เขียนโดย: D wisanuporn

เมื่อ: 2 สิงหาคม 2562 - 19:19

Nissan Leaf 2019 ยานยนต์พลังไฟฟ้า ชาร์จครั้งเดียว ขับเที่ยวได้ทั่วกรุงฯ กว่า 140 กม.

         บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดกิจกรรมทดลองสมรรถนะ กับการขับในสภาพการจราจรจริงหลากหลายรูปแบบ ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลตลอดหนึ่งวันเต็ม กับการชาร์จไฟเพียงครั้งเดียว พร้อมโชว์สมรรถนะในความเป็นยานยนต์แห่งอนาคตของ Nissan Leaf

 

         เปิดประสบการณ์ใหม่แห่งเทคโนโลยียานยนต์พลังงานไฟฟ้า r Evolution Education 

 

          สำหรับงานนี้สื่อมวลชนสายรถยนต์ ได้เข้าร่วมกิจกรรมทดลองขับ Nissan Leaf ที่ถูกจัดขึ้นเป็นระยะเวลา 5 วัน ภายใต้แนวคิด Simply Amazing เรียบง่ายอย่างอัศจรรย์ โดยมีธีมงานที่ชื่อว่า r Evolution Education นับเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่แห่งเทคโนโลยียานยนต์พลังงานไฟฟ้าครั้งแรกในประเทศไทย โดยกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้น ณ จีแลนด์ พระราม 9 และไม่เพียงแค่การทดลองขับเท่านั้น แต่ยังเป็นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกอันเกี่ยวข้องกับการออกแบบตัวรถ ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า ตลอดจนรูปแบบการชาร์จที่เป็นมาตรฐานเทียบเท่ากับต่างประเทศมากที่สุด 

 

       การชาร์จจากเครื่องชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) หรือ Wall Box Charging 

 

          เมื่อพูดถึงเรื่องการชาร์จไฟ หรือประจุไฟ หลายคนรู้อยู่แล้วว่าทำอย่างไร แต่สำหรับหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Nissan Leaf สามารถชาร์จไฟได้ถึง 3 รูปแบบ แยกเป็นการชาร์จจากไฟบ้านปกติหรือเรียกว่า Standard Outlet Charging เป็นการชาร์จโดยใช้ EVSE Cable หรือเคเบิลอเนกประสงค์ที่มีมาให้พร้อมกับรถ ซึ่งการชาร์จรูปแบบนี้จะเป็นแบบข้ามคืน เพราะต้องใช้เวลาประมาณ 12-15 ชั่วโมง อีกหนึ่งรูปแบบเป็นการชาร์จจากเครื่องชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) หรือ Wall Box Charging ที่ติดตั้งภายในบ้าน หรือในสถานที่ที่ติดตั้งอุปกรณ์นี้ ซึ่งสามารถชาร์จไฟฟ้าให้เต็มได้ภายในเวลา 6-8 ชั่วโมง สังเกตว่าการชาร์จสองแบบแรกนี้จะอยู่ในบริเวณพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งจะต้องมีการตรวจเช็ค ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ภายในตัวอาคารหรือบ้าน จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือผู้เชี่ยวชาญจาก Nissan ก่อนติดตั้ง Wall Box Charging เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านบางชนิดไม่สามารถทำงานรวมกับอุปกรณ์นี้ได้  

 

          Wall Box Charging

 

          และอีกหนึ่งรูปแบบเป็นการชาร์จด่วน หรือที่เรียกกว่า Quick Charge เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC) โดยใช้เวลาชาร์จเพียงแค่ 40-60 นาที เพื่อชาร์จให้แบตเตอรี่มีความจุที่ 80% ซึ่งส่วนใหญ่มีการติดตั้งอุปกรณ์ในพื้นที่ที่ชาร์จสะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือที่สาธารณะต่างๆ นั่นเอง เมื่อเข้าใจเรื่องรูปแบบการชาร์จแล้ว มาดูตัวรถว่ามีอะไรน่าสนใจก่อนจะไปทดลองระบบหนึ่งวันเต็ม

          เริ่มจากภาพลักษณ์ภายนอก แสดงให้เห็นถึงการออกแบบด้วยแนว Cool Tech Attitude ที่ Nissan พยายามพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นที่ยอมรับ โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากรถต้นแบบ IDS Concept ที่ออกโชว์เป็นครั้งแรกในงาน Tokyo Motor Show 2015 ด้วยปรัชญาของการออกแบบที่ต้องการแสดงถึงความเรียบง่าย สะอาดตา แต่แฝงไปด้วยความดุดัน รวมไปถึงความโฉบเฉี่ยวของการเล่นแสงเงา เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสถึงยานยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง นอกจากนี้ยังใช้เส้นสายหลักเป็นแนวนอน ตลอดจนถึงตัวถังด้านล่าง ที่ต้องการเน้นให้เห็นถึงจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำของตัวรถ สื่อให้เห็นถึงการขับขี่ที่สนุกสนาน และคล่องตัว และด้วยเอกลักษณ์เฉพาะบริเวณด้านหน้ากับกระจังหน้าแบบ V-Motion พร้อมตาข่ายสีน้ำเงินแบบสามมิติ, ไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์แบบคู่ ทรงบูมเมอแรง ทำงานได้ทั้งไฟต่ำและไฟสูง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ติดตั้งในรถยนต์ของ Nissan ฝากระโปรงหน้าที่ลาดต่ำส่งผลเรื่องทัสนะวิสัยในการมอง ผสานอย่างลงตัวกับกระจกบังลมด้านหน้าที่ทอดยาวไปจนถึงหลังคา ทำให้การไหลผ่านของอากาศดีขึ้น ส่วนการออกแบบแนวเส้นหลังคานั้นยังเป็นเอกลักษณ์เฉพาะเพื่อให้ Nissan Leaf มีความเชื่อมโยงกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของ Nissan เช่นเดียวกับชุดไฟท้ายที่สร้างขึ้นเพื่อให้มองเห็นได้จากระยะไกล รวมถึงสปอยเลอร์ท้ายที่ออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของลายบนกระจก ดูแล้วมีความสปอร์ตมากขึ้น

 

 

          ยังมีส่วนหนึ่ง ที่เป็นจุดเด่นแอบแฝงใน Nissan Leaf คือ การออกแบบตัวถังตามหลักแอร์โรไดนามิกส์ในทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใต้ท้องรถ แนวกันชนท้ายที่มีลักษณะคล้าย Diffuser ช่วยลดแรงต้านอากาศรวมถึงการไหลของอากาศใต้รถ ส่งผลให้รถมีความมั่นคงยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับล้อที่ออกแบบมาได้ขัดใจใครหลายคน แต่สิ่งนี้ก็เป็นไปตามหลักอากาศพลศาสตร์ทั้งสิ้น และผลที่ได้ทำให้ Nissan Leaf มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานของอากาศ (Drag Coefficient) เพียง 0.28 เท่านั้น

          ภายในถูกออกแบบให้เรียบง่าย แต่ทันสมัย มีความกว้างขวางพอสมควร เป็นการยึดหลักตามแนวคิด Gliding Wing อันเป็นแนวทางหลักของ Nissan อีกเช่นกัน ส่วนหน้าจอและรูปแบบของไฟแสดงข้อมูลดูเรียบง่าย และมองเห็นชัดเจนกว่ารุ่นก่อน หน้าจอสีแบบ TFT (Thin-Film Transistor) ขนาด 7 นิ้ว แสดงข้อมูลชัดเจน เป็นการผสมผสานระหว่างมาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อก กับหน้าจอแสดงผลแบบ Multi-Information สามารถเลือกข้อมูลขึ้นมาแสดงได้ตามที่ต้องในแบบ Flush-Surface ซึ่งโชว์อยู่ตรงกลางหน้าจอ รวมทั้งแสดงการทำงานของเทคโนโลยี Safety Shield, ระดับการชาร์จไฟของรถ, ปริมาณกำลังไฟฟ้าที่ใช้ตามการกำหนดค่ามาตรฐาน, พลังงานที่เหลืออยู่ รวมถึงระบบเสียง และข้อมูลระบบนำทาง  

 

 

          งานตกแต่งดูดีไม่น้อยกับการตัดเส้นสายด้วยสีฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของ Nissan ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่ง ด้านข้างประตู ที่วางแขน และพวงมาลัย รวมทั้งการใช้โทนสีน้ำเงินกับปุ่มกดต่างๆ และที่เกียร์ ทั้งหมดให้ความรู้สึกถึงเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ก็ยังมีหลายคนมุ่งเน้นไปที่สิ่งเล็กๆ อย่างช่องเสียบสายชาร์จ ซึ่ง Nissan Leaf ออกแบบช่องเสียบสายชาร์จไฟบริเวณด้านหน้ารถใหม่เพื่อให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องก้มตัวลงมาเหมือนรุ่นก่อน ด้วยหลักสรีรศาสตร์ทำให้ช่องเสียบสายชาร์จไฟถูกติดตั้งในระดับ 45 องศา ผู้ใช้งานที่มีส่วนสูงต่างกันก็สามารถเสียบสายชาร์จไฟได้อย่างสะดวกมากขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุงในรุ่นนี้คือเรื่องความจุพลังงานของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพิ่มขึ้น แต่ขนาดของแบตเตอรี่ยังคงเท่าเดิม ส่งผลให้ห้องโดยสารกว้างขึ้น รองรับผู้โดยสารได้ถึง 5 คน พื้นที่วางของด้านหลังก็ได้รับการออกแบบใหม่ (VDA) เป็นการออกแบบโดยการตัดเอาส่วนนูนออกให้มากที่สุด ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 435 ลิตร เท่านี้ก็พอเห็นวิวัฒนาการของ Nissan Leaf กันพอสมควรแล้ว

          ทีนี้มาดูรูปแบบกิจกรรม และการทดลองขับกันต่อ สำหรับกิจกรรมนั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 โซน ประกอบด้วย Nissan Leaf  Simply Amazing, Nissan Electric Café, Nissan Leaf Charging Station และบูธถ่ายภาพ Nissan Leaf ในส่วนของการทดลองขับถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน

 

         e-Pedal อันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใหม่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

 

          ในส่วนแรกเป็นการทดลองสมรรถนะการขับในลานกว้าง เน้นไปที่เรื่องการใช้เทคโนโลยี e-Pedal กับรูปแบบการขับแบบ Gymkhana ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าการขับรูปแบบนี้ต้องใช้เบรก และคันเร่งมากที่สุด ผลที่ได้คือประสบการณ์ใหม่ในการใช้งาน e-Pedal อันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใหม่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เป็นการเพิ่มความสะดวกในการออกตัว เร่งความเร็ว ชลอความเร็ว ไปกระทั่งหยุดนิ่ง โดยการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียว ถือเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนรูปแบบการขับได้มากทีเดียว แต่ทั้งนี้ต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบก่อน ในระยะแรกอาจสับสนเล็กน้อยแต่เมื่อใช้งานไปแล้วจะช่วยให้การขับง่ายมากขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูงยังถูกติดตั้งเข้าไปมากมาย ได้แก่ เทคโนโลยีเตือนการชนด้านหน้า FCW (Forward Collision Warning), เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉิน FWB (Forward Emergency Braking), กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง IAVM (Intelligent Around View Monitor) พร้อมเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน MOD (Moving Object Detection), เทคโนโลยีช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง ATC (Active Trace Control) และเทคโนโลยีช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)

 

         ให้มีเสถียรภาพการทรงตัวที่ดีขึ้น ทั้งที่น้ำหนักตัวกว่า 1.5 ตัน

 

          หลังจากเสร็จช่วงทดลองสมรรถนะรูปแบบ ลาน ให้พอรู้ถึงระบบการทำงานในหลายๆ รูปแบบโดยเฉพาะ เทคโนโลยี e-Pedal แล้ว ก็มุ่งหน้าสู่การขับจริงตามสภาพการจราจรทั่วไปของเมืองหลวง ที่คราคร่ำไปด้วยรถลาในวันทำงาน ประกอบกับรถติดในบางช่วง ก่อนมุ่งหน้าออกไปยังอำเภอ นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เป็นระยะทางกว่า 140 กิโลเมตร ที่ได้ทั้งการทดลองอัตตราเร่ง การทำความเร็ว ภายใต้เทคโนโนโลยี Nissan Intelligent Mobility เท่าที่ทำได้ ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจ การขับในเมืองดูเป็นเรื่องง่ายขึ้น ด้วยระบบของพวงมาลัยไฟฟ้าให้ความแม่นยำเกินคาด อีกทั้งการขับขี่บนทางด่วน มีความรู้สึกที่มั่นคงในระดับที่ดี ส่วนหนึ่งมาจากการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ใหม่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการควบคุมการขับอัจฉริยะ (Intelligent Ride Control) โดยระบบนี้จะทำงานเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์วัดองศาการเลี้ยวของพวงมาลัย ช่วยให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานแม่นยำมากขึ้นใน ซึ่งส่งผลโดยรวมในเรื่องการสร้างแรงบิดที่เหมาะสมเมื่อเข้าโค้งนั่นเอง ตลอดจนการออกแบบโครงสร้าง ทำให้สมรรถนะในการขับสูงขึ้น แน่นอนว่าความคล่องตัวในการขับขี่ก็มีมากขึ้น ซึ่งทีมวิศวกรของ Nissan ได้พัฒนาโครงสร้างของ Nissan Leaf ให้มีเสถียรภาพการทรงตัวที่ดีขึ้น ทั้งที่น้ำหนักตัวกว่า 1.5 ตัน  

Nissan Leaf  กับระบบ e-Powertrain

 

มอเตอร์ไฟฟ้ารุ่น EM 57

 

           ในเรื่องของพละกำลัง Nissan Leaf มีระบบ e-Powertrain ให้กำลังสูงขับ 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ให้กำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (kW) หรือ 147 แรงม้า ตั้งแต่ 3,283-9,795 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่ 0-3,283 รอบ/นาที จากมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่น EM 57 ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 7.9 วินาที และเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% สามารถขับได้ระยะทางสูงสุดถึง 311 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (New European Driving Cycle) จากสเปคที่เห็นอยู่นี้ สามารถตอบสนองได้ดีทุกครั้งเมื่อต้องการเร่งแซง มีการดึงตั้งแต่กดคันเร่ง ยาวไปตลอดจนยกคันเร่ง และหากต้องการกดคันเร่งต่อ แรงบิดก็มาแบบต่อเนื่องส่งให้รถทะยานขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว

          ส่วนระบบรองรับน้ำหนักทำได้สอดคล้องกันกับระบบส่งกำลัง ถึงแม้ว่าน้ำหนักรถจะมากก็ตาม โดยในบางช่วงของเส้นทางพบกับพื้นผิวแตกต่างกัน ด้วยระบบกันสะเทือนแบบ Torsion Bar ที่มีปรับอัตราการยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น 10% ตามสเปค ให้ความรู้สึกถึงการตอบสนองต่อสภาพพื้นผิวถนนได้ดี นอกเหนือจากนี้ยังมีชุดซับแรงกระแทกที่เลือกใช้วัสดุยูรีเธนกับระบบกันสะเทือนหลัง ลดแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือนได้ดีไม่น้อย และยิ่งชัดเจนเมื่อต้องขับบนสภาพถนนที่เป็นหินและทางขรุขระ ก็ยังคงรักษาความเงียบได้ค่อนข้างดี สิ่งนี้ทำให้เห็นถึงการออกแบบที่สอดคล้องกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ โครงสร้าง อินเวอร์เตอร์ (Inverter) การป้องกันเสียงรบกวนบนโมดูลส่งต่อพลังงาน (PDM) รวมถึงการลดเสียงรบกวนจากตัวมอเตอร์ไฟฟ้า ตลอดจนตัวถังภายนอก และระบบรองรับน้ำหนัก

           การทดลองขับในกิจกรรมตลอดทั้งวัน รวมถึงการทดลองใช้ระบบการขับภายใต้การชาร์จไฟเพียงครั้งเดียวกับสถานที่ 5 แห่ง ภายในย่านจราจรหนาแน่น และการเดินทางไกลระยะทางไป-กลับรวมกว่า 140 กิโลเมตรนี้ ใช้พลังงานไปประมาณ 60%  ซึ่งนั่นสามารถสรุปได้ว่า นี่เป็นการยกระดับในเรื่องของเทคโนโลยีการขับเคลื่อนที่มีความประหยัดสูง ความล้ำสมัยจากระบบช่วยเหลือต่างๆ และเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ที่มีอยู่ใน Nissan Leaf ภายใต้แนวคิด Simply Amazing เรียบง่ายอย่างอัศจรรย์ โดยมีธีมที่ชื่อว่า r Evolution

 

Nissan Leaf  ราคา 1,990,000 บาท

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook