MG ตอบรับเทรนด์การใช้รถที่เปลี่ยนไปในปัจจุบันด้วยการส่ง SUV น้องใหม่ ภายใต้ชื่อ MG ZS (เอ็มจี แซดเอส) ออกมาลุยตลาด ด้วยความที่กระแสความนิยมรถประเภทนี้มีมากขึ้นทั่วโลก ไม่เว้นแต่ในประเทศไทย เนื่องจากผู้ใช้รถต้องการรถที่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย สามารถใช้งานได้ง่าย ไปได้ทุกที่ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแลปกใจ ที่รถยนต์ในรูปแบบ SUV นั้นจะเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมากมายในยุคนี้
ภาพลักษณ์หรูหรา ผสานความแข็งแกร่งในสไตล์ SUV พันธุ์แท้
การมาของ MG ZS หากจะเรียกว่าเป็นการปฏิวัติวงการยานยนต์ในบ้านเราก็คงจะไม่ผิดนัก ซึ่งแน่นอนว่า...นี่คือ สมาร์ทคาร์รรุ่นแรกที่สามารถสั่งการได้ด้วยเสียงภาษาไทย รวมถึงสื่อสารและสั่งการตัวรถผ่านสามารถโฟน อันเป็นจุดขายที่ทางค่าย MG ชูอยู่ใน ZS พร้อมกับเรื่องของดีไซน์ที่มีความโดดเด่น ภายในให้ความกว้างขวาง หรูหรา และที่สำคัญที่สุดก็คือ มาพร้อมค่าตัวที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยในรุ่นเริ่มต้น สตาร์ทเพียง 6.79 แสนบาทเท่านั้น
ไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์ พร้อม LED Daylight
ไฟท้าย LED ดีไซน์เฉียบ
ล้ออัลลอยดีไซน์เท่ขนาด 17 นิ้ว
หรูหรา ดูป๋าเต็มขั้นด้วย Panoramic Sunroof
เติมลูกเล่นเล็กๆ ด้วยมือเปิดฝาท้ายสุดเก๋
หากมองในภาพรวม สิ่งที่มีความโดดเด่นอย่างชัดเจนของ MG ZS ก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องของภาพลักษณ์ภายใต้แนวคิด บริท ไดนามิค (Brit Dynamic) ที่ได้รับการดีไซน์มาเพื่อให้เป็นรถ SUV แท้ๆ ตั้งแต่เกิด ต่างกับคู่แข่งในคลาสที่เสมือนเป็นการปรับบุคลิคจากรุ่นอื่นๆ จึงทำให้ดีไซน์ในภาพรวมอาจจะยังดูขาดๆ เกินๆ ไม่เตะตาเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งไม่ใช่กับ MG ZS พระเอกของเราในวันนี้อย่างแน่นอนครับ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน เจ้า SUV พิกัด B Segment ผู้นี้ ก็ให้ความรู้สึกที่ดูหรูหรา ผสานความรู้สึกที่ดูแข็งแกร่งในแบบฉบับของยนตรกรรมอเนกประสงค์ได้อย่างลงตัวตามสไตล์รถที่สร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมาพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบโปรเจ็คเตอร์ที่จับคู่อยู่กับ LED Daylight เช่นเดียวกับไฟท้ายที่เป็นเส้น LED หลังคา Panoramic Sunroof ที่สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยเสียงภาษาไทย เติมความลงตัวในด้านข้างด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว รัดด้วยยาง 215/50 R17
Hello MG !
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่า สิ่งที่เป็นหมัดเด็ดของ MG ZS ก็คือ ระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยที่มีชื่อว่า i-Smart เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ขับในการสั่งการฟังค์ชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิด -ปิดซันรูฟ การปรับเพิ่มหรือลดอุณหภูมิของระบบปรับอากาศ การสั่งการระบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ในรถยนต์ และการใช้ระบบการนำทางผ่านการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย โดยสามารถใช้งานได้ง่ายๆ เพียงแค่พูดคำว่า Hello MG ก็สามารถใช้งานได้ แต่หลังจากที่ได้ลองใช้ฟังค์ชั่น i-Smart ในรถ MG ZS มาพอสมควรแล้ว มีข้อสังเกตอยู่เล็กน้อยในขั้นตอนของการสั่งงาน คือ ควรจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดัง และมีความชัดเจน ไม่เช่นนั้นแล้วระบบอาจไม่ตอบสนองตามที่ต้องการ ซึ่งโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเป็รนลูกเล่นที่มีความน่าสนใจ เพราะช่วยให้ผู้ขับขี่ มีสมาธิกับการขับรถอย่างเต็มที่
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เริ่มต้นจากโรงแรม So Sofitel สาทร มุ่งหน้าสู่ อ.แกลง จ.ระยอง รวมระยะทางไป-กลับราว 500 กม. ผลัดกันขับกับเพื่อนสื่อมวลชนที่รู้มือกันเป็นอย่างดี ในช่วงแรก BoxzaRacing รับหน้าที่เป็นผู้โดยสารตามสูตร เมื่อเข้ามาในห้องโดยสารของ MG ZS ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า นี่แหละ...ภายในที่ต้องการ ด้วยการออกแบบที่ดูหรูหรา ใช้วัสดุที่ดูมีคุณภาพ ไม่ก๋องแก๋ง เข้ามานั่งแล้วรู้สึกถึงความ “แพง” ของตัวรถซึ่งสวนทางกับค่าตัวที่ต้องจ่าย เบาะนั่งให้ความโอบกระชับพร้อมสัมผัสสบายๆ ด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ แม้จะไม่มีระบบปรับด้วยไฟฟ้า (รวมทั้งฝั่งคนขับด้วย) แต่ก็คงจะไม่ใช่ปัญหา เพราะเบาะปรับมือไม่เคยทำให้ใครตาย และอีกอย่างคือ คงไม่มีใครมานั่งปรับเบาะทุกวันแน่ๆ หรือใครจะเถียง ? ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็เรียกได้ว่ามีมาให้อย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นดีไซน์สปอร์ต ปุ่มสตาร์ท ชุดเครื่องเสียงระบบสัมผัสที่พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออย่างหลากหลายทั้งบลูทูธ และ USB
MG ZS สามารถดูค่าต่างๆ ของตัวรถได้ผ่านสมาร์ทโฟน
ก่อนจะถึงจุดหมายแรกที่โชว์รูม MG จ.ระยอง เพื่อทดลองตรวจสอบสถานะของรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟน อาทิ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง สภาพการทำงานของแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ และระบบเบรก ถ้าตัวรถมีการเคลื่อนที่อย่างผิดปกติ ระบบนี้ สามารถแจ้งเตือนการเคลื่อนที่ดังกล่าวซึ่งอาจเกิดจากการโจรกรรม สิ่งที่สัมผัสได้จากการนั่งและอดที่จะชื่นชมไม่ได้เลยก็คือ เรื่องฟีลลิ่งของช่วงล่างที่ออกแบบมาได้อย่างกลมกล่อมตามสไตล์ Euro Ride ให้ความนุ่มสบายสำหรับการใช้งานปกติ และเพียงพอสำหรับการขับขี่ในย่านความเร็วสูงที่สามารถทรงตัวและเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ ไม่มีอาการย้วยให้เหวอภายใต้ความเร็วที่ควรจะเป็น เสียงรบกวนภายในห้องโดยสารต้องเรียกว่า อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจหากวิ่งด้วยความเร็วตามกฎหมาย แต่หากใช้ความเร็วสูงเกิน 120 กม./ชม. อาจมีเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับหนักหนาสาหัสอะไร ด้านอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงสำหรับการขับขี่ในสภาวะปกติ ใช้ความเร็ว 120 กม./ชม. +- เร่งบ้าง เบรกบ้างเป็นครั้งคราว ตัวเลขบนหน้าจออยู่ที่ 13.x กม./ลิตร แต่หากขับแบบเนียนๆ ลดความเร็วลงมาเล็กน้อย ตัวเลขอัตราการสิ้นเปลืองจะดีดขึ้นไปสู่ 16.x กม./ลิตร ได้แบบสบายๆ ซึ่งสำหรับผู้ร่วมทริปบางคันที่จริงจังกับการขับขี่ในรูปแบบประหยัดน้ำมัน ก็สามารถทำได้ทะลุ 18.x กม./ลิตร เลยทีเดียว
เข้าสู่ช่วงเวลาที่ผมได้ทดลองขับ MG ZS ด้วยตัวเองบ้าง อย่างที่บอกไปในข้างต้นว่า รถรุ่นนี้มาพร้อมเบาะคนขับแบบปรับตำแหน่งด้วยมือ และพวงมาลัยสามารถปรับได้แค่ขึ้น-ลงเท่านั้น ไม่สามารถดึงเข้า-ออกได้ แต่โดยรวมก็สามารถจัดท่านั่งให้เข้ากับสรีระได้ไม่ยาก ทันทีที่เข้าเกียร์ D เพื่อออกเดินทาง เครื่องยนต์เบนซิน DOHC VTi-TECH 4 สูบ 1.5 ลิตร พละกำลัง 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม Manual Mode ก็พร้อมปลดปล่อยพลังออกมาให้ใช้อย่างพอเหมาะ เหยียบเบาๆ ตัวรถก็พร้อมจะทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงรอบต้นๆ โดยเครื่องยนต์บล็อกนี้ เป็นบล้อคเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน MG 3 และ 5 แต่ได้รับการปรับรายละเอียดกันแบบชุดใหญ่เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ หรือแม้แต่การปรับจูน เพื่อให้สามารถดึงเอาแรงบิดมาใช้งานได้ในรอบที่ต่ำลง พร้อมทั้งให้แรงม้าที่สูงขึ้นอีกระดับ โดยรวมหากไม่ได้หวังความรุนแรงอะไร (ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการออกแบบรถรุ่นนี้) ถือว่าสามารถใช้งานได้อย่างหน้าพอใจ อัตราเร่งไม่ได้สวยหรู แต่ก็ขึ้นเรื่อยๆ เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แบบสบายๆ เร่งแซงได้อย่างมั่นใจพอประมาณ กับความเร็วสูงสุดที่ทำได้กว่า 160 กม./ชม. ก็ถือว่าเกินความคาดหมายต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว เรื่องฟีลลิ่งการทรงตัวไม่มีอะไรที่ถือว่าเป็นจุดบกพร่อง (ในอีกแง่หนึ่ง น่าจะเป็นจุดที่เด่นที่สุดของรถรุ่นนี้ เช่นเดียวกับความหรูหราภายในห้องโดยสาร) เช่นเดียวกับระบบเบรก ที่หากทำความเข้าใจในเรื่องของการลงน้ำหนักอย่างพอเหมาะแล้ว ให้ประสิทธิภาพในการหยุดรถได้อย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว MG ZS ยังเต็มอิ่มด้วยระบบความปลอดภัยที่ช่วยเติมเต็มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ เริ่มตั้งแต่ ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) และระบบ Synchronized Protection System 9 ระบบ ประกอบด้วย ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ตลอดจนถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวมทั้งหมด 6 จุด
MG ZS มีจำหน่ายทั้งสิ้น 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น C ราคา 679,000 บาท, รุ่น D ราคา 729,000 บาท และรุ่น X ราคา 789,000 บาท มีสีให้เลือก ทั้งหมด 5 สี คือ สีแดงสกาเลตต์เรด (Scarlet Red) สีฟ้ามารีน่าบลู (Marina Blue) สีเงินซิลเวอร์เมทัลลิก (Silver Metallic) สีขาวอาร์คติคไวท์ (Arctic White) และสีดำแบล็คไนท์ (Black Knight) พร้อมกันนี้ จะได้รับแพ็คเกจใช้งานระบบอัจฉริยะ i-SMART ฟรี เป็นระยะเวลา 5 ปี และได้รับความอุ่นใจกับการบริการแพสชั่น เซอร์วิส ด้วยการรับประกันคุณภาพนาน 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน และศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ ตลอด 24 ชั่วโมง รวมไปถึงบริการเช็คระยะนอกสถานที่ โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mgcars.com
ถือว่าดูดีขึ้นเรื่อยๆ สำหรับแบรนด์ MG ด้วยคุณภาพของตัวรถที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ใส่เทคโนโลยีและจุดเด่นต่างๆ ที่ถือว่าเป็นแนวทางที่ชัดเจนของทางค่าย เช่นเดียวกับเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ หาก MG ZS จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยหลายๆ คน...หรือคุณว่าไง ?