Toyota Corolla Altis โฉมใหม่ กับภาพลักษณ์แห่งความล้ำสมัย เร้าใจกว่าที่เคยเป็น
เมื่อช่วงปลายปีก่อน ทางค่าย Toyota ได้ฤกษ์เผยโฉมยนตรกรรมซีดานยอดนิยมของเมืองไทย อีกหนึ่งยานยนต์นั่งระดับตำนานแห่งท้องถนนอย่าง Toyota Corolla Altis เจนเนอเรชั่นที่ 11 ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ เป็นการปรับภาพลักษณ์ในรูปแบบ Minor Change ให้ซีดานผู้นี้ เป็นรถที่เปี่ยมด้วยความเป็นสปอร์ต พร้อมสร้างความตื่นเต้น เร้าใจให้กับทุกการเดินทางภายใต้คอนเซ็ปท์ So Excite Ever
Toyota Corolla Altis รุ่น ESport Option ขีดสุดความเป็นสปอร์ต สะดวกสบายทุกการเคลื่อนไหว
Toyota Corolla Altis 1.8V ครบเครื่อง เร้าใจ ที่สุดแห่งความเหนือระดับ
สำหรับรายละเอียดโดยรวมของ Toyota Corolla Altis โฉมไมเนอร์เชนจ์ ได้รับการปรับภาพลักษณ์ให้มีความรู้สึกที่ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น โดยได้รับการอัพเกรดคุณภาพด้วยแนวคิดหลัก 4 ประการ อันได้แก่ Safety คือ ชูจุดเด่นในเรื่องความปลอดภัย เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับผู้ใช้, Quality ซึ่งเน้นการปรับปรุงในเรื่องของคุณภาพให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า, Durability หนักแน่นในเรื่องของความทนทาน รองรับการใช้งานได้อย่างไร้ปัญหา อันเป็นจุดแข็งที่ทางค่ายยึดถือมาโดยตลอด และปิดท้ายด้วยเรื่องของความน่าเชื่อถือ หรือ Reliability เริ่มต้นด้วยการปรับโฉมภายในที่ให้ความสปอร์ต หรูหรายิ่งขึ้นร่วมกับการบรรจุออพชั่นใหม่ เพื่อความปลอดภัยที่เหนือระดับ มอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่นุ่มนวล สะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมขุมพลังเบ็นซิน 1.8 ลิตร และ 1.6 ลิตร ตามรุ่นย่อย โดยไฮไลท์หนึ่งของการปรับโฉมในครั้งนี้ก็คือ การเพิ่มรุ่นย่อยอย่าง ESport Option สำหรับผู้ที่ต้องการความเร้าใจ ที่ยังคงไว้ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีมาให้แบบครบครัน
ไฟหน้า Bi-Beam LED Projector พร้อมไฟเดย์ไลท์ LED
ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ในรุ่น ESport โอบรัดด้วยยางขนาด 215/45/17
Toyota Corolla Altis ได้รับการดีไซน์ใหม่ สปอร์ต โดดเด่น ล้ำสมัยยิ่งขึ้น ทั้งการปรับโฉมโคมไฟหน้าใหม่ที่โฉบเฉี่ยว เร้าใจ มอบความสว่างอย่างเหนือชั้นด้วยไฟหน้า Bi-Beam LED Projector พร้อมระบบปรับระดับ และควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ตามสภาพแสง, เสริมด้วยไฟส่องกลางวัน LED Daytime Running Lights, กระจังหน้าโครเมียม, กันชนดีไซน์ใหม่ พร้อมไฟตัดหมอก, กระจกมองข้างปรับ และพับเก็บด้วยไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว, ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาและตั้งเวลาได้แบบอัตโนมัติ, มือเปิดประตูสีเดียวกับตัวรถพร้อมแถบโครเมียม, คิ้วขอบกระจกประตูและคิ้วฝากระโปรงท้ายโครเมียม, ไฟท้าย LED แบบ Light Guiding พร้อมครีมแหวกอากาศที่ไฟท้าย, แผ่นกันความร้อนใต้ฝากระโปรง และล้ออัลลอย 16 นิ้ว โอบรัดด้วยยาง 205/55/16 ส่วนในรุ่น ESport ทางค่ายเติมเต็มความเร้าใจด้วยการติดตั้งชุดแอโร่พาร์ทมาให้จากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็น สปอยเลอร์หน้า-หลัง ปลายท่อไอเสียดีไซน์สปอร์ต ดิฟฟิวเซอร์ รวมถึงไฮไลท์ที่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือ ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ที่รัดด้วยยางสปอร์ตขนาด 215/45/17
มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron พร้อมจอแสดงข้อมูลแบบ MID
เบาะหนัง นั่งสบาย โอบกระชับทุกการเคลื่อนไหว
ระบบความบันเทิง พร้อมเนวิเกเตอร์ในรุ่น 1.8V
ห้องโดยสารของ Toyota มาพร้อมมาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron พร้อมจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID วางอยู่ด้านหลังของพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นที่สามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์แบบ Sequential เบาะนั่งคู่หน้าแบบปรับไฟฟ้า หุ้มหนังและหนังสังเคราะห์สีดำ, เบาะนั่งด้านหลังแบบแยกพับได้แบบ 60:40 สามารถปรับเอนได้เล็กน้อย เครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ, ฟังค์ชั่น Push Start และระบบเปิดประตู Smart Entry ตั้งแต่รุ่น ESport ขึ้นไป ทางด้านระบบความบันเทิง ประกอบไปด้วยเครื่องเล่น DVD / CD / MP3 / WMA พร้อมจอสัมผัส 7 นิ้ว พร้อมช่องต่อ AUX / USB ด้านหน้า กับช่องต่อ USB ด้านหลัง, ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย และลำโพง 4-6 ตำแหน่ง โดยในรุ่น 1.8V จะมีระบบนำทาง Navigator ติดตั้งมาให้เรียบร้อย
ขุมพลัง Dual VVT-i พิกัด 1.8 ลิตร ให้สมรรถนะที่เร้าใจอย่างเหนือชั้น
เกียร์ Super CVT-i 7 สปีด แบบ Gate-type พร้อม Sequential Shift
Toyota Corolla Altis มาพร้อมขุมพลังที่มีให้เลือก 2 บล็อก เริ่มตั้งแต่เครื่องยนต์ 2ZR-FBE Dual VVT-i 4 สูบ 16 วาล์ว 1.8 ลิตร หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI มอบกำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมอีกหนึ่งทางเลือกแห่งความคุ้มค่าด้วยเครื่องยนต์ 1ZR-FBE Dual VVT-i 4 สูบ 16 วาล์ว 1.6 ลิตร หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI ให้สมรรถนะสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 157 นิวตัน-เมตร ที่ 5,200 รอบ/นาที (เฉพาะรุ่น 1.6 E CNG มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่รองรับระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ CNG จ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีด พร้อมถังก๊าซ 75 ลิตร ที่ทำจาก Chromium Molybdenum Steel) ระบบส่งกำลังมาในรูปแบบของเกียร์ Super CVT-i 7 สปีด แบบ Gate-type พร้อม Sequential Shift นอกจากนี้ในรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร จะมาพร้อม Sport Drive Mode เพื่อรีดประสิทธิภาพการขับขี่แบบสปอร์ตที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น
ด้านช่วงล่างมาพร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง กับระบบกันสะเทือนหลังแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง ทั้งหมดได้มีการปรับแต่งเพื่อเพิ่มความนุ่มนวลและความมั่นคงมากขึ้น ให้เสถียรภาพในทุกสภาพถนนพร้อมมั่นใจในทุกสถานการณ์การขับขี่, ระบบเบรกประกอบไปด้วยดิสก์เบรกสี่ล้อ และบังคับเลี้ยวด้วยพวงมาลัยไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) และที่สำคัญยังได้บรรจุระบบความปลอดภัยแบบจัดเต็ม ประกอบไปด้วย โครงสร้างนิรภัย GOA, ระบบเบรก ABS, EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, TRC, ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control), ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS คู่หน้า ด้านข้าง ม่านด้านข้าง หัวเข่าด้านคนขับ, ระบบป้องกันการโจรกรรม Immobilizer, ระบบสัญญาณเตือนการโจรกรรม TDS
การทดลองขับขี่ Toyota Corolla Altis ในครั้งนี้ ทางค่ายยังคงเริ่มที่การวอร์มเพื่อทำความคุ้นเคยกับตัวรถ รวมถึงทดลองใช้ตัวช่วยเติมความปลอดภัยต่างๆ กันที่ Toyota Driving Experience เช่นเคย โดยในครั้งนี้ ทางค่ายเติมความพิเศษเล็กน้อย ด้วยการให้ผู้ที่ทดลองขับได้สัมผัสประสิทธิภาพของทั้งรุ่น 1.8V และรุ่น ESport ซึ่งผลที่ได้จากการทดลองขับในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าการสลาลามระยะกระชั้นชิดในความเร็วต่ำ, การสลาลอมและเลี้ยวโค้งที่ย่านความเร็วสูง การหักหลบสิ่งกีดขวางแบบกะทันหัน รวมถึงการทดสอบเรื่องความนุ่มนวลในสภาพถนนขรุขระ ก็พบว่า Toyota Corolla Altis ในรุ่น ESport ให้ความรู้สึกของช่วงล่างที่เฟิร์มกว่ารุ่น 1.8V เล็กน้อย ด้วยการปรับรายละเอียดในส่วนของช่วงล่าง เพื่อให้รองรับรูปแบบการขับขี่สไตล์สปอร์ต ประกอบกับชุดยางที่ซีรีย์ต่ำและมีหน้ากว้างที่มากกว่า ทำให้การบังคับเลี้ยวทำได้อย่างเฉียบคมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง แต่สิ่งที่เหนือกว่าในรุ่น 1.8V ก็คือ เรื่องของความนุ่มนวล เหมาะกับการใช้งานทั่วๆ ไป ที่เน้นในเรื่องของความสะดวกสบายเป็นหลัก
หลังจากที่อุ่นเครื่องกันใน Toyota Driving Experience กันมาแบบพอหอมปากหอมคอ การเดินทางก็เริ่มขึ้น โดยทริปนี้ใช้เส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ อ.หัวหิน ในระยะทางประมาณ 200 กม. โดยรุ่นที่ทาง BoxzaRacing ได้ทดลองขับในครั้งนี้ ก็คือ Toyota Corolla Altis รุ่น ESport Option ร่วมกับสื่อมวลชนสำนักดัง และทีมงานรวม 3 ชีวิต หลังจากเข้าไปในห้องโดยสาร ผู้ขับก็จัดการปรับเบาะให้เข้ากับสรีระ ซึ่งสำหรับคนที่มีรูปร่างปานกลาง ถือว่าจัดท่าทางการขับขี่ได้ไม่ยาก และมีความเหมาะสม ลงตัว ทำให้เริ่มการเดินทางได้อย่างมั่นใจ การจราจรในช่วงแรกนั้น ต้องบอกว่าค่อนข้างแออัดตั้งแต่ช่วงบางนา – พระราม 2 เนื่องจากรถค่อนข้างหนาแน่น ไม่สามารถใช้ความเร็วได้สูงนัก แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จาก Toyota Corolla Altis รุ่น ESport Option ก็คือ เรื่องของความคล่องตัว ที่สามารถเปลี่ยนช่องทางต่างๆ ได้โดยง่าย และมีความเฉียบคม เช่นเดียวกับระบบเครื่องยนต์ที่ให้การตอบสนองอย่างโดดเด่น แม้จะต้องเร่งๆ หยุดๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่ซีดานผู้นี้ก็ทำได้แบบไร้ปัญหา
การทรงตัวในย่านความเร็วสูง ถือว่าทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจทุกย่างก้าว
จนกระทั่งเลยช่วงมหาชัย สภาพการจราจรก็เริ่มโฟล์วขึ้น ทำให้สามารถใช้ความเร็วได้สูง เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร จับคู่เกียร์ Super CVT-i 7 สปีด ยังคงให้อัตราเร่งที่โดดเด่น เปลี่ยนเกียร์ตามความเร็วได้อย่างเหมาะสม โดยหากต้องการความเร้าใจอีกระดับ ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ Paddle Shift ที่ติดตั้งมาให้ รวมถึงปุ่มสปอร์ตโหมด ที่ช่วยเรียกรอบเครื่องยนต์ขึ้นมาอีกเล็กน้อย ส่งให้ตัวรถดูกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น ที่ความเร็วเดินทางราว 110-120 กม./ชม. หรือสูงกว่านั้นในบางจังหวะ ช่วงล่างของ Toyota Corolla Altis รุ่น ESport Option ยังคงให้ประสิทธิภาพในการทรงตัวที่โดดเด่น สร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับระบบเบรกที่ทำงานได้อย่างใจสั่ง ส่งแรงลงไปเล็กน้อยก็พร้อมที่จะชะลอความเร็วได้อย่างนุ่มนวล แต่ถ้าต้องการแรงเบรกที่มากขึ้น ก็เพียงเพิ่มแรงที่แป้นเบรกเล็กน้อย ตัวรถก็สามารถหยุดได้อย่างมั่นใจในทุกย่านความเร็ว โดยสิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมสำหรับการขับขี่ในย่านความเร็วสูง นั่นก็คือ เรื่องของเสียงรบกวน ทั้งจากลมปะทะ พื้นถนน รวมถึงเสียงจากการทำงานของเครื่องยนต์ เรียกได้ว่าเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารอย่างแผ่วเบา ซึ่งแน่นอนว่าไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
Toyota Corolla Altis ซีดานผู้ครบเครื่อง พร้อมตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการรถแนวนี้อย่างแท้จริง
Toyota Corolla Altis จัดเป็นอีกหนึ่งยนตรกรรมซีดานที่มาพร้อมมาตรฐานในระดับสูง สมกับความเป็นซีดานที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดตลอดกาล ด้วยความครบเครื่องทั้งในส่วนของภาพลักษณ์ ประสิทธิภาพการขับขี่ หรือแม้แต่ในเรื่องของความทนทาน บริการหลังการขายที่โดดเด่น และค่าตัวที่สมเหตุสมผล เมื่อมองทุกองค์ประกอบแล้ว จัดว่าเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจะครองใจผู้ใช้รถใช้ถนนไปได้อีกนานเท่านานเลยทีเดียวครับ