เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางค่าย Toyota ได้เติมเต็มช่องว่างสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการยนตรกรรมอเนกประสงค์ระดับพรีเมี่ยม ที่มาพร้อมความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นด้วยการส่ง Toyota Fortuner รุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ จากเดิมที่มีเพียงแค่รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ในเครื่องยนต์บล็อคนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกที่หลากหลาย พร้อมกันนี้ได้ปรับรายละเอียดในส่วนรุ่นย่อยอื่นๆ ที่ช่วยส่งให้ยนตกรรมอเนกประสงค์อย่าง Toyota Fortuner เป็นรถที่มีความพรีเมี่ยมยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวก หรือแม้แต่ในเรื่องของสมรรถนะที่เหนือชั้นอีกระดับ
ด้วยการอัพเกรดรุ่นย่อย 2.4V ขับเคลื่อน 4 ล้อ ของ Toyota Fortuner ส่งให้ยนตรกรรมอเนกประสงค์รุ่นนี้เป็นแบรนด์เดียวในตลาด ที่มีเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Sigma 4 ให้ลูกค้าได้เลือกตามความต้องการถึง 2 บล็อก นั่นก็คือ ในพิกัดเดิมอย่าง 2.8 ลิตร รวมไปถึง 2.4 ลิตร เพื่อเติมเต็มความมั่นใจ พร้อมท้าทายสูงสุดจุดหมายอย่างไม่ต้องหวั่นเกรงต่ออุปสรรคใดๆ โดยในส่วนของรายละเอียดที่ได้รับการอัพเกรดขึ้นมา นอกจากการเพิ่มรุ่นย่อย 2.4 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็คือ การอัพเกรดชุดเบรกหลังให้มาในรูปแบบดิสค์เบรก (จากเดิมที่เป็นแบบดรัมเบรก) พร้อมเติมความสะดวกสบายให้กับการเดินทางด้วยเบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
สำหรับในส่วนของการขับขี่นั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน หลักๆ นั่นก็คือ การขับขี่ในรูปแบบ Off Road ซึ่งทีมงานได้จัดเตรียมสถานที่ที่จำลองสภาวะแวดล้อมที่มีโอกาสได้พบเจอในการลุยจริงๆ ณ ไร่ทองสมบูรณ์คลับ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งก็มีรูปแบบเส้นทางให้ได้ทดลองระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Sigma 4 อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนส่วนของเนินสลับ เนินเอียง การลุยน้ำท่วมสูง เรียกได้ว่าครบทุกรสชาติ เพื่อให้ได้ลองฟังค์ชั่นการทำงานอันเหนือชั้นของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Sigma 4 อย่างจริงๆ จังๆ โดยในขั้นตอนการทดลองขับนั้น จะใช้เกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ L4 ด้วยความเร็ว Walking Speed เป็นส่วนใหญ่ คือ ปล่อยไหลให้ขุมพลังได้แสดงถึงศักยภาพของแรงบิดอันเหนือชั้นจากเครื่องยนต์ GD Efficient Boost อย่างเหนือชั้น โดยเฉพาะในบล็อก 2.4 ลิตร ที่ต้องบอกเลยว่า มีแรงบิดในรอบต่ำมาให้ใช้อย่างเหลือเฟือ แม้ไม่ต้องเติมคันเร่ง ก็สามารถก้าวผ่านทุกอุปสรรคไปได้อย่างไม่เกี่ยงทุกสถานการณ์
นอกจากนี้ยังได้ทดลองระบบตัวช่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill Start Assist Control) ซึ่งระบบจะหน่วงการเบรคอัตโนมัติประมาณ 3 วินาที เพื่อให้การออกตัวบนทางลาดชันทำได้ง่ายขึ้น, ระบบต่อมาก็คือ ระบบคุมความเร็วขณะลงทางชัน DAC (Downhill Assist Control) ที่ช่วยหน่วงและคุมความเร็วให้คงที่ในขณะที่ไหลลงทางชัน โดยข้อสังเกตที่ได้จากการทดลองระบบนี้ เมื่อเทียบกับในรุ่นก่อนปรับปรุง สิ่งที่สัมผัสได้ก็คือ ความเนียนในการทำงานของระบบ คือ ใน Toyota Fortuner รุ่นปรับปรุงใหม่ ระบบสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว และราบรื่นยิ่งขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างไม่หยุดยิ้ง เพื่อสร้างประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดีให้กับผู้บริโภคอย่างแท้จริง
อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญสำหรับสเตชั่นการขับขี่แบบ Off Road ก็คือ การทดลองระบบป้องกันล้อหมุนฟรี A-TRC (Active Traction Control) ซึ่งพื้นฐานในการทำงานของระบบนี้ก็คือ การประมวลผลจากอาการหมุนฟรีของแต่ละล้อ ซึ่งเมื่อล้อใดล้อหนึ่งมีการหมุนฟรี เซ็นเซอร์จะจับอาการเพื่อสั่งเบรกในล้อที่เกิดการหมุนฟรี เพื่อสร้างแรงยึดเกาะและส่งถ่ายกำลังขับเคลื่อนให้กับล้อที่เหลือ อันเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ Toyota Fortuner ฝันฝ่าทุกอุปสรรคที่ขวางกั้นไปได้อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งไม่ว่าจะต้องเจอกับสภาพเส้นทางในรูปแบบใด การทดลองขับในครั้งนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า Toyota Fortuner พร้อมจะก้าวสู่จุดหมายข้างหน้าอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้
หลังจากที่ได้ทดลองขับในรูปแบบ Off Road กันมาอย่างเข้มข้น ก็ได้เวลาปรับอารมณ์เข้าสู่โหมดปกติสำหรับการขับขี่บนถนนทั่วไป ในสภาพภูมิประเทศที่หลากหลายให้ได้ทดลองกันแบบครบรส ไม่ว่าจะเป็นทางตรงยาวๆ ที่สามารถใช้งานเร็วได้สูง ทางขึ้น-ลงเขาคดโค้ง ให้ได้สัมผัสถึงอัตราเร่งและประสิทธิภาพในการทรงตัว โดยรุ่นแรกที่ทาง BoxzaRacing ได้ทดลองสัมผัสเลยก็คือ รุ่น 2.4V ขับเคลี่อน 4 ล้อ โดยผมรับบทเป็นผู้โดยสารในตอนหลัง (ร่วมกับเพื่อนสื่อมวลชนรวม 4 ชีวิต) สิ่งที่สัมผัสได้ในทันทีที่ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถเลยก็คือ เรื่องของภาพลักษณ์ที่หรูหราจากการออกแบบห้องโดยสารมาในโทนสีน้ำตาลเข้ม (ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมประทับใจในสีสันมากกว่าสีน้ำตาลอ่อนที่อยู่ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร เสียอีก) เรื่องของฟีลลิ่งในการนั่ง ในความรู้สึกที่สัมผัสได้ คือ ความนุ่มสบายตามที่ทางค่ายวางคอนเซ็ปท์ไว้ สำหรับการนั่งโดยสารเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการนั่งในซีดานหรูเข้าไปทุกขณะ แต่สิ่งที่เหนือกว่าชัดๆ เลยก็คือ เรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ปลั๊กไฟ หรือที่วางแก้วน้ำต่างๆ ที่มีให้ใช้งานกันอย่างจุใจเลยทีเดียว ด้านอัตราเร่งสำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ อาจไม่ได้ดุดันเหมือนกับคู่แข่งในพิกัด 2.4-2.5 ลิตร ที่ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวแล้วเค้นให้แรง แต่ก็ถือว่าแรงม้าในระดับ 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดในระดับ 400 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่ 1,600-2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้พละกำลังที่เพียงพอต่อทุกการใช้งาน โดยเฉพาะการเดินทางในรูปแบบครอบครัวไม่มีขาดตกบกพร่อง ซึ่งการไม่ได้รีดเค้นพละกำลังของเครื่องยนต์ให้สูงจนเกินจำเป็น ก็ย่อมส่งให้การใช้งานในระยะยาว สามารถทำได้อย่างมีเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย
ภายในของรุ่น 2.8 ลิตร (ขับเคลื่อน 4 ล้อ) มาในสีครีมชามัวร์ ให้ความรู้สึกโปร่ง สบาย
หากชอบความเคร่งขรึม สีสันภายในของรุ่น 2.4 ลิตร (รวมถึงรุ่นอื่นๆ ที่ไม่ใช่ 2.8 รุ่นท็อป) อาจตอบโจทย์มากกว่า
หลังจากที่เดินทางกันมาสักระยะ BoxzaRacing พร้อมสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทางด้วยกันมาอีก 3 ชีวิต ก็มีโอกาสได้สลับรถไปทดลองขับในรุ่น 2.8 ลิตร กันบ้าง โดยครั้งนี้ผมรับบทเป็นผู้ขับขี่ด้วยตัวเอง สิ่งที่สัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนก็คือ เรื่องของพละกำลัง ซึ่งในรุ่นเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร เหนือกว่าอย่างรู้สึกได้ ด้วยตัวเลข 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที พร้อมแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร ที่มีช่วงให้ใช้ยาวๆ กว่า คือ ตั้งแต่ 1,600-2,400 รอบ/นาที ด้วยความที่มีแรงบิดให้ใช้มากกว่า ในย่านกำลังที่กว้างกว่า ส่งผลให้การเรียกกำลังของเครื่องยนต์ออกมาใช้ทำได้ง่ายกว่า สามารถเลือกจับคู่กับเฟืองท้ายในอัตราทดที่ต่ำกว่า คือ 3.909 (สำหรับรุ่น 2.4 ลิตร ใช้เฟืองท้าย 4.100 โดยมาพร้อมอัตราทดเกียร์เดียวกันสำหรับเครื่องยนต์ทั้ง 2 บล็อค) สิ่งที่ได้มาก็คือ เรื่องของอัตราการสิ้นเปลืองที่ดีมากขึ้น เพราะรอบเครื่องยนต์ต่ำกว่าในการเดินทางที่ความเร็วเดียวกันนั่นเอง ในส่วนของการเร่งแซงสำหรับรุ่นเครื่องยนต์บล็อก 2.8 ลิตร ต้องบอกว่าทำได้อย่างเฉียบขาด และมั่นใจกว่าอย่างรู้สึกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่อดชื่นชมไม่ได้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักที่ช่วยเปลี่ยนคาแร็กเตอร์ของตัวรถไปอย่างชัดเจนเลยก็คือ เรื่องของระบบเบรกที่ได้รับการอัพเกรดเป็นดิสค์เบรกทั้ง 4 ล้อ ส่งผลให้ความรู้สึกในการเบรกทำได้อย่างรวดเร็วและกระชับมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ทุกการชะลอความเร็วทำได้อย่างมั่นใจและมีความนุ่มนวลตามคาแร็กเตอร์ของระบบเบรกแบบนี้ โดยหากพูดถึงเรื่องของความหนักแน่นและพละกำลังในการเบรก อาจจะยังเป็นรองระบบดรัมเบรกอยู่เล็กน้อย ซึ่งตรงจุดนี้ ต้องบอกว่าแต่ละระบบ ย่อมมีจุดเด่นหรือข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันออกไป ไม่สามารถชี้วัดได้อย่างเด็ดขาดว่า อะไรดีหรือด้อยกว่ากัน
Toyota Fortuner รุ่นปรับปรุงใหม่ ในภาพรวมแล้วก็ยังถือว่าเป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์อีกหนึ่งรุ่นที่เรียกได้ว่าน่าคบหา โดยเฉพาะกับทางเลือกใหม่อย่างรุ่น 2.4V ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการฟังค์ชั่นครบๆ แต่ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเกินจำเป็น ซึ่งเมื่อเทียบกับส่วนต่างราว 1.5 แสนบาท ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับสายลุยขนานแท้ ที่เวลาเอาไปลุยกันจริงๆ แล้ว แทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างพละกำลังของเครื่องยนต์ 2 บล็อกนี้เลยแม้แต่น้อย
Toyota Fortuner รุ่นปรับปรุงใหม่
รุ่น 2.8V 4WD ราคา 1,649,000 บาท
รุ่น 2.8V ราคา 1,579,000 บาท
รุ่น 2.7V ราคา 1,569,000 บาท
รุ่น 2.4V 4WD ใหม่ ราคา 1,499,000 บาท
รุ่น 2.4V ราคา 1,419,000 บาท
รุ่น 2.4G เกียร์ธรรมดา ราคา 1,239,000 บาท