ในเรื่องของราคากับรถว่า แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

 

จอแบบสัมผัส ขนาด 8 นิ้ว กลางคอนโซล แสดงผล IAVM+MOD แต่ยังมีปุ่มให้กดด้านข้างผสมมา

 

หน้าจอแบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว เป็นการผสมกันระหว่าง Digital และ Analog

 

          นอกเรื่องไปมาก กลับเข้ามาต่อที่เรื่องของฟั่งก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ของอุปกรณ์ที่มีมาให้ อย่างแรกเป็นช่อง USB ที่หลายคนชอบพูดถึง รุ่นนี้ทำมาตอบสนองเท่าที่จำเป็น แต่อยู่ครบในทุกตำแหน่ง ทั้งด้านหน้าตรงกลางและด้านหลังรวม 3 จุด เรื่องจอแสดงผลแบบสัมผัส ขนาด 8 นิ้ว ที่กลางคอนโซล แสดงผล IAVM+MOD แต่ยังมีปุ่มให้กดด้านข้างผสมมา งานนี้แล้วแต่ชอบ โดยรวมใช้งานและเชื่อมต่อกับ Nissan Connect ได้ง่าย โดยเฉพาะกับระบบ ios ส่วนเรือนไมล์ ถูกออกแบบให้ทันสมัยมากขึ้น ถึงขั้นโดดเด่นกว่ารถในกลุ่มเดียวกัน กับหน้าจอแบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว เป็นการผสมกันระหว่าง Digital และ Analog ซึ่งด้านซ้ายของจอสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้ตามต้องการ อาทิ วัดรอบเครื่องยนต์, แสดงอัตราความสิ้นเปลือง , อุณหภูมิเครื่อยนต์ หรือกราฟรูปแท่งที่แสดงผลการขับ พร้อมกันนี้ ยังปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการทำงานของระบบ ผ่านหน้าจอได้หลากหลาย เช่น ตั้งค่าระบบ VDC โดยกดปุ่มบนพวงมาลัย นับว่าสะดวกไม่น้อย

 

 

          แต่ทั้งนี้ในหลายๆ ฟังก์ชั่นต้องจอดเข้าเกียร์ P ก่อน จึงสามารถปรับเปลี่ยนได้ แน่นอนว่า นี่เป็นเรื่องของความปลอดภัยระหว่างใช้งานนั่นเอง และสุดท้ายที่ต้องกล่าวถึง คือ พื้นที่เก็บสัมภาระ ต้องบอกว่าโดดเด่นตั้งแต่รุ่นก่อน เพราะมีขนาดที่กว้าง แม้จะจุได้ไม่ต่างจากรุ่นเดิม แต่ก็ทุกปรับมุมทางเข้าให้กว้างขึ้น ส่งผลเรื่องการยกของเข้าออกได้ง่ายขึ้น  

 

ลืมความแรงไปได้เลย เพราะเครื่อง 1.0 ลิตร เทอร์โบนี้ เหมาะกับการใช้มากกว่า

         ขยับมาดูที่สมรรถนะการขับกันบ้าง สำหรับ Nissan Almera 2020 มากับเครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ 3 สูบ DOHC โดยเครื่องยนต์นี้ ถูกกล่าวถึงกันค่อนข้างมาก เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงแบบเดียวกับ Nissan GT-R โดยเฉพาะเรื่องของการลดความร้อนในกระบอกสูบ เป็นการเคลือบสารลักษณะพิเศษ คล้ายกระจกบริเวณผนังกระบอกสูบ หรือที่เรียกว่า Mirror Bore Coating ด้วยชั้นเคลือบที่บางเพียง 0.2 มิลลิเมตร ข้อดีของการเคลือบผนังกระบอกสูบด้วยเทคโนโลยีนี้ จะได้ความเงา ลื่น เรียบ ส่วนผลที่ได้คือ ลดแรงเสียดทานระหว่างลูกสูบกับกระบอกสูบได้มากกว่าเดิม เมื่อการเสียดสีน้อยลง ความร้อนที่สะสมบริเวณผนังกระบอกสูบก็น้อยลง ทำให้การระบายความร้อนเร็วกว่าเดิม แต่ระบบทำงานน้อยลง แน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้ ถูกคิดค้นเพื่อรองรับสมรรถนะที่สูงขึ้นอย่างเครื่องยนต์เทอร์โบ ที่มีกำลังอัดสูง รวมถึงการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ที่รุนแรง ในทางวิศวกรรมแล้ว การลดภาระการทำงานของชิ้นส่วนได้มากที่สุด เป็นเรื่องที่ดีกว่าการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้แรง โดยที่ระบบภายในยังไม่สมบูรณ์

 

 

         ด้วยเหตุผลที่ต้องการลดภาระการทำงานของชิ้นส่วนภายในต่างๆ แสดงให้เห็นว่าเครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบนี้ ถูกสร้างมาเพื่อตอบสนองการใช้งาน มากกว่าการสร้างความแรง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ความเร็ว แรง ที่หลายๆ คนหวัง และต้องการให้เป็น เพียงเพราะคำว่าเครื่องเทอร์โบนั้น ดูจะไม่ใช่เหตุผลหลักที่ Nissan ต้องการจะสื่อ และเมื่อทีมงานได้สัมผัสสมรรถนะกันเกือบครบทุกรูปแบบ ทั้งทางราบ เนินเขา ประกอบกับความคตเคี้ยว ยิ่งเห็นถึงสิ่งที่รถคันนี้ ต้องการสื่อออกมาชัดเจน

 

เครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ รหัส HRA0 ตอบสนองการใช้งาน มากกว่าการสร้างความแรง

 

          เครื่องยนต์ตอบสนองได้ค่อนข้างดี ไม่ถึงกับกระชากหรือมีอาการดึงแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งมาจากการทำงานของชุดเทอร์โบที่ควบคุมอัดราการบูสท์ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเน้นเรื่องการทำให้ความเร็วแบบไหลขึ้นอย่างต่อเนื่อง มากกว่าความแรงแบบกระชาก ประกอบกับระบบเกียร์ TRONIC CVT With D-Step Logic แล้วขับแบบกดคันเร่งปกติ การเปลี่ยนเกียร์ราบลื่นมาก การทำงานแต่ละช่วงความเร็วเหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์ในขณะนั้น ในส่วนการขับด้วย S Mode อาการของรถก็ไม่แตกต่างชนิดผิดปกติอย่างที่หลายคนหวัง มีเพียงแค่รอบเครื่องยนต์ขยับมารอให้ใช้งานเพิ่มประมาณ 1200 รอบ/นาที ซึ่งการใช้ S Mode หรือหลายคนเรียก Sport Mode นั้น มีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้การเร่งแซงได้เร็วขึ้น ร่นระยะเวลาในการกดคันเร่ง แต่ S Mode กลับมีข้อเสียพอสมควร ในเรื่องการใช้งาน แม้ปุ่มกด S Mode จะติดตั้งอยู่ที่คันเกียร์ ทว่าอยู่ในต่ำแหน่งที่ยากต่อการใช้งาน ทำให้ไม่อยากใช้งาน แล้วเปลี่ยนไปกระแทกคันเร่งแทน ซึ่งเครื่องยนต์ก็ตอบสนองช้าเกินไป สิ่งนี้ส่งผลโดยตรงในการเร่งแซงในจังหวะคับขัน ส่วนอัตราเร่งจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง D Mode ทำได้ค่อนข้างดี อยู่ในระยะเวลาไม่เกิน 13 วินาที และดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปลี่ยนมาใช้ S Mode

 

การขับด้วย S Mode อาการของรถก็ไม่แตกต่างชนิดผิดปกติอย่างที่หลายคนหวัง

 

 

          ระบบช่วงล่างเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ต้องพูดกันพอสมควร ด้วยด้านหน้าเป็นแบบ อิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม มาพร้อมเหล็กกันโคลงหน้าหลัง แม้จะยังเป็นรูปแบบเดิม ทว่าได้รับการปรับใหม่ให้เหมาะสมกับตัวถัง แม้ว่ารุ่นใหม่นี้จะมีขนาดยาวขึ้น กว้างขึ้น และความสูงที่ลดลงมา ผลที่ได้คือความกระชับมากขึ้น เห็นได้ชัดเมื่อวิ่งต่อเนื่องในโค้งด้วยความเร็วพอเหมาะ รถออกอาการน้อย การโยนตัวไม่มากเกินไป ในทางตรงยาวสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ค่อนข้างดี ซึ่งก็เป็นผลมาจากการปรับขนาดตัวถังของรถด้วยเช่นกัน

 

 

         หากให้พูดตรงประเด็นแล้ว ระบบช่วงล่างยังไม่โดดเด่น หรือสามารถเอามาพูดนำได้ และหากให้พูดตรงๆ ช่วงล่างชุดนี้เป็นเพียงแค่ตัวเสริมประสิทธิภาพให้สูงขึ้น โดยใช้ตัวถังเป็นแกนหลักมากกว่า อะไรที่ทำให้ต้องคิดแบบนี้ เพราะในช่วงที่ใช้ความเร็วสูงเกิน 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบช่วงล่างตอบสนองได้ไม่เต็มที่ แต่ด้วยการออกแบบตัวถังที่ดีอยู่แล้ว ทำให้การทรงตัวดี อย่าลืมว่าความสูงของตัวถังลดลงมาถึง 40 มิลลิเมตร แน่นอนว่ามีผลอย่างมากเรื่องการทรงตัว แต่เมื่อเดินทางไกลยาวๆ ไม่เน้นสมรรถนะจนสูงสุด Nissan Almera 2020 กลับตอบสนองการใช้งานได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับเอง หรือผู้โดยสารก็ตาม

 

เดินทางไกลไม่เน้นสมรรถนะจนสุด Nissan Almera 2020 ตอบสนองการใช้งานได้อย่างดี

 

         สรุปสั้นๆ หลังจากที่ได้ทดลองขับแล้ว ผลเป็นไปตามที่ทาง Nissan พยายามจะสื่อถึงหรือบ่งบอกสิ่งที่ Nissan Almera 2020 เป็น คือ ต้องการยกระดับการใช้งานที่คุ้มค่าไปสู่ความทันสมัย เมื่อดูจากสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบความล้ำสมัยดีไซน์ รวมไปถึงระบความปลอดภัย ที่ให้มาอย่างครบครั้นแล้ว ถือว่าตอบโจทย์ได้ตรงประเด็นจริงๆ แน่นอนว่าคุณจะมองว่ารุ่นนี้ เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตมากขนาดไหน โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับรุ่นใด เพราะสุดท้าย...ไม่มีรถคันไหนที่ดีที่สุด

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook