Test Drive…Suzuki Ertiga แก่นแท้แห่งยนตรกรรมสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ตอบรับทุกการใช้งานอย่างลงตัว
Suzuki Ertiga เปิดตัวในตลาดประเทศไทยเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ในฐานะรถครอบครัวสำหรับคนรุ่นใหม่ที่พร้อมตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย ภายใต้ค่าตัวที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ไม่ยากนัก มาในวันนี้ ทางค่าย Suzuki ได้ทำการปรับโฉมของ Suzuki Ertiga พร้อมเติมลูกเล่นให้ตัวรถมีความหรูหรามากขึ้นไปอีกระดับ เรียกได้ว่าเพียงได้สัมผัสภาพลักษณ์ภายนอก ก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงขอยนตรกรรมสำหรับครอบครัวผู้นี้ได้ทันที
ในโอกาสนี้ ทาง BoxzaRacing ได้รับเกียรติจากทาง ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ให้ร่วมสัมผัสสมรรถนะของ Suzuki Ertiga ใหม่ บนเส้นทางจากจังหวัดพิษณุโลก มุ่งหน้าสู่จังหวัดสุโขทัยเพื่อเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์สังคโลก และจังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อนจะวนกลับมายังจังหวัดพิษณุโลกอีกครั้ง รวมระยะทางราว 300 กม. เพื่อให้ได้สัมผัสถึงฟีลลิ่งการขับขี่และการเดินทางด้วยรถครอบครัวอย่าง Suzuki Ertiga กันแบบเต็มๆ ซึ่งก่อนที่จะออกเดินทาง ก็มีการบรีฟเส้นทางพร้อมให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถ Suzuki Ertiga ไม่ว่าจะเป็นรุ่นท็อปอย่าง Dreza ที่มาพร้อมภาพลักษณ์ใหม่ที่โดดเด่นเกินใคร หรือแม้แต่รุ่น GL ที่ออกแบบมาเพื่อคนที่ชื่นชอบความคุ้มค่าโดยเฉพาะ โดยรุ่นที่ทาง BoxzaRacing ได้ทดลองขับ คือ รุ่น Dreza ที่มาพร้อมออพชั่นแบบจัดเต็มกว่า ไม่ว่าจะเป็นภายในที่มาพร้อมเบาะนั่งสีทูโทนดูสง่างาม พร้อมอัดแน่นด้วยประโยชน์ใช้สอยสำหรับการเดินทางในรูปแบบครอบครัว โดยเบาะนั่งมาในรูปแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่เบาะนั่งตอนที่ 2 สามารถพับแบบและปรับเอนได้แบบ 60 : 40 ส่วนตอนที่ 3 สามารถพับได้แบบ 50 : 50 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระ
สำหรับการทดลองขับในครั้งนี้ ทาง Suzuki จำลองรูปแบบการใช้งานจริง โดยในแต่ละคันจะนั่ง 4 คน รวมน้ำหนักโดยสารประมาณ 250 กก. ซึ่งต้องมาดูกันว่าเครื่องยนต์ในพิกัด 1.4 ลิตร 92 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ จะตอบสนองการใช้งานได้ดีขนาดไหน โดยก่อนอื่นคนต้องอธิบายก่อนว่า ที่แรงม้าปรับลดลงจากรุ่นก่อน (94 แรงม้า) เป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างเรื่องการปลดปล่อยมลพิษในปี 2559 นั่นเองครับ
ออกสตาร์ทในช่วงเช้าที่ตัวเมืองพิษณุโลกมุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลข 12 มุ่งหน้าสู่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยผมเริ่มสตาร์ทตัวเองด้วยการเป็นผู้โดยสารในเบาะแถวที่ 2 ก่อน ความรู้สึกในการนั่งถือว่าทำได้อย่างน่าพอใจ ตัวเบาะออกแบบมาได้พอดี รับกับสรีระ และสามารถปรับเอนได้ช่วยสร้างความผ่อนคลายได้ในระดับที่น่าพอใจ (มาก) เช่นเดียวกับพื้นที่วางเท้าที่มีระยะห่างจากเบาะนั่งด้านหน้าเหลือเฟือ ให้ความรู้สึกโปร่ง สบายยามเดินทาง ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูด้วยว่าต้องการเหลือพื้นที่สำหรับเบาะนั่งแถวที่ 3 มากน้อยขนาดไหน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว แถวหลังสุดน่าจะเหมาะกับน้องๆ หนูๆ เท่านั้นครับ ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ท่านๆ แทบจะหมดสิทธิ์ เรื่องฟีลลิ่งของช่วงล่างที่สัมผัสได้จากการเป็นผู้โดยสาร คือ ในย่านความเร็วต่ำตัวรถอาจจะมีอาการดีดนิดๆ ซึ่งไม่ถึงกับเรียกว่ากระด้างอะไรมากมาย แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้นในระดับที่ใช้เดินทางปกติทั่วไปราว 90-120 กม./ชม. ช่วงล่างเซ็ตนี้กลับให้ให้รู้สึกที่ดี นุ่มหนึบกำลังพอเหมาะ เมื่อจับคู่กับเบาะนั่งที่ได้ให้คอมเม้นท์ไปในเบื้องต้นแล้ว จะบอกว่า “นั่งแล้วหลับสบาย” ก็คงจะเป็นคำพูดที่ไม่ผิดนัก
เมื่อถึงเวลาอันควร ผมมีโอกาสสลับมาเป็นผู้ขับบ้าง โดยเส้นทางที่ขับจะเป็นช่วงจากจังหวัดสุโขทัย มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเส้นทางส่วนใหญ่จะเป็นถนนในรูปแบบ 2 เลนสวนกัน สลับกับโค้งในรูปแบบที่หลากหลายทั้งกว้างและแคบ รวมไปถึงในบางพื้นที่ยังมีการปรับสภาพพื้นผิวถนน ทำให้เราได้สัมผัสอรรถรสการขับขี่ที่หลากหลายทีเดียว โดยทันทีที่เริ่มขับสิ่งที่แอบสงสัยมาโดยตลอดอย่างเรื่องอัตราเร่ง ก็ถูกคลายโดยพลัน เพราะทันทีที่แตะคันเร่งเพียงเบาๆ ตัวรถ Suzuki Ertiga ก็พร้อมจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วทันใจ มีอาการอืดอาดอย่างที่กังวลไปก่อนหน้านี้ อัตราเร่งในย่านใช้งาน 90-110 กม./ชม. ทำได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะต้องแลกมาด้วยการใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงไปบ้าง แต่ยังไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาในจุดนี้ การเร่งแซงยังคงทำได้ดี ไม่ถึงกับต้องลุ้นหรือสร้างความหวาดเสียวมากจนเกินงาม สำหรับรอบเครื่องยนต์ที่ใช้ในความเร็ว 100 กม./ชม. จะอยู่ที่ประมาณ 2,600-2,700 รอบ/นาที ซึ่งก็ถือว่าไม่มาก ไม่น้อยเกินไป ในเรื่องของการบังคับควบคุม ถือว่าทำได้อย่างน่าพอใจ การเข้าโค้งในรูปแบบต่างๆ ถือว่าทำได้ดี นิ่ง เกาะถนน ตามแบบฉบับของ Suzuki แม้ขับขี่ในย่านความเร็วสูงถึง 160 กม./ชม. ก็ยังถือว่าทรงตัวได้ไม่เลวเลยทีเดียว จะมีเรื่องที่ยังคาใจอยู่เล็กน้อยก็เพียงว่า...น้ำหนักพวงมาลัยอาจจะเบาไปสักนิดในย่านความเร็วสูง ทำให้รู้สึกเหมือนต้องประคองพวงมาลัยให้รถวิ่งตรงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งข้อนี้...เป็นความรู้สึกโดยส่วนตัวเท่านั้น ผมมีโอกาสพุดคุยกับเพื่อนสื่อมวลชนจากสำนักต่างๆ บางท่านก็ไม่รู้สึกถึงอาการนี้ครับ
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การขับขี่ในสภาพเส้นทางที่ขรุขระ นอกจาก Suzuki Ertiga จะยังคงให้การทรงตัวที่ดีแล้ว ยังให้ความนุ่มนวล เหมาะกับทุกรูปแบบการเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ความบันเทิงที่จัดมาให้ ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน ไม่ได้เวอร์วังอลังการมากนัก แต่ถ้าไม่ได้คาดหวังอะไรมากเกินไป สิ่งที่มีให้ทั้งเครื่องปรับอากาศทั้งสำหรับห้องโดยสารตอนหน้าและตอนหลัง สามารถกระจายความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนสื่อมวลชนทุกสำนักต่างเอ่ยป่ากชม เครื่องเล่น CD MP3,USB พร้อมช่องเสียบไฟ 12 โวลต์ ทั้งตอนหน้าและหลัง ก็ถือว่าตอบสนองได้อย่างเพียงพอแล้วครับ
Suzuki Ertiga จัดว่าเป็นยนตรกรรมที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวยุคใหม่ที่อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยค่าตัวที่เข้าถึงได้ง่าย กับออพชั่นภายในที่สามารถใช้งานได้อย่างเพียงพอทุกการเดินทาง พ่วงท้ายด้วยเรื่องของสมรรถนะที่มีความโดดเด่น ซึ่งคงไม่มีคำใดที่จะเหมาะไปกว่าคำว่า “คุ้มค่า” อย่างแน่นอนครับ