Honda Civic โลดแล่นบนถนนมานานกว่า 40 ปี ด้วยสไตล์และมีสมถรรนะที่ยอดเยี่ยมแต่เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ Honda จึงได้ปรับโฉม Civic ให้โดดเด่นและเร้าใจมากขึ้นด้วยเพิ่มโทนสีใหม่สีน้ำเงิน Brilliant sporty blue พร้อมการตกแต่งใหม่ตั้งแต่หน้าจรดท้ายแถมเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ Honda SENSING เพื่อทำให้ Honda Civic เป็นรถที่อยู่ในใจของทุกๆคน
Honda Civic 2019 เจนเนอเรชั่น 10 เป็นรุ่นไมเนอร์เชนแบบเต็มสูบ เน้นการออกแบบที่ล้ำสมัยสปอร์ตพรีเมี่ยม กันชนหน้าและกระจังสไตล์สปอร์ตใหม่แบบ RS พร้อมไฟ LED แถมยังโดดเด่นด้วยไฟท้าย LED รูปทรงตัว C ซึ่งเป็นเอกลักษณ์แบบซีวิค ไฟตัดหมอก LED ตกแต่งด้วยโครเมียม กันชนหลังตกแต่งด้วยโครเมียมใหม่ มาพร้อมล้ออัลลอย 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่
ส่วนภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย เติมเต็มความสปอร์ตในทุกรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นคอนโซลแบบ Piano Black เบาะนั่งใช้วัสดุคุณภาพระดับพรีเมียมตกแต่งด้วยด้ายสีแดงสร้างความโดดเด่นและเร้าใจ
เพิ่มความสะดวกด้วยฟังช์ชั่นอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่ควมคุมการสั่งงานอุปกรณ์ต่างๆไม่ว่าจะระบบเครื่องเสียง,การใช้งานโทรศัพท์หรือสวิตซ์สั่งการด้วยเสียงผ่าน SIRI และยังมากกมายด้วยระบบความปลอดภัยต่างๆที่ยังอยู่ครบทั่วใน New Honda Civic ไม่ว่าจะเป็นระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน(Honda LaneWatch) ระบบเบรกมือไฟฟ้า และอีกมากมายซึ่งถือว่าจะกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของทางฮอนด้าไปแล้ว
ด้านขุมกำลังยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงคงเป็น เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO 173 แรงม้าและเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร SOHC i-VTEC 1.8 ลิตร 141 แรงม้า ซึ่งทั้งสองรุ่นยังคงใช้ระบบเกียร์เดียวกันคือ เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT
คราวนี้มาเข้าเรื่องการทดสอบ Honda Civic 2019 โดยในครั้งนี้ ทางฮอนด้าได้เชิญสื่อมวลชนเข้าทดสอบเจ้า Honda Civic 2019 โดยใช้เส้นทาง กรุงเทพ- เขาใหญ่ เป็นบททดสอบสมรรถนะ ในการทดลองขับครั้งนี้ ทาง BoxzaRacing ได้ทดลองทั้ง 2 รุ่น คือทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 EL และ 1.5 Turbo RS ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนั้น จะมีอะไรที่ใกล้เคียงกันขนาดไหน ความแรงของขุมพลังจะแตกต่างกันอย่างไรไปชมกัน
โดยเริ่มจากรุ่น 1.8 EL ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร 141 แรงม้า พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ตัวเดียวกับในรุ่น 1.5 Turbo RS ในเรื่องการออกตัว เพราะยังมีความหนืดๆในช่วงเกียร์ 1และเกียร์ 2 แต่เมื่อผ่านไปแล้วทุกอย่างเป็นไปอย่างสวยงามและฉลุย คงต้องบอกว่าขุมพลังตัวนี้มาที่รอบกลางและรอบปลาย จึงต้องจับจังหวะในการเร่งแซง เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างปลอดภัยและแน่นอน อย่างไรก็ตามเครื่องยนต์รุ่นี้สามาถใช้แก๊สโซฮอล์ E85 ได้ ทำให้ได้เปรียบในเรื่องค่าใช้จ่ายของเชื้อเพลิง
หลังจากได้ลองรุ่น 1.8 EL แล้วก็ได้เปลี่ยนอารมณ์มาลองในรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 Turbo RS เครื่องยนต์ 1500 ซีซี 173 แรงม้า เป็นขุมพลังที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่ามาเต็มๆทุกครั้งที่กดคันเร่ง ไม่เพียงรอบต่ำ รอบกลาง และรอบสูง เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างร้อนแรง ไม่เพียงเท่านั้นหากคุณอยากเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT พร้อม Paddle Shift ตอบโจทย์คุณได้อย่างลงตัว ซึ่งจะเปลี่ยนอารมณ์จากอัตโนมัติมาเป็นแบบธรรมดา ทำให้การเร่งแซงฉับไวและกระชับ สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการ และไม่ต้องละสายตาจากถนนอีกด้วย เพียงใช้ปลายนิ้วตบแป้นควบคุมเกียร์ที่หลังพวงมาลัย เพียงเท่านั้นคุณก็จะรู้ว่ารถแรงนั้นเป็นอย่างไร สามารถทำความเร็วได้ต่อเนื่องจนถึง 180 กม/ชม.แบบสบายๆ
ส่วนเรื่องช่วงล่างนั้น ทั้งในรุ่น 1.5 Turbo RS และ 1.8 EL ก็จะความใกล้เคียงกัน เพียงแต่ในรุ่น 1.8 EL นั้นจะมีความนุ่มนวลมากกว่ารุ่น 1.5 Turbo RS ที่ถูกปรับเซตมาให้แบบหนึบแน่นมากกว่าในสไตล์สปอร์ต จึงทำให้การขับขี่มีความมั่นใจในทุกความเร็วและการเข้าโค้ง
แต่ที่จะเป็นไฮไลท์สำคัญของการทดลองขับในครั้งนี้น่าจะเป็นการได้สัมผัสเทคโนโลยีใหม่ที่ทางฮอนด้าใส่เพิ่มเข้ามาให้กับ Honda Civic 2019 คันนี้ นั้นก็คือเทคโนโลยีความปลอดภัย Honda SENSING (มีมาให้เฉพาะรุ่น Turbo RS) โดยระบบนี้ทางฮอนด้าได้นำมาติดตั้งครั้งแรกใน Honda Accord Hybrid ซึ่งระบบจะผสานการทำงานของเรดาร์กับกล้องด้านหน้ารถ ในการตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนท้องถนนแล้วแจ้งเตือนไปยังผู้ขับขี่ พร้อมทั้งช่วยควบคุมรถในสถานการณ์การขับขี่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อความปลอดภัยทั้งของตัวผู้ขับ เพื่อนร่วมทาง และคนเดินถนน เรามาทำความรู้จักกับเทคโนโลยี Honda SENSING กันเลยโดยเริ่มจาก
Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow (ACC with LSF) หรือระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ เป็นระบบที่ช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่โดยให้ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วของรถแบบอัตโนมัติ โดยระบบนี้อาศัยการทำงานของกล้องและเรดาร์ในการตรวจจับรถคันข้างหน้า เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามรถคันหน้าอย่างอัตโนมัติ โดยระบบนี้จะถูกตัดเมื่อเราเหยียบแป้นเบรค แต่ระบบนี้จะกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อเรากดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง ระบบนี้จะใช้งานก็ต่อเมื่อรถวิ่งอยู่ช่วงความเร็วตั้งแต่ 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป
โดยการใช้งานระบบนี้ต้องกดปุ่ม Main ที่ปุ่มพวงมาลัยด้านขวา ที่หน้าปัดรถจะขึ้นเป็นรูปตัวรถและสัญลักษณ์ ACC และ LKAS จากนั้น กดปุ่ม "SET + -" เพื่อเพิ่มหรือลดความเร็ว ส่วนการตั้งระยะความห่างของรถนั้นสามารถตั้งความห่างได้ถึง 4 ระยะ โดยกดที่ปุ่มรูปรถที่อยู่บนแป้นพวงมาลัยทางด้านขวามือ จากการทดลองใช้ระบบนี้จัดได้ว่าเป็นระบบที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างดี
อย่างเช่นการลองตั้งและล็อคความเร็วรถของเราไว้ที่ 80 กม./ชม. ตามคันหน้า โดยที่มีรถคันหน้าวิ่งอยู่ที่ความเร็วเท่าไหร่ก็ตาม รถคันเราก็จะจับความเร็วตามรถคันหน้า ต่อเมื่อรถคันข้างหน้าจะลดหรือเพิ่มความเร็วหนีไป รถคันเราก็จะค่อยเพิ่มความเร็วขึ้นแต่จะไม่เกินความเร็วที่ตั้งเอาไว้ และในกรณีรถคันหน้าจะชลอความเร็วลง รถคันเราก็จะชลอความเร็วลงตามรถคันหน้า ตลอดจนถึงรถคันข้างหน้าลดความเร็วจนเหลือ 0 กม./ชม.ถึงหยุดรถ รถของเราก็จะหยุดและจอดตามคันหน้าเช่นกัน และหลังจากที่รถคันข้างหน้าออกตัวไปหลังจากที่จอดในระยะเวลาไม่เกิน 3 วินาที รถของเราก็จะออกตัวตามรถคันหน้าอย่างอัตโนมัติ โดยที่เราไม่แตะคันเร่งแต่อย่างใด (ซึ่งต่างจากรุ่น Honda Accord พอความเร็วลงจนถึง 30 กม./ชม. ระบบ ACC จะตัดการทำงานที)
Auto High-Beam (AHB) ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ เป็นอีกระบบหนึ่งที่เพิ่มเติมขึ้นจาก Honda Accord โดยระบบนี้จะปรับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติด้วยกล้องจากตัวรถ โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อเราขับรถอยู่ในที่มืด และไฟจะปรับเป็นไฟต่ำทันที่ที่ระบบตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือมีรถอยู่ด้านหน้า
Collision Mitigation Braking System (CMBS) ระบบเตือนการชนรถและคนเดินถนนพร้อมระบบช่วยเบรก ระบบนี้จะที่มุ่งเน้นการแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุ และป้องกันความเสียหายต่อรถ ตลอดจนผู้ขับขี่และผู้โดยสาร โดยการทำงานอาศัยการตรวจจับจากกล้องและชุดเรดาร์ ที่ติดตั้งหลังตราฮอนด้าบริเวณกระจังหน้า ในการตรวจสอบระยะห่างของรถยนต์ที่อยู่ด้านหน้า รถสวนทาง หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะไม่ปลอดภัย ระบบจะประมวลผลเข้ากับความเร็วที่ใช้ในการขับขี่ขณะนั้น หากระบบตรวจพบว่ามีโอกาสเกิดการชนสูง ตัวระบบจะแสดงผลแจ้งเตือนผู้ขับขี่ ผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง รวมทั้งการสั่นเตือนของพวงมาลัยในกรณีรถสวนทางด้วย แต่ถ้าหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนองหรืออยู่ในระยะที่เสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกให้อัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ
Lane Keeping Assist System (LKAS ) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ เป็นระบบช่วยเหลือในระหว่างการขับขี่ ช่วยตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ โดยระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เมื่อขับออกนอกเลนหรือช่องทางเดินรถ ระบบจะควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถตลอดเวลา
Road Departure Mitigation with Lane Departure Warning (RDM with LDM) ระบบเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ ระบบนี้จะทำงานเก็ต่อเมื่อกดปุ่ม RDM with LDM ที่อยู่ด้านล่างขาวมือ โดยหน้าที่หลักๆของระบบนี้ก็จะเหมือนระบบ Lane Keeping แต่ระบนี้จะใช้กล้องที่ด้านหน้ารถคอย ตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร (เส้นแบ่งจราจรต้องเป็นเส้นที่คมชัดเท่านั้น)
ซึ่งหากพบว่ารถขับอยู่เบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอ พร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และถ้ารถเบี่ยงมากขึ้น ระบบนี้จะช่วยหน่วงพวงมาลัย ให้รถกลับสู่ช่องทางเดินรถ แต่ถ้าหากรถยังเบี่ยงออกจนอาจที่เกิดอุบัติเหตุ ระบบเบรกจะทำงานเพื่อชะลอความเร็ว(ในกรณีเส้นแบ่งถนนเป็นเส้นทึบ) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร จากระบบเทคโนโลยีใหม่ที่ทางฮอนด้าที่ใส่มาให้นั้นถือว่าเป็นเครื่องอำนวยความสะดวก เป็นระบบที่เน้นความปลอดภัย ป้องกันและเตือน ผู้ขับขี่ เพื่อสร้างความปลอดภัยกับผู้ใช้รถ แต่สิ่งดีที่สุดคือการขับขี่รถอย่างมีสติ ไม่ประมาทในการใช้รถใช้ถนนจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
สำหรับการเพิ่มเทคโนโลยี Honda SENSING ที่เพิ่มเข้าไปใน Honda Civic 2019 ล่าสุดนี้ เหมือนเป็นการตอกย้ำภาพความเป็นผู้ตลาดรถยนต์ของ Honda ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือว่าคุณไม่แน่ใจในสิ่งที่บอกกล่าว ต้องไปลองพิสูจน์สมรรถนะและเทคโนโลยีใหม่ของ Honda Civic 1.5 Turbo RS และ 1.8 EL ไมเนอร์เชนจ์คันนี้ได้เลยครับที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ
Honda Civic 2019 มีให้เลือกที่งหมด 4 รุ่น
1.8 E ราคา 874,000 บาท
1.8 EL ราคา 964,000 บาท
TURBO ราคา 1,104,000 บาท
TURBO RS ราคา 1,219,000 บาท