หลังจากที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา พร้อมกับการเปิดราคาที่เรียกว่าสะเทือนวงการตลาดรถเอนกประสงค์ในบ้านเรากับ SUV ที่ราคาเริ่มต้นไม่ถึง 1 ล้านบาท ที่จัดมาแบบเต็มพิกัด ทั้งฟีดเจอร์, ระบบความปลอดภัย อัดแน่นไปด้วยออพชั่นมากมาย ที่เรียกว่าทางคู่แข่งทั้งตลาดต้องสะเทือนกันที่เดียว ล่าสุดทางทีมงานของ MG ได้ส่งหมายเทียบเชิญให้ไปลองสมรรถนะแบบเต็มๆของ MG HS ซึ่งก่อนหน้านี้ทางทีมงาน BoxzaRacing ได้เคยสัมผัสกับ MG HS มาแล้วครั้งหนึ่งซึ่งเป็นการ Sneak Preview ก่อนเปิดตัวโดยเป็นการทดลองแบบเล็กๆ แต่ครั้งนี้ทาง MG ให้ทดลองแบบจัดเต็มทั้งแบบในเมือง และนอกเมือง เพื่อให้รับรู้ถึงสมรรถนะอันแท้จริงของ SUV ที่ราคาไม่ถึงล้านว่าเป็นอย่างไร
MG HS เป็น SUV รุ่นใหม่ล่าสุดของทาง MG ที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “ELEGANCE” นิยามของ SUV ที่เหนือระดับเพื่อภาพลักษณ์ของความสำเร็จ สะท้อนรสนิยม และบ่งบอกความเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบของผู้ขับขี่พร้อมยกระดับมาตรฐานรถ SUV ไปอีกขั้นด้วยดีไซน์ล้ำสมัยทั้งภายนอก และภายใน อีกทั้งยังได้ติดตั้งอุปกรณ์ อำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัยอย่างครบครัน
โดยในการทดลองครั้งนี้ทางทีมงาน MG ได้นำรุ่น X หรือรุ่น TOP สุดของ MG HS มาให้ทดลองขับกับ โดยใช้เส้นทาง กรุงเทพ-เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา โดยเส้นทางนั้นจะมีทั้งทางวุ่นวายในตัวเมือง รวมถึงเส้นทางถนนไฮเวย์ที่มีทั้งรถขนาดใหญ่ รวมถึงรถขนาดต่างที่สัญจรอยู่บนท้องถนน เรามาดูกันเลยดีกว่าว่า SUV ที่กำลังทำให้ตลาดรถอเนกประสงค์ปั่นป่วนกันอยู่ตอนนี้ สมรรถณะ รวมถึงฟีดเจอร์ที่จัดมาให้แบบเต็มๆนั้นจะะเป็นอย่างไร
MG HS นั้นถูกจัดให้อยู่ใน C-SUV ได้รับการออกแบบดีไซน์ตัวรถใหม่ทั้งหมด โดยตัวรถของทาง MG HS โดยมีมิติความยาวของตัวรถอยู่ที่ 4,574 มม. กว้าง 1,876 มม. สูง 1,664 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,720 มม. ความสูงระยะต่ำสุดจากพื้น 145 มม. มีความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร รวมไปถึงวงเลี้ยวแคบสุด 5.95 เมตร ซึ่งในการออกแบบมานั้นดึงดูดสายตาได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็น เพราะทาง MG นั้นได้ออกแบบอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งยังผสมผสานระหว่างความหรูหรากับความสปอร์ตได้เข้ากันอย่างลงตัว
กระจังหน้าได้ดีไซน์โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก กลุ่มดาวบนท้องฟ้า ที่จะเห็นระยิบระยับลานล้อม ตราโลโก้ MG อยู๋ตรงกลาง
โดดเด่นด้วยเส้นสายตัวถังที่โค้งมนสไตล์รถยุโรป ที่ทาง MG เรียกว่า British Shoulder Line อีกส่วนที่สะดุดตาคงต้องยกให้ที่ส่วนกระจังหน้าที่ออกแบบดีไซน์มาอย้่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ไม่มีค่ายไหนเรียกแบบได้ โดยในส่วนกระจังหน้าได้ดีไซน์โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก กลุ่มดาวบนท้องฟ้า ที่จะเห็นระยิบระยับลานล้อม ตราโลโก้ MG อยู๋ตรงกลาง
รับกับในส่วนของชุดไฟหน้า แบบ LED Projector พร้อมไฟส่องสว่าง ที่ดีไซน์ให้โฉบเฉี่ยว มาพร้อมไฟ Daytime Running Lights
ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่เล่นลวยลายเหมือนใบพัด
ส่วนในชุดไฟท้ายเป็นแบบ Space Light Field ยิ่งไปกว่านั้นยังเสริมเทคโนโลยีล้ำสมัย และความหรูหราของรถราคาแพงของฝากใฝั่งยุโรปที่ ไฟเลี้ยวทั้งด้านหน้า และหลังจะแสดงผลไล่ระดับแบบ Sequential และอีกส่วนที่เสริมให้ MG HS นั้นโดดเด่นเมื่อจอดอยู๋บนท้องถนน นั้นก็คือล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่เล่นลวยลายเหมือนใบพัด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากพายุเฮอริเคน พร้อมรัดด้วยยาง Goodyear Efficientgrip ขนาด 235/50 R18
วัสดุภายในให้สัมผัสนุ่ม Soft Touch
หลังจากรับรู้ถึงในส่วนรูปลักษณ์ภายนอก MG HS แล้วในส่วนของภายในห้องโดยสารนั้นต้องบอกได้เลยว่านั้นถูกออกแบบให้มีความกว้างขวาง ตกแต่งด้วยวัสดุภายในให้สัมผัสนุ่ม Soft Touch ครอบคลุมทั้งบริเวณคอนโซลหน้า และแผงประตูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
เบาะนั่งทรงสปอร์ต Bucket Seat สีดำสลับแดง ที่มีเฉพาะในรุ่น X
Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ 1.1 ตารางเมตร
เบาะนั่งทรงสปอร์ต Bucket Seat สีดำสลับแดง ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมทั้งเสริมความหรูหราที่ตัวเบาะด้วยหนัง Alcantara เสริมด้วยความหรูหราด้วย หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ 1.1 ตารางเมตร ที่สามารถมองวิวทางด้านบนได้อย่างจัดเจน นอกจากนั้นภายในห้องโดยสารยังโดดเด่นด้วย ไฟในห้องโดยสารแบบ Interactive Ambient Light ที่สามารถปรับ ได้มากถึง 64 เฉดสี
จอ Smart Touchscreen ขนาด 10 นิ้ว
นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาให้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบปฎิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่สามารถสั่งการได้ด้วยเสียงภาษาไทย ในส่วนตรงกลางคอนโซลหน้านั้น เป็นแบบ Smart Touchscreen ขนาด 10 นิ้ว ที่สามารถเปลี่ยนเป็นที่ควบคุมปรับอากาศได้ โดยในส่วนที่ปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ Dual Zone พร้อมกับทำหน้าที่เป็นปุ่มคีย์ลัดต่างๆ นอกจากนี้จอแสดงระบบนำทางที่แสดงสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์
พร้อมกับมีข้อมูลพยากรณ์อากาศ รวมถึงยังสามารถฟังเพลงแบบออนไลน์จาก true music แบบไม่อั้น อีกทั้งยังรวมไปถึงการดูข่าวสารต่างๆ ที่แบ่งตามหมวดหมู่ หรือเลือกสั่งการผ่าน MG Mobile Application บนสมาร์ทโฟน นอกจากนั้นยังปรับเปี่ยนเป็นกล้องมองภาพรอบคันที่สามารถปรับได้ทั้งแบบ 2D แบบ 3D หรือมองภาพด้านหน้า-ด้านหลัง พร้อมเส้นกะระยะให้ด้วย อีกทั้งยังสะดวกสบายด้วยกุญแจระบบ Smart Key และปุ่ม Push Start สีเงินสไตล์สปอร์ต
ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 162 แรงม้า
MG HS SUV ตัวใหม่นี้ จะมาพร้อมกับขุมพลังใหม่เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ Twin Clutch Sportronic Transmission แบบ 7 สปีด ให้พละกำลังสูงสุดถึง 162 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตัน-เมตร ในรอบที่ต่ำเพียง 1,700 รอบต่อนาที ส่วนระบบช่วงล่างเป็นสไตล์ยุโรป Euro Tuning Suspension ด้านหน้าแบบ MacPherson Strut และช่วงล่างด้านหลังแบบ Multi-link
ส่วนระบบความปลอดภัยนั้นทาง MG HS จัดเต็มเรียกว่าให้มากที่สุดในบรรดารถระดับเดียวกัน โดย MG HS มากับโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยเหนือระดับมาตรฐานยุโรป หรือ Advanced Synchronized Protection System มากถึง 25 ระบบ ประกอบด้วยระบบ Synchronized Protection System ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุที่ช่วยทั้งเรื่องระบบเบรกและช่วยรักษาเสถียรภาพในการขับขี่ 14 ระบบ อาทิ ระบบควบคุม การเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบลดความเสี่ยงที่จะทำให้รถพลิกคว่ำ ARP (Anti Rolling Program) ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) และมีอีก 4 ระบบที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา ประกอบด้วย
รวมไปถึงระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) มากถึง 7 ระบบประกอบด้วย
นอกจากที่จะจัดระบบความปลอดภัยมาให้อย่างเต็มพิกัดแล้ว MG HS ยังมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่เป็นเอกสิทธิ์ของทาง MG ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่กับรถสามารถสื่อสารกันได้ เพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Smart Command ที่ระบบสั่งการที่สามารถสั่งการได้ด้วยเสียงภาษาไทย สามารถสั่งงานไม่ว่าจะเป็น การสั่งการควบคุมระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ ระบบเปิด-ปิดหน้าต่างฝั่งคนขับ และระบบเปิด-ปิดหลังคาซันรูฟ รวมถึงค้นหาจุดที่น่าสนใจ (Point Of Interest) ผ่าน Navigator และ Smart Check ที่สามารถตรวจสอบสถานะ และตรวจเช็กรถได้อย่างง่ายดาย ตลอดจนการสั่งการล็อกหรือปลดล็อก ประตูรถ ตรวจสอบตำแหน่งรถ แจ้งเตือนเมื่อพบสิ่งผิดปกติ และช่วยค้นหาศูนย์บริการ รวมถึง การบันทึกการดูแลรักษารถตามระยะ ผ่าน MG Mobile Application
หลังจากที่ทำความรู้จักกับ MG HS รุ่นใหม่พอสมควรแล้ว มาถึงเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ และภาพรวมทั้งหมดกันบ้าง โดยในการทดลองขับขี้ครั้งนี้ ทาง MG จัดให้ทีมงาน BoxzaRacing นั่งรวมกับเพื่อนสมาชิก อีก 3 ท่าน จากสื่อด้านยานยนต์ด้วยกัน เรียกว่าอัดแน่นเต็มพิกัด
โดยได้ออกสตาร์ทจากโรงแรมเพนนินซูล่า แถวถนนเจริญนคร ก่อนมุ่งหน้าผ่าดงรถติดใน กทม. ขึ้นทางด่วนบางประอิน ยิงยาวมุ่งหน้าเข้าถนนสายเอเชีย ก่อนดิ่งตรงเข้า จ.สระบุรี แล้วเลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่ประตูอีสาน จ.นครราชสีมา โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่ อัตตา เลคไซต์ รีสอร์ท สวีท เขาใหญ่ โดยตัวผู้เขียนนั้นเลือกที่จะสบายก่อนในช่วงแรก
โดยเลือกความสบายจากเบาะหลัง เพียงก้าวแรก และสิ่งแรกสัมผัส และรับรู้คือ Welcome light ที่ทาง MG ได้เสริมขึ้นมาเพิ่มความหรุหรา เหมือนรถระดับหรูราคาแพง หลังจากนั้นก็เข้าไปประจำที่เบาะหลัง ซึ่งพื้นที่ตอนหลังของ MG HS นัั้นได้ถูกออกแบบให้มีพื้นที่กว้าง เพราะจากฐานล้อที่ยาวขึ้น ในส่วนเบาะหลังนั่งนั้นต้องบอกว่านั่งสบาย มีพื้นที่ช่วงขาที่กว้างเหลือเฟือ มาพร้อมพนักพิง ปรับองศาได้และที่วางแขนขนาดใหญ่ อีกทั้งยังสามารถปรับพับได้แบบ 60:40 เวลานั่งที่เบาะหลังด้วยตัวรถที่มีความสูง 1,664 มม. และมีความสูงระยะต่ำสุดจากพื้น 145 มม. จึงทำให้เวลานั่งจึงไม่ค่อยรู้สึกโคลงเคล้งเท่าที่ควร นอกจากนี้ในแถวหลังยังเย็นสบายด้วยช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง และมีช่อง USB 2 ตำแหน่ง
ส่วนในด้านท้ายที่ห้องเก็บสัมภาระนั้นต้องบอกว่า จัดมาให้พอสมควร เพราะเป็นรถแบบ 5 ที่นั่ง จึงเหลือพื้นที่มากพอที่จะเก็บสัมภาระได้พอสมควร มีความจุขนาด 463 ลิตร และถ้าพับเบาะลง จะได้พื้นที่เพิ่มเป็น 1,287 ลิตร เรียกว่ากระเป๋าลากใบใหญ่ๆสามารถเข้าเก็บได้สบายๆ นอกจากนี้ยังมีแผ่นปิดบังสัมภาระไว้บังสายตาผู้คนภายนอกอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า (Electric Liftgate) เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน แต่อยากได้ความสะดวกสบายมากกว่านี้มีระบบเสริมแบบใช้เท้าเตะใต้ท้องรถแต่ต้องเพิ่มเงินอีกประมาณ 3,000 บาท
หลังจากเป็นผู้โดยสารที่เบาะด้านหลังแล้ว ก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสารด้านหน้า เบาะหน้าฝังผู้โดยสารนั้นเป็นแบบปรับไฟฟ้า ไม่สามารถที่จะปรับสูงต่ำได้ แต่ตัวเบาะสามารถโอบกระชับสรีระได้ดี หนังที่หุ้มกับตัวเบาะให้ผิวสัมผัสที่ดีรวมถึงฟองน้ำที่อยู่ภายในตัวเบาะนั่งนุ่มจึงทำให้เวลานั่งแล้วรู้สึกสบาย เอนหลังได้อย่างเต็มพิกัดเพราะพื้นที่ด้านหลังยังมีพื้นที่ให้เอนได้อย่างเต็มที่
โหมดการขับขี่มีให้เลือกสนุกได้ถึง 4 โหมด Normal, Eco, Sport และ Custom
หลังจากเป็นผู้โดยสารทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ก็ได้ปรับหน้าที่มาเป็นพลขับบ้าง MG HS มีโหมดการขับขี่ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น Normal, Eco, Sport และ Custom ที่สามารถเลือกรูปแบบการขับขี่ได้ตามต้องการ วิ่งทางยาวไม่รู้สึกเมื่อยล้า เพราะได้ตัวเบาะ Bucket Seat ที่นั่งสบายโอบกระชับเวลานั่งได้อย่างดี สามารถปรับได้ช 6 ทิศทาง
อีกทั้งยังมีระบบตัวช่วยอย่างระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC, ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ที่ทำการร่วมกัน ทำให้ MG HS คันนี้สามารถหยุดได้ถึงศูนย์เมื่อรถคันหน้าหยุด (หยุดไม่เกิน 3 วินาที ตัวรถที่เซ็ตระบบทั้งหมดอยู่นี้ ก็จะเคลื่อนที่ออกไปเองต่ออัตโนมัติ) และชะลอความเร็วเมื่อมีรถตัดหน้า นอกจากนี้ยังมีระบบ ทำให้มีความสบายมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในช่วงเดินทางไกล เพียงแต่ต้องคอยประคองพวงมาลัยให้อยู่ในเลยเสมอ ถ้าทำความเข้าใจกับระบบนี้จะช่วยเสริมความสบายทั้งในเมือง และนอกเมืองได้เป็นอย่างดี
ส่วนการใช้งานระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ สามารถทำได้อย่างง่ายดายเพียงผ่านก้านเล็กๆ ฝั่งซ้ายล่างสุดหลังพวงมาลัย โดยดึงเข้าหาตัว 2 ครั้ง ก็เป็นการเปิดระบบ โดยสามาารถเพิ่มความเร็วโดยยกก้านเดิมขึ้นโดยจะเพิ่มได้ครั้งละ 5 กม./ชม. ส่วนถ้าจะลดความเร็วลงก็ทำเหมือนเดิมเพียงแต่กดคันโยกลง แต่ถ้าต้องการปิดระบบก็ผลักออกคันโยกออกจากตัวสองครั้งก็เป็นการปิดระบบ ส่วนในการปรับระยะนั้นให้หมุนที่ก้านเล็กๆสั้นอันเดิม โดยจะมี 3 ระยะให้เลือก โดยจะดูได้ที่หน้าจอบริเวณดิจิตอลของผู้ขับขี่ระบบนี้จะเริ่มทำงานที่ความเร็ว 30-150 กม./ชม.
ส่วนอัตราเร่งของ MG HS ในช่วงแรกนั้นตอบสนองได้ดี โดยมาจากขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ที่มาส่งกำลังด้วยเกียร์ TST แต่ถ้าคนที่ต้องการความปุ๊ดป๊าดในตอนออกตัวอันนี้ต้องบอกว่าคงไม่ได้ความส่ะใจขนาดนั้น เพราะคันเร่งจะมีอาการหน่วงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เกิดการกระชากในการออกตัว แต่ถ้ารถลอยตัวแล้ว ความสนุกจะอยู่ที่ปลายเท้าทันที เพราะสามารถเติมคันเร่งได้เรื่อยๆ ความเร็ว และความเร้าใจก็จะค่อยทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง สามารถเร่งแซงได้อย่างทันใจ เพราะ MG HS คันนี้มีแรงบิดที่มากถึง 250 นิวตัน-เมตร ในรอบที่ต่ำเพียง 1,700 รอบ/นาที
ปุ่ม Super Sport ที่จะเพิ่มความเร้าใจในการขับมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้าต้องกาารความเร้าใจ MG HS ยังมีปุ่ม Super Sport ซึ่งสามารถกดเปลี่ยนโหมดได้จากปุ่มที่พวงมาลัย โดยไม่ว่าจะขับขี่อยู่ในโหมดไหนก็ตาม อัตราเร่งจะดีดขึ้นทำให้มีความเร้าใจมากขึ้น และไฟในห้องโดยสารแบบ Interactive Ambient Light จะทำการปรับเปลี่ยนตามโหมดในการขับขี่ด้วย โดยในโหมด Super Sport นั้นจะสีภายในห้องโดนสารจะปรับเปลี่ยนเป็นสีแดง
ส่วนในเรื่องเสียงที่จะเข้ามาในห้องโดยสารนั้นอันนี้เป็นอีกส่วนที่ต้องบอกว่าจัดการได้ดี เงียบไม่มีเสียงจากภายนอกเข้ามารบกวนในห้องโดยสาร โดยเฉพาะในช่วงย่านความเร็วต่ำ จะเริ่มทีเสียงรถเข้ามาบ้างในตอนทำความเร็วสูงๆ
ส่วนพวงมาลัยของ MG HS เป็นไฟฟ้า แบบ D-Shape 3 ก้าน ให้น้ำหนักที่ดีไม่เบา และหนักเกินไป โดยในย่านความเร็วต่ำมีน้ำหนักที่เบา สามารถควบคุมได้ง่าย แต่ถ้าอยู่ในย่านความเร็วสูงน้ำหนักพวงมาลัยจะมีควาามหน่วงที่มากขึ้น ที่สำคัญเฉียบคมในการเข้าโค้ง อีกทั้งยังสามารถควบคุมรถเปลี่ยนเลนได้ง่าย สอดประสานกับระบบช่วงล่างที่จัดเซ็ทมาเป็นมาอย่างชั้นยอด โดยความดีความชอบนี้ต้องยกให้กับช่วงล่างสไตล์ยุโรป โดยหน้าเป็นแบบ MacPherson Strut ส่วนช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบ Multi-link ที่ให้ทั้งความสบาย และความมั่นใจในทุกการเข้าโค้ง ซับแรงสะเทือนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งตัวรถก็ไม่มีอาการโยน และย้วยให้เห็นมากมาย มีความนุ่มหนึบ และเกาะถนนเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นช่วงล่างระดับเดียวกับรถยนต์นั่งหรูๆ ของทางฝากฝั่งยุโรปเลยที่เดียว
ส่วนในเรื่องการหยุดรถนั้นระบบเบรค ดิสก์เบรก หน้า-หลังนั้น ให้ความมั่นใจในทุกย่านความเร็ว เพียงกดแป้นเบรคเบาๆ สามารถเกลี่ยน้ำหนักการเบรก ตั้งแต่เริ่มเริ่มเบรกไปจนหยุดนิ่งได้ดี ไม่มีอาการกดเบาๆแล้วหัวทิ่ม ให้ความมั่นใจในการหยุดรถ
บทสรุป
ซึ่งจากภาพรวมทั้งหมดหลังจากที่ได้ทดลองขับเจ้า MG HS Sport Premium SUV ใหม่คันนี้ ต้องบอกว่าเป็น SUV ที่จัดออฟชั่น และฟีดเจอร์ มาให้อย่างเหลือล้น เหมาะมากสำหรับครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการความแตกต่างจาก SUV ทั่วไป อีกทั้งยังมีความหรูหรา และความสปอร์ตที่สอดประสานเข้ากันอย่างลงตัว สมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ให้มานั้น สามารถตอบสนองได้อย่างเหลือเฟือ พละกำลังดี เร่งแซง และที่สำคัญคือความนุ่มนวลของระบบช่วงล่างที่ต้องบอกว่าดีเยี่ยมเลยที่เดียว สามารถใช้งานได้ทั้งในเมือง และนอกเมือง รวมถึงห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย อีกทั้งยังเสริมลูกเล่น และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมถึงทั้งฟีเจอร์ ฟังค์ชันต่างๆ ที่มีให้อย่างครบครันใน MG HS คันนี้ และทีสำคัญ ในเรื่องราคาค่าตัว ที่จัดว่าเป็น SUV ที่มีราคาในตัวเริ่มต้นไม่ถึง 1 ล้านบาท แต่จัดเต็มทุกฟีดเจอร์ และออฟชั่น ถ้าหากคุณต้องการความแปลกใหม่ของ SUV MG HS ถือเป็น หนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่กำลังมองหา รถอเนกประสงค์ที่จะสามารถตอบโจทย์ได้ดีสำหรับครอบครัวยุคใหม่ในวันนี้ หรือว่าถ้าไม่แน่ใจ ควรลอง และสัมผัสตัวจริง รวมถึงไปลองขับจริง ที่ โชว์รูม MG ทุกสาขาในประเทศ แล้วจะรู้ว่า MG HS Sport Premium SUV จะเป็นทางเลือกที่ใช่สำหรับรถอเนกประสงค์ของคุณ
ราคาของ MG HS