ยอดรถเอนกประสงค์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ วันนี้ Mitsubishi New Pajero Sport ได้ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ให้มีความล้ำสมัยมากขึ้น ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัย และสิ่งอำนวยความสะดวกเกินคาดหมาย กับราคาค่าตัวที่เพิ่มเล็กน้อย
อีกครั้งหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สำหรับ PPV ของ Mitsubishi ล่าสุดทีมงาน Boxzaracing ได้รับเกียรติจาก บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เชิญเข้าร่วมกิจกรรมทดลองสมรรถนะของ Mitsubishi New Pajero Sport กับเส้นทางลูกผสมที่พร้อมให้สัมผัสกันครบทุกรูปแบบของระบบขับเคลื่อน ทั้งทางเรียบ และทางฝุ่น ระยะทางรวมไป กลับกว่า 400 กิโลเมตร
แต่ก่อนดูเรื่องการทดลองขับ มาดูกันว่า Mitsubishi New Pajero Sport นั้นมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม หรือเพิ่มเติมส่วนไหนกันบ้าง หลักๆ อยู่ที่ดีไซน์ภายนอกที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ด้านหน้าเป็นแบบ Advanced Dynamic Shield ที่กลายเอกลักษณ์ใหม่ของรถยนต์จาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ไปแล้ว มาพร้อมชุดไฟหน้าแบบ Projector Bi-LED ปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ และชุดไฟ Combination Lamps ติดตั้งอยู่ด้านนอกของกันชนหน้า และจะเห็นว่าขอบฝากระโปรงถูกทำให้สูงกว่าเดิม จุดประสงค์เพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำท่วม และสิ่งกีดขวางอื่นๆ นั่นเอง
ขยับไปด้านข้าง กับเส้นสายแทบที่ไม่ต่างจากรุ่นเดิมนัก แต่บันไดข้างติดตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้น แน่นอนว่าเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานแบบออฟโรด ด้านท้ายมีส่วนเปลี่ยนแปลงไม่พ้นตัวกันชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มาพร้อมแผงกันกระแทกด้านล่าง โดดเด่นมากขึ้นด้วยไฟท้ายดีไซน์ใหม่ เสาอากาศแบบครีบฉลาม และล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 18 นิ้ว
ภายในตัวรถมีการออกแบบให้ห้องโดยสารดูหรูหรา มีความประณีตมากขึ้น มาพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอันครบครัน เด่นด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ และควบคุมการใช้งานด้วยจอแสดงข้อมูลการขับแบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ใหม่ง่ายต่อการอ่านค่า ที่แสดงผลมาตรฐาน ทั้งวัดความเร็ว, วัดรอบเครื่องยนต์ รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ของตัวรถ อีกทั้งแสดงสถานะของระบบช่วยเหลือผู้ขับที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบหน้าจอได้ถึง 3 แบบ แน่นอนว่ารองรับเมนูภาษาไทย สามารถเชื่อมต่อ และแสดงข้อมูลจากหน้าจอระบบสัมผัส SDA (Smartphone-link Display Audio) ขนาด 8 นิ้ว อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนที่ง่ายเพียงแค่กด หรือเปลี่ยนไปสั่งงานด้วยเสียง
ภายในตัวรถมีการออกแบบให้ห้องโดยสารดูหรูหรา มีความประณีตมากขึ้น
จุดเด่นอีกหนึ่งอย่างที่ทาง Mitsubishi นำเสนอ คือระบบความบันเทิงที่พร้อมเติมเต็มตลอดการเดินทางด้วยจอภาพพร้อมรีโมทคอนโทรล ขนาด 12.1 นิ้ว ติดตั้งบนเพดานรถ ที่รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB และสมาร์ทโฟนผ่านช่อง HDMI ห้องโดยสารปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มประโยชน์ใช้สอยและความสะดวกสบาย จะเห็นว่าพื้นที่บริเวณหัวเข่า และข้อศอกถูกขยายให้กว้างขึ้น ซึ่งมีผลมาจากการออกแบบให้แผงข้างให้แนบเข้าไปมากขึ้น พร้อมติดตั้งวัสดุบุนุ่มบริเวณมือจับประตูและคอนโซลกลางเพื่อยกระดับความสะดวกสบายขึ้นไปอีกขั้น ห้องโดยสารมีการติดตั้งช่องเก็บของเพิ่มที่บริเวณหน้าคันเกียร์ และช่องวางของที่ด้านล่างของคอนโซลกลาง เพิ่มช่องจ่ายไฟ และพอร์ท USB สำหรับชาร์จไฟ
อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญคือประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี ทำงานร่วมกับระบบ Misubishi Remote Control ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานเปิด-ปิดประตูท้ายผ่านสมาร์ทโฟน โดยสามารถตั้งค่าให้เปิดหรือปิดอัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่เดินเข้ามาใกล้หรือเดินออกห่างจากตัวรถ นอกจากนี้ยังสามารถแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสถานะตัวรถ ข้อมูลการใช้งาน การแจ้งเตือนระบบ และการสั่งงานอื่นๆ เรียกว่าตอบโจทย์การใช้งานของผู้ขับผ่านสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์แวเรเบิลได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถส่งคำสั่งได้จากทุกที่ในระยะของการเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน ทั้งนี้ได้ทำงานควบคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS หรือเมื่ออยู่ในระยะสัญญาณบลูทูธ
เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร MIVEC VG Turbo Clean Diesel
ในส่วนของพละกำลังยังคงเป็นสเปคเดิมจากรุ่นก่อน กับเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร MIVEC VG Turbo Clean Diesel 181 แรงม้า และแรงบิด 430 นิวตัน-เมตร ทำงานประสานกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์แบบไฟฟ้า พร้อม Sport Mode และระบบ INC (Idele Neutral Control) รวมถึง G-Sensor
Test Drive
ในช่วงการทดลองขับถูกแบ่งออกเป็นสองรูปแบบทั้งทางเรียบบนถนนหลวง และทางทุระกันดารในเขตป่า งานนี้เริ่มต้นกันในเมืองหลวงที่รู้กันว่าการจราจรคับคั่งตลอดเวลา โดยเฉพาะกับถนนสาทร แค่เริ่มแรกก็ได้สัมผัสกับความคล่องตัวบวกกับทัศนะวิสัยที่ดี แม้ว่าตัวรถจะมีขนาดใหญ่ก็ตาม ในส่วนนี้ยังได้ลองใช้เทคโนโลยี Multi Around Monitor กล้องมองภาพรอบคันรูปแบบ Bird’s Eye View ที่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ รอบคันได้ง่ายขึ้น ซึ่งได้ประโยชน์มากกว่าแค่การถอยจอด เพราะช่วยเพิ่มมุมมองในที่แคบซึ่งมองไม่เห็น ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นไม่น้อยสำหรับการใช้งานบนถนนที่แออัด หลังจากผ่านพ้นความวุ่นวายในเมืองแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังปลายทาง จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยก่อนหน้านั้นได้มีโอกาสทดลองสมรรถนะของเครื่องยนต์ 2.4 MIVEC VG Turbo Clean Diesel บนทางหลวงหมายเลข 35 เป็นช่วงที่สามารถใช้ความเร็วได้พอสมควร จากการขับด้วยความเร็วประมาณ 130-150 กิโลเมตร/ชั่วโมง แม้จะเป็นความเร็วที่ไม่ค่อยได้ใช้กันบ่อยนัก ด้วยพละกำลัง แรงบิด ที่มีให้อย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ทำให้เกิดความลำบากในการใช้งานแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามทำให้การขับระยะทางไกลเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิด การเร่งแซงในจังหวะสั้นๆ ก็ตอบสนองได้ดีพอสมควร มีปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะกับเส้นทางสองเลนที่รถวิ่งสวนกัน
ก่อนเข้าอุทยานซึ่งเป็นช่วง Show Handling ที่ทางทีมงานผู้จัดวางทางไว้ งานนี้ได้ลองเปลี่ยนเกียร์เองที่ Paddle Shift หลังพวงมาลัย ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์ในบางจังหวะมีการหน่วงเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากการประมวลผลเพราะเกียร์เป็นระบบไฟฟ้า และในช่วงเข้าและออกโค้ง ต้องเปลี่ยนเกียร์ให้เรียบร้อยก่อนเลี้ยวเพราะตัว Paddle ไม่ได้หมุนตามพวงมาลัย โดยแป้นนี้ถูกยืดอยู่กับคอพวงมาลัย ซึ่งดูแล้วค่อนข้างขัดๆ เล็กน้อย ส่วนการวิ่งในทางโค้งสลับที่มีทั้งกว้าง และแคบตัวรถมีการทรงตัวอยู่ในขั้นที่ดีทีเดียว เมื่อเทียบกับรูปร่างของตัวรถ และความสูง การยึดเกาะดี มีการยวบโยนเล็กน้อยแต่ไม่เกินจำเป็น ซึ่งส่วนนี้ทาง Mitsubishi ได้ปรับปรุงค่าของสปริงใหม่ที่ด้านหลังให้กระชับมากขึ้น ส่วนด้านหน้ายังคงเท่าเดิม อีกทั้งการทำงานของระบบ ASTC ที่ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวพร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถลนั้น ก็ตอบสนองได้ดี และยิ่งเห็นผลมากเมื่อรถวิ่งเข้าโค้งเร็วเกินไปจนเริ่มเสียอาการ ระบบจะเข้ามาทำงานอย่างรวดเร็ว และชัดเจน ผลที่ได้คือการควบคุมที่ง่ายปลอดภัย
หลังจากที่ได้สัมผัสกับพลังของเครื่องยนต์ รวมถึงระบบช่วงล่างไปแล้ว ก็เปลี่ยนไปลองสมรรถนะของระบบขับเคลื่อน ในรูปแบบงานลุยที่ไม่ถึงกับโหดหิน แต่รถธรรมดาทั่วไปไม่สามารถผ่านได้ งานนี้ทำให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงานของระบบ Super Select 4WD-II ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 4 โหมดการขับ ทั้งแบบ 2H ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2WD High-Range) โหมด 4H (4WD High-Range) ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full-Time All Wheel Control โหมด 4HLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง (4WD High-Range with Locked Transfer) และ โหมด 4LLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ (4WD Low-Range with Locked Transfer) นอกจากนี้ ยังมาพร้อมโหมดออฟโรด 4 รูปแบบ ได้แก่ Gravel, Mud/Snow, Sand และ Rock รวมทั้งระบบล็อกเฟืองท้าย
ส่วนเส้นทางที่วิ่งเข้าไปในเขตอุทยานกว่า 9 กิโลเมตร ได้เลือกการขับเป็นโหมด 4HLc ที่ขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง พูดง่ายคือใช้ความเร็วได้ เพราะเส้นทางยังไม่ถึงกับโหดมากนัก พื้นยังแห้งและแข็ง แม้จะมีบางช่วงเล็กๆ ที่ต้องวิ่งผ่านทางโคลน และลำธารธรรมชาติ แต่ทุกสิ่งที่เจอในเส้นทางนี้ดูจะไร้ปัญหา อีกทั้งระบบ HDC (Hill Descent Control) ที่ช่วยให้การวิ่งลงทางชันง่ายขึ้นกว่าเดิม ปลอดภัยมากกว่าการคอลโทรลเบรกเพียงอย่างเดียว
ต้องบอกว่าการทดลองขับในครั้งนี้ ทำให้เห็นถึงสมรรถนะที่เหนือชั้นไม่เปลี่ยนของ Mitsubishi New Pajero Sport อีกทั้งภาพลักษณ์ที่โดดเด่น รวมถึงความล้ำสมัยที่เพิ่มเติมเข้ามามากกว่าเดิม แน่นอนว่าการจะใช้รถเอนกประสงค์ให้เกิดความคุ้มค่าอย่างแท้จริง จำเป็นต้องรู้จักกับรูปแบบการทำงานของระบบต่างๆ และนำมาใช้งานให้เหมาะสม แล้วจะเห็นว่าระบบที่ให้มานั้นมีประโยชน์มากกว่าการเป็นแค่ออฟชั่นให้เลือกเท่านั้น ส่วนราคาหากคิดแล้วแยกออกมาเป็นส่วนๆ ถือว่าเหมาะสมลงตัวทีเดียว
Mitsubishi New Pajero Sport มาพร้อม 2 สีใหม่ ได้แก่ สีขาว White Diamond และ สีเทา Graphite Gray และ อีก 3 สี สีดำ Jet Black Mica, สีเงิน Sterling Silver และสีน้ำตาล Deep Bronze
รุ่น 2WD GT ราคา 1,299,000 บาท
รุ่น 2WD GT-Premium ราคา 1,469,000 บาท
รุ่น 4WD GT-Premium ราคา 1,599,000 บาท