Ford Mustang ถูกทดสอบลงสนามแข่งในไทย ขับโดยทีมงาน BoxzaRacing แบบกระทืบคันเร่งจริง ยัดโค้งจริง ใส่เต็มแบบไม่เกรงใจยาง ที่กรวยกั้นใดๆไม่ได้เป็นอุปสรรค พบกับความแรงที่ไม่เป็นข้อกังขาใดๆอีกต่อไป เพราะรู้แล้วว่าแรงจริง แต่หลายคนกลัวว่ามันแรงจนเอาไม่อยู่หรือไม่ รถขับหลังพลังสูงแบบนี้จะใช้ขับซื้อแกงไหวหรือเปล่า เราได้ไปลองมาให้แล้ว ทำทุกอย่างที่ไม่มีใครกล้าลองในถนนจริง
คำว่ามัสแตงชื่อนี้โด่งดังจริงในวงการรถยนต์ หรือแม้แต่คนไม่รู้เรื่องรถก็ยังต้องผ่านหู ด้วยการเป็นรถสปอร์ตขายดี และเป็นที่นิยมติดลมบนมาทุกเจนเนอร์เรชั่น ทำตลาดต่อเนื่องอย่างยาวนานมากกว่า 50 ปี ประสบความสำเร็จด้วยจุดขายที่เครื่องแรงในราคาเอื้อมถึง จึงปรากฎอยู่ในวัฒนธรรมรถซิ่งของวัยรุ่นอเมริกันมาทุกยุคสมัย และยิ่งในยุคอินเตอร์เน็ตแล้ว ชื่อเสียงความแรงของมัสแตงก็แพร่หลายไปทั่วโลก แต่ความโด่งดังนี้ ประเทศไทยไม่เคยได้สัมผัสอย่างเป็นทางการ เพราะในอดีตที่ผ่านมา Ford Mustang ไม่เคยทำพวงมาลัยขวาออกมาขาย คนไทยที่อยากขับม้าป่ารุ่นนี้ ต้องกำเงินหนักๆ ไปเปย์ให้รถนำเข้าแบบพวงมาลัยซ้ายมาขับเผาน้ำมันเล่นๆ แถมมีปัญหาในสมัยก่อน ที่รถแรงจนนักซิ่งหน้าใหม่เอาไม่อยู่ ท้ายปัดเป๋ไปหลายทีด้วย
Ford Mustang เจนเนอร์เรชั่นที่ 6 นี้เป็นครั้งแรกที่ได้ทำรุ่นพวงมาลัยขวาออกมาขายทั่วโลก ทำให้นับตั้งแต่ปี 2015-2017 ฟอร์ดมัสแตงครองตำแหน่งเป็นรถสปอร์ตยอดขายดีที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือลูกค้าคิดไปเองแน่ๆ เราจึงต้องมาลองด้วยเอง เพื่อดูกันว่า ทำไมคนทั่วโลกถึงหลงรักรถรุ่นนี้กันจัง โดยทีมงานมากันที่สนามพีระที่พัทยา เพื่อขยี้คันเร่งกันอย่างสุดๆ โดยเราได้ขับทั้งรุ่น 2.3 Ecoboost และรุ่น 5.0 V8 GT กันเลย
ดีไซน์ของ ฟอร์ด มัสแตง ยังคงความเรโทรเหมือนเจนฯก่อน ที่หยิบเอาเค้าโครงจากรุ่นปี 1965 ด้วยตัวถังฟาสแบ็ค หลังคาลาดและท้ายตัด ซึ่งเป็นกระแสแรงแห่งยุค 60 พร้อมกับกระจังหน้าที่ตั้งชั้นและยื่นออกมาล้ำไฟหน้า เหมือนจมูกฉลาม มีความจงใจออกแบบท่อนหน้าให้ยื่นยาวและกดต่ำลง เป็นการตะโกนบอกให้คนทั่วไปรู้ว่า "ข้าใส่เครื่องขนาดใหญ่โตนะเฮ้ย" ซึ่งเป็นสไตล์อเมริกันจ๋าสุดๆ แถมยังมีไฟท้ายเส้นตั้ง 3 ขีดที่ให้อารมณ์เดียวกับรุ่นคลาสสิค บ่งบอกชัดเจนว่ารถคันนี้มีที่มาและประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ซึ่งรถสปอร์ตหน้าใหม่รุ่นไหนก็ไม่สามารถเลียนแบบ วิ่งไปไหนใครๆก็จำได้แน่นอนว่านี่คือรถอเมริกันในตำนาน
ดูภายนอกแล้วแทบมองไม่ออกว่าคันไหนคือ 2.3 Ecoboost หรือรุ่น 5.0 V8 GT โดยจุดสังเกตหลักๆคือ รุ่นท็อป 5.0 จะมีสปอยเลอร์หลัง กระจังหน้าและช่องดักลมมีแท่งสีดำคาดในแนวตั้ง กับล้อแม็กลาย 10 ก้านคู่ ท่อไอเสีย 4 ช่อง และดิฟฟิวเซอร์ทรงโตเพิ่มเข้ามา นอกนั้นก็ไม่ต่างอะไรเลย เพราะมัสแตงจัดเต็มออพชั่นมาให้เป็นมาตรฐาน ตั้งแต่ ไฟรอบคันเป็น LED ช่องระบายความร้อนที่ฝากระโปรง สเกิร์ตล่างรอบคัน สวยครบในทุกรุ่น เรียกว่าซื้อรุ่น 2.3 ขับไปไหนก็ดูหล่อแล้วครับ
ต้องบอกก่อนเลยว่า ด้วยความเป็นรถสปอร์ตอเมริกัน หลายคนจะติดภาพว่าต้องเป็นรถบ้าพลัง แข็งๆ ดิบห่าม ขาดสิ่งอำนวยความสะดวก ขับแล้วเหนื่อย แต่ไม่ใช่ในมัสแตงใหม่นี้ โดยเมื่อเข้าไปนั่งแล้ว จะพบว่าเบาะปรับเลื่อนและยกด้วยไฟฟ้าแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดี และการปรับเอนกับปรับพวงมาลัยด้วยมือ ก็ไม่เป็นปัญหาใดๆ จากนั้นลองจับดูวัสดุบุนิ่มต่างๆรอบคัน พบว่าใส่มาให้เยอะสมราคา ส่วนที่เป็นพลาสติกก็แน่นหนาดี กดแล้วไม่มีเสียงวัสดุเบียดกันดังเอี๊ยดอ๊าด ตามสเปคระบุว่าดีไซน์ภายในได้แรงบัลดาลใจจากเครื่องบิน แต่เท่าที่ดูแล้วไม่รู้สึกว่าเหมือนค็อกพิทสักเท่าไหร่ นอกจากไฟเตือนคาดเข็มขัดบนเพดาน และก้านสวิตช์ด้านล่างที่ให้อารมณ์เครื่องบินอยู่บ้างเท่านั้น
ฟอร์ดมัสแตงมีโหมดการขับขี่ 5 แบบคือ ปกติ, สปอร์ต, พื้นเปียก, แทร็ค และแดร็ค ซึ่งตอนแรกที่ขับวนในพิท เราใช้โหมดปกติ (Normal) ซึ่งรถจะปรับพวงมาลัยให้เบา และคันเร่งหน่วงจังหวะหน่อยๆ ทำให้เราย่องออกจากช่องจอด และเลี้ยวกลับรถได้อย่างราบรื่น เป็นโหมดที่เหมาะจะใช้ขับในเมืองมากๆ จากนั้นพอลงสนามแข่งจริงค่อยปรับเป็น Track ซึ่งมีผู้ฝึกสอนขับพาทีมงานโดยสารไปดูไลน์ในสนามก่อน เพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อนจะลองจริง โดยถูกแบ่งการทดสอบออกเป็น ทางตรง, ทางโค้งต่อเนื่อง, สลาลอม และการเปลี่ยนเลนกะทันหัน
ทีมงานเริ่มต้นกับรุ่น 2.3 EcoBoost ที่เครื่องเบนซินเทอร์โบปั่นกำลัง 300 แรงม้าลงสู่ล้อหลังทันทีในทางตรง เพราะเรากดคันเร่งจมพื้นทันทีที่ได้รับสัญญาณออกตัว พวงมาลัยที่หนืดและระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ช่วยให้รถออกตัวไม่เสียงเอี๊ยดอ๊าด ท้ายไม่เป๋ปัด คุมรถได้ง่ายเหลือเชื่อ มีแค่แรงจีที่กดคนขับติดเบาะเท่านั้น ที่ทำให้รู้สึกตัวว่ามันพุ่งแรงดีอยู่ โดยเกียร์สับโดดจนถึงเกียร์ 3 รอบเครื่องยนต์ลากได้ยาวๆจนเรดไลน์
จากนั้นยังอยู่กันต่อในโหมด Track ที่ไม่มีระบบช่วยทรงตัว ESP เข้ามาบงการวิธีขับของเรามากนัก ทำให้ทีมงาน BoxzaRacing สามารถลองเข้าโค้งแคบที่ความเร็วระดับ 77 กม./ชม. ซึ่งถ้าคิดสภาพในถนนจริงก็โค้งประมาณสะพานกลับรถเกือกม้า ที่หลายคนยัดโค้งด้วยรถแต่งทั่วไปที่ความเร็ว 60 ก็แทบหัวใจจะวายแล้ว แต่รถสปอร์ตคันนี้ทำได้ง่ายๆ ผ่านโค้งมาแล้วต่อไปก็เป็นด่านสลาลอม ที่ทำได้ง่ายในความเร็ว 60 กม./ชม. จนเราเองรู้สึกว่ามันช้าไป ต้องเติมคันเร่งให้เป็น 70 เพื่อเค้นเอาสุดขอบของสมรรถนะออกมา ก็พบว่ายังทำได้โดยไม่หมุนแต่อย่างใด สุดท้ายกับด่านเปลี่ยนเลนกะทันหัน ซึ่งที่ความเร็วระดับ 80 กม./ชม.ก็ทำได้ง่าย ด้วยพวงมาลัยไฟฟ้าที่คม กับช่วงล่างที่แน่นหนึบ ซิ่งจับวางไปไลน์แทร็คไหนก็ทำได้ดั่งใจ
Ford Mustang 5.0 V8 GT คือรุ่นต่อไปที่เราได้ขึ้นควบ โดยที่เราจงใจเปิดโหมด Track ลงสนามอีกเช่นเคยในด่านการทดสอบเดิม เริ่มกันที่การออกตัวในทางตรง ทีมงานฯจัดเต็มแบบไม่ปราณีที่คันเร่ง กระแทกลงไปทันที โดยในความคิดเรากะว่าล้อยางต้องเอี๊ยด รถต้องเป๋จนเราต้องแต่งพวงมาลัยแน่ๆ แต่ผิดคาดที่รถวิ่งตรงฉิว ไม่ต้องจิกเกร็งพวงมาลัยเพื่อแก้อาการรถ มันส่งกำลัง 460 แรงม้าออกมาให้สะใจ นับว่าแตกต่างจากรุ่น 300 แรงม้าอย่างเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ได้รู้สึกไปเอง เพราะที่หน้าจอมีการบ่งบอกแรงจีเอาไว้ ว่าทำได้ประมาณ 0.3 G ซึ่งมากพอที่จะทำให้เรารู้สึกเหมือนเครื่องบินกำลังเทคออฟเลยทีเดียว แถมยังมีเสียงเครื่องยนต์ V8 แผดสั่นเข้าหู ให้เราเสพความแรงจากโสตประสาทอีกทางหนึ่งด้วย
พอลองอัตราเร่งจนสะใจแล้ว ก็กลับเข้าโค้งแคบเดิมอีกครั้ง โดยเราพยายามเลี้ยงความเร็วให้ได้เท่าเดิมเพื่อเปรียบเทียบกับรุ่น 2.3 พบว่ารุ่นท็อป 5.0 GT มีความหนึบกว่าเดิม จนรู้สึกว่าเข้าโค้งช้าเกินไปด้วยซ้ำ จนต้องแอบเติมคันเร่งไปอีกในด่านสลาลอม และการเปลี่ยนเลนกะทันหัน ซึ่งการเติมคันเร่งเพิ่มลงไปแล้วรถยังไม่เสียอาการนี้ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้วว่า Ford Mustang ไม่ได้มีดีแค่ทางตรงเท่านั้น ผิดกับภาพลักษณ์เดิมๆ ที่คนทั่วไปเชื่อว่าจะรถแรงขับหลัง จะต้องเป๋ไปมาในทางโค้ง แต่รถคันนี้ขับง่าย ขอแค่รู้จักเติมคันเร่งอย่างพอเหมาะ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักซิ่งมืออาชีพทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีอีกโหมดหนึ่งที่เป็นไฮไลท์เด็ดเฉพาะรุ่น 5.0 V8 GT กับระบบ Track Apps เอาไว้จับเวลาเมื่อทำอัตราเร่ง หรือวิ่งในสนามแข่ง อีกทั้งประมวลผลการขับขี่ของคุณ แสดงผลผ่านหน้าจอดิจิตอลขนาด 12 นิ้วบนหน้าปัด ที่เลือกสีตามใจชอบได้อีก แถมมีระบบพิเศษ Electronic Line Lock เรียกง่ายๆว่าเป็นระบบช่วยเบิร์นยางนั่นเอง โดยเราไม่ต้องคอยเหยียบเบรกเพื่อปั่นล้อหลังให้ควันท่วม ระบบนี้จะช่วยคุณให้เบิร์นยางเป็นเวลาประมาณ 15 วินาที และหยุดลงเองอัตโนมัติ ให้คนขับพร้อมซิ่งต่อไม่รอแล้วนะ
Ford Mustang 5.0 GT ยังไม่ได้มีดีแค่ความแรงและหนึบเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเอาใจการใช้งานแบบเดลี่ยูส โดยการออกแบบท่อไอเสียที่ไม่ได้แผดลั่นทุ่งอย่างเดียว แฝงระบบ Active Valve Performance Exhaust ที่มีลิ้นเปิดปิดตรงปลายท่อ ทำหน้าที่กั้นเสียงเอาไว้ เหมาะสำหรับขับไปซื้อแกงแถวบ้าน แล้วไม่ให้บางคนเกิดตกใจ หาก V8 ลั่นขึ้นมา พร้อมทั้งระบบตรวจจับคนเดินถนนและเบรคอัตโนมัติ พร้อมระบบช่วยรักษารถในเลน ทำให้ใช้ชีวิตในเมืองกับรถคันนี้ สะดวกสบายขึ้นไม่ต่างจากรถหรู
มีรถไม่กี่รุ่นหรอกนะครับ ที่มีความสมดุลย์ทั้งความแรง ความสวยงาม แถมใช้งานในชีวิตประจำวันได้ง่าย แต่รถคันนี้ทำได้แล้ว Ford Mustang ที่นอกจากครบถ้วนทั้งคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว ยังเพิ่มความภูมิใจให้เจ้าของรถรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประวัติศาสตร์รถสปอร์ตในตำนาน ที่เงินราคา 3.5 ล้านก็หาซื้อไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว แต่ถ้าการเงินไม่ใช่ปัญหา คุณก็สามารถฟังเสียงเครื่อง 5.0 V8 เพราะๆได้ในราคาไม่ถึง 5 ล้าน นับเป็นของเล่นคนรวยที่แนะนำว่า "ของมันต้องมี" สักครั้งในชีวิตแล้วครับ