ในตลาดรถยนต์ในประเทศไทยนั้น การแข่งขันในรถกลุ่ม SUV นั้นต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ดุเดือดกันเป็นอย่างมาก เพราะในแต่ละค่ายต่างนำเสนอผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ที่มากับสุดยอดเทคโนโลยี และฟังช์ชั่นที่แบบจัดเต็ม ออกมากันอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งงัดกลยุทธ์การขาย รวมทั้งราคาที่เย้ายวนใจ พอที่จะเอื้อมเอมาไว้ในครอบครอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากกำลังว่ามองหารถ SUV ที่เปี่ยมไปด้วยความสะดวกสบาย อีกทั้งยังเป็นโมเดลใหม่ของแต่ละค่าย ที่มีระยะเวลาเปิดตัวออกมาใกล้เคียงกัน ไม่หนีกันมากมายหนัก ถึงแม้จะมีขุมพลังที่แตกต่างกัน แต่ในราคาค่าตัวนั้นจัดว่าใกล้เคียงกันมาก วันนี้ทางทีมงาน BoxzaRacing จึงได้จับคู่เปรียบเทียบรถ SUV รุ่นใหม่ที่ร้อนแรงพอฟัดกันในตลาดขณะนี้อย่าง Mazda CX-30 SP และ MG HS Turbo X ที่เป็นรุ่น Top ของแต่ละค่าย วัดกันให้เห็นว่าคันไหนที่จะตอบโจทย์ความเป็น SUV สำหรับคุณ กับราคาที่แตกต่างกัน 9 หมื่นบาท ไปดูรายละเอียดของแต่ละคันกันว่าดีเด่นต่างกันอย่างไร
รุ่น | ราคา |
Mazda CX-30 SP | 1,199,000 บาท |
MG HS Turbo X | 1,119,000 บาท |
เทียบรูปทรงภายนอก
Mazda CX-30 SP
Mazda CX-30 SP รูปลักษณ์ภายนอกปรับเปลี่ยนใหม่หมดจด ภายใต้ดีไซน์จาก โคโดะ ตามคอนเซ็ปต์ “Less is More” เรียบง่ายแต่งดงาม โดยยึดโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมทั้งหมดมาจาก Mazda3 โมเดลล่าสุด ทั้งโครงสร้างตัวถัง สไตล์การออกแบบภายนอก และภายในห้องโดยสาร รวมถึงเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบเบรก เพียงแต่ว่ามีการปรับจูนใหม่ให้เหมาะสมกับคุณลักษณะที่ดีในสไตล์ SUV ให้มากขึ้น มากับตัวถังที่ยกสูงกว่ารถเก๋ง ซึ่งสุงจากพื้นอยู่ที่ 175 มม. จึงรองรับการใช้งานที่ได้มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถที่จะลุยได้ในทุกสภาพเส้นทาง
กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ชุดไฟหน้าเป็น LED มาพร้อมไฟ Daytime Running Light ส่วนบริเวณซุ้มล้อที่มากับพลาสติกกันกระแทกสีดำ ด้านท้ายในชุดไฟท้ายเป็น LED ที่เป็นทรงกลมโดนัทออกแบบดีไซน์ให้เข้ากับชุดกันชนท้ายแบบทูโทนได้อย่างลงตัว ชุดล้ออัลลอยมีขนาดตั้ง 16 นิ้วไปจนถึง 18 นิ้ว ตามแต่ละรุ่นย่อยขนาด 18 นิ้ว และ 16 นิ้ว
MG HS Turbo X
MG HS Turbo X เป็น SUV รุ่นใหม่ล่าสุดของทาง MG ที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “ELEGANCE” นิยามของ SUV ที่เหนือระดับเพื่อภาพลักษณ์ของความสำเร็จ สะท้อนรสนิยม และบ่งบอกความเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบของผู้ขับขี่พร้อมยกระดับมาตรฐานรถ SUV ไปอีกขั้นด้วยดีไซน์ล้ำสมัยทั้งภายนอก และภายใน อีกทั้งยังได้ติดตั้งอุปกรณ์ อำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัยอย่างครบครัน โดดเด่นด้วยเส้นสายตัวถังแบบ British Shoulder Line ที่เน้นเรื่องความโค้งมนของตัวรถ
กระจังหน้าดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ MG ซึ่งมาพร้อมแนวคิด Stella Magnetic Field ที่ได้แรงบันดาลใจ มาจากกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ดึงดูดเข้าหากัน ไฟหน้าโฉบเฉี่ยวแบบ LED Projector พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน DRL ไฟท้ายแบบ Space Light Field ยิ่งไปกว่านั้น ยังมาพร้อมไฟเลี้ยวทั้งด้านหน้าและหลังที่แสดงผลไล่ระดับแบบ Sequential ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 18 นิ้ว
มิติตัวถัง | Mazda CX-30 SP | MG HS Turbo X |
ความกว้าง (มม.) | 1,795 | 1,876 |
ความยาว (มม.) | 4,395 | 4,574 |
ความสูง (มม.) | 1,540 | 1,664 |
ระยะฐานล้อ (มม.) | 2,655 | 2,720 |
ระยะต่ำสุดจากพื้น (มม.) | 175 | 145 |
น้ำหนักรถ (กก.) | 1,412 | 1,570 |
ฟังช์ชั่นภายในห้องโดยสาร
Mazda CX-30 SP
ภายในห้องโดยสารของ Mazda CX-30 SP ดีไซน์ทุกมุมมมองให้สัมผัสถึงความพิถีพิถันในการออกแบบ โดยเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง เต็มเปี่ยมไปด้วยความหรูหรา มาพร้อมความสะดวกสบายทั้งในตำแหน่งขับขี่ และผู้โดยสารทุกที่นั่ง ที่สำคัญปรับขยายห้องโดยสารให้มีความกว้างขวางมากขึ้น เมื่อเทียบกับในตัว CX-3
พวงมาลัยมัลติฟังช์ชั่น ทรง 3 ก้าน มาพร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย หรือ Sport Paddle Shift สามารถปรับพวงมาลัยได้ 4 ทิศทาง, เบาะนั่งทรงสปอร์ตปรับได้ 10 ทิศทาง (เฉพาะฝั่งผู็ขับ) พร้อมกับมีระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่ได้ 2 ตำแหน่ง
แผงหน้าปัดมากับมาตรวัดดิจิตอลแบบ TFT LCD ขนาด 7 นิ้ว, รวมถึงติดตั้งหน้าจอ HUD ที่แสดงข้อมูลการขับขี่แบบสียิงสะท้อนบนกระจกตรงหน้าผู้ขับ, ระบบอินโฟเท้นเม้นท์มากับหน้าจอขนาด 8.8 นิ้ว ที่รองรับระบบ Apple CarPLAY
อีกทั้งยังพร้อมกับระบบเชื่อมต่อสื่อสาร Mazda Connect ผ่านปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander และระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Recognition) ด้านระบบเครื่องเสียงจะเป็นของทาง Bose ที่มากับลำโพง 12 ตัว, เสริมความหรูหรามีระดับด้วยหลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า, ส่วนระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, เบาะหลังสามารถปรับพับได้ 60:40 แยกอิสระ และประตูท้าย เปิด–ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
MG HS Turbo X
ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้มีความโค้งมนโอบรับสรีระ พร้อมการเล่นระดับมีสไตล์และตกแต่งด้วยวัสดุภายในให้สัมผัสนุ่ม (Soft Touch) ทั้งที่คอนโซลหน้า และแผงประตูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, เพิ่มความพรีเมี่ยมยิ่งขึ้นด้วยเบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าแบบ Bucket Seat ทรงสปอร์ตสีดำสลับแดงที่มี พร้อมหุ้มด้วยหนัง Alcantara, เบาะหลังนั่งสบายสามารถปรับพับได้แบบ 60:40 มาพร้อมสามารถปรับองศาได้ มากับที่วางแขนขนาดใหญ่, ไฟในห้องโดยสารจะเป็นแบบ Interactive Ambient Light ที่มีแสงต้อนรับทันทีที่เปิดประตู และสามารถปรับโทนแสงภายในห้องโดยสารได้มากถึง 64 เฉดสี รวมทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนแบบอัตโนมัติตามโหมดการขับขี่,
หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา ขนาดใหญ่ 1.1 ตารางเมตร ที่เพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง, หน้าจอแสดงผลที่มาตรวัดแบบ Interactive Multi – Function Display ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลทั้งเรื่องการขับขี่ ระบบความปลอดภัย ระบบความบันเทิง และระบบนำทาง พร้อมหน้าจอหลักแบบ Smart Touchscreen ขนาด 10 นิ้ว
พวงมาลัย มัลติฟังก์ชั่น ส่วนระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ Dual Zone มาพร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง, พร้อมกุญแจระบบ Smart Key และปุ่ม Push Start นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า (Electric Liftgate) ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน และอีกไฮไลท์ในตัว MG HS Turbo X นี้มาพร้อมระบบปฎิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่กับรถสามารถสื่อสารกันได้ เพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Smart Command ระบบสั่งการที่สามารถสั่งการได้ด้วยเสียงภาษาไทย ที่มีฟังก์ชั่นการสั่งการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การโทรออก สั่งการควบคุมระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ ระบบเปิด-ปิดหน้าต่างฝั่งคนขับ และระบบเปิด-ปิดหลังคาซันรูฟ รวมถึงค้นหาจุดที่น่าสนใจ ผ่าน Navigator เพื่อวางแผนการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังสามารถสั่งการระบบต่างๆ ผ่านหน้าจอทัชสกรีนภายในรถ หรือเลือกสั่งการผ่าน MG Mobile Application บนสมาร์ทโฟน Smart Connect ที่สามารถค้นหาเพลงฮิต เพลงดังผ่าน Online Music และค้นหาร้านอาหารเด็ด สถานที่ท่องเที่ยวและโรงแรม แสดงผลการจราจร รวมถึงอัพเดตข่าวสารในปัจจุบันบนหน้าจอในรถ และ Smart Check ที่สามารถตรวจสอบสถานะ และตรวจเช็กรถได้อย่างง่ายดาย ตลอดจนการสั่งการล็อกหรือปลดล็อก ประตูรถ ตรวจสอบตำแหน่งรถ แจ้งเตือนเมื่อพบสิ่งผิดปกติ และช่วยค้นหาศูนย์บริการ รวมถึงการบันทึกการดูแลรักษารถตามระยะ ผ่าน MG Mobile Application
สมรรถนะและประสิทธิภาพ
Mazda CX-30 SP
ด้านขุมพลังของ Mazda CX-30 SP จะมากับเครื่องยนต์ Skyactiv เบนซิน 2.0 ลิตร ที่ถูกพัฒนาขึ้นอีกระดับส่งผลให้มีกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 165 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 213 นิวตัน–เมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ Skyactiv-Drive ทำงานผ่านระบบ Activematic Mode อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันด้วยเทคโนโลยีที่ฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาไหม้โดยตรงทำให้มีอัตราส่วนกำลังอัด และแรงบิดสูง จึงทำให้ประหยัดน้ำมันสูงสุดที่ 15.4 กิโลเมตร/ลิตร
นอกจากนั้น Mazda CX-30 SP ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ทีจะช่วยให้รถเคลื่อนที่ไปอย่างนุ่มนวล และมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนระบบช่วงล่างเป็น MacPherson Strut ที่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นแบบกึ่งอิสระ Torsion Beam
MG HS Turbo X
MG HS Turbo X มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ TST (Twin Clutch Sportronic Transmission) แบบ 7 สปีด ให้พละกำลังสูงสุดถึง 162 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตัน-เมตร ในรอบที่ต่ำเพียง 1,700 รอบต่อนาที โดยสามารถทำความเร็ว 0 -100 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 10 วินาที พร้อมรองรับน้ำมัน E85 มาพร้อมปุ่มปรับโหมดการขับขี่ที่สามารถปรับรูปแบบการขับขี่ได้ถึง 4 โหมด คือ โหมด Normal สำหรับการขับขี่แบบทั่วไป โหมด Eco เพื่อการประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น โหมด Sport เพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่ และโหมด Custom ที่สามารถเลือกรูปแบบการขับขี่ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมปุ่ม Super Sport บนพวงมาลัยที่ช่วยเร่งพลังการขับขี่ให้แรงขึ้น เพิ่มอารมณ์การขับขี่ที่เร้าใจยิ่งขึ้น
ช่วงล่างตามแบบ Euro Tuning Suspension ที่ให้ทั้งความสบายและความมั่นใจในการ ขับขี่ด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบ MacPherson Strut ที่ได้รับการตั้งค่าให้เหมาะสมกับการขับขี่ของลูกค้า และช่วงล่างด้านหลังแบบ Multi-link ที่รองรับการขับขี่ในสภาพถนนที่หลากหลาย
Mazda CX-30 SP | MG HS Turbo X | |
รุ่นเครื่องยนต์ | Skyactive-G DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่ | DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo TGI |
ปริมาตรกระบอกสูบ (ซีซี.) | 2.0 | 1.5 |
ความกว้างกระบอกสูบ x ระยะชัก (มม.) | 83.5 X 91.2 | 74 x 86.6 |
อัตราส่วนกำลังอัด | 30 :1 | 10 : 1 |
กำลังสูงสุด (กิโลวัตต์ (PS) / รอบต่อนาที) | 165(121) / 6,000 | 162 (119) / 5,600 |
แรงบิดสูงสุด (นิวตัน - เมตร / รอบต่อนาที) | 213/4,000 | 250 / 4,400 |
ระบบส่งกำลัง | Skyactiv-Drive อีตโนมัติ 6 สปีด พร้อมแมนนวลโหมด Activematic | Twin Clutch Sportronic Transmission (TST) 7 Speeds |
อัตราทดเฟืองท้าย | 4.095 | 4.563/5.214 |
ระบบช่วงล่างหน้า | MacPherson Strut | MacPherson Strut |
ระบบช่วงล่างหลัง | กึ่งอิสระ Torsion Beam | แบบอิสระ Multi-link พร้อมเหล็กกันโคลง |
ขนาดล้อ และยาง | 215/55 R18 | 235/50 R18 |
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร) | 51 | 55 |
อุปกรณ์ความปลอดภัย
Mazda CX-30 SP
ด้านระบบความปลอดภัยของ Mazda CX-30 มากับระบบปลอดภัยระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยี i-ACTIVSENSE ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนาโดยเน้นการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุมากถึง 12 ระบบ
อีกทั้งยังปกป้องทันทีจากอุบัติเหตุด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมบริเวณหัวเข่าด้านคนขับ รวม 7 ตำแหน่ง
MG HS Turbo X
ส่วนระบบความปลอดภัยนั้นทาง MG HS Turbo X มากับโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยเหนือระดับมาตรฐานยุโรป หรือ Advanced Synchronized Protection System มากถึง 25 ระบบ ประกอบด้วยระบบ Synchronized Protection System ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุที่ช่วยทั้งเรื่องระบบเบรกและช่วยรักษาเสถียรภาพในการขับขี่ 14 ระบบ อาทิ ระบบควบคุม การเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบลดความเสี่ยงที่จะทำให้รถพลิกคว่ำ ARP (Anti Rolling Program) ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) และมีอีก 4 ระบบที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา ประกอบด้วย
รวมไปถึงระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) มากถึง 7 ระบบประกอบด้วย
บทสรุป
ในส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตาต้องบอกว่าเป็นในส่วนที่วัดกันได้ยากที่สุด อันนี้ขึ้นอยู่แต่ความชอบของส่วนบุคคล เพราะอย่างทาง Mazda จะมาในแนวญี่ปุ่นแบบ โคโดะดีไซน์ ตามคอนเซ็ปต์ “Less is More” เรียบง่ายแต่งดงาม ส่วน MG มาภายใต้แนวคิด “ELEGANCE” ที่ยกระดับความงดงามของ SUV ถ้ามองกันลึกๆยกนี้ คงต้องให้ MG HS Turbo X ที่ดูลงตัว และสวยกว่า
ส่วนเรื่องมิติตัวรถทาง MG HS จะใหญ่กว่าในทุกสัดส่วน รวมถึงน้ำหนักตัว ซึ่งอาจจะส่งผลไปถึงเรื่องอัตราเร่ง และการประหยัดน้ำมันเชื่้อเพลิงที่จะทำให้ Mazda CX-30 นั้นเชือดไปในยกนี้ รวมถึง Mazda CX-30 มีมากกว่านั้นคือความสูงจากพื้น ซึ่งจะทำให้การลุย และรองรับการใช้งานในในหลายหลายสภาพเส้นทางที่ได้มากขึ้น ส่วนระบบช่วงล่างของทั้งคู่จะจะมากับล้อขนาดเดียวกัน จะแตกต่างกันก็เพียงกว้างของหน้ายางเพียงเล็กน้อย ซึ่งผลลัพธ์จะใกล้เคียงกันมาก ส่วนช่่วงล่างด้านหลังนั้นจะมีความแตกต่างกันเพราะใช้กันคนละอย่าง โดยทาง Mazda CX-30 เป็นแบบ กึ่งอิสระ ทอร์ชั่นบีม ส่วน MG HS ใช้แบบ อิสระ มัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งในทางทฤษฐีแล้วในแบบแบบ อิสระ มัลติลิงก์ จะให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลกว่า แต่ทาง Mazda CX-30 จะไดตัว G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) เข้ามาช่วยซึ่งจะทำให้ รถเคลื่อนที่ไปอย่างนุ่มนวล และมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่การขับของแต่ละบุคคล ซึ่งจะให้ชวร์ และรรู้สึกจริงนั้นต้องไปลองด้วนตนเองว่าจะถูกจริตกับแบบไหน
อุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกของทั้ง 2 แบนรด์นี้ต่างขนของดีของตนมาอย่างครบครัน ทาง Mazda จะเด่นตรงหน้าจอ HUD เครื่องเสียงจะเป็นของทาง Bose ที่มากับลำโพง 12 ตัว ส่วนทาง MG HS หน้าจออินโฟเทนเม้นท์จะมีขนาดที่ใหญ่กว่า และระบบปฎิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่กับรถสามารถสื่อสารกันได้ เพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยรวมแล้วถือว่าใกล้เคียงกัน
ส่วนขุมพลังนั้นทาง MG HS จะมากับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ส่วนของทาง Mazda CX-30 จะใหญ่กว่าโดยเป็นขุมพลัง 2.0 ลิตร แต่ทาง MG HS จะได้ชุดเทอร์โบเข้ามาช่วย ซึ่งจะช่วยให้มีกำลังแรงม้านั้นใกล้เคียงกันโดยทาง Mazda CX-30 จะมีแรงม้าอยู่ที่ 165 แรงม้า ส่วน MG HS อยุ๋ที่ 162 แรงม้า ด้านในแรงบิดทาง MG HS จะมีมากกว่า โดยมีแรงบิดสูงสุดถึง 250 นิวตัน-เมตร ส่วน Mazda CX-30 จะมีเพียง 213 นิวตัน-เมตร ซึ่งจะส่งผลให้ในช่วงตีนต้นนั้นทาง MG HS จะออกตัวและมีกำลังตีนต้นที่ดี ส่วนในรอบปลายนั้นทาง Mazda CX-30 จะมา และดูดีกว่า
รวมถึงชุดระบบส่งกำลังที่ต่างอย่างชัดเจน ที่ของทาง Mazda CX-30 นั้นเป็นชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ Skyactiv-Drive ทำงานผ่านระบบ Activematic Mode ส่งผลให้มีอัตราเร่งแซง การตอบสนองของเกียร์อยู่ระดับที่ดี ส่วนทาง MG HS ใช้ชุดเกียร์ TST (Twin Clutch Sportronic Transmission) แบบ 7 สปีด โดยที่ชุดเกียร์นี้จะตอบสนองในการปรับเปลี่ยนอย่างนุ่มนวล ไม่เสียจังหวะ ทำงานได้อย่างรวดเร็ว
แต่อย่างไรก็ดีทั้ง 2 แบรนด์นี้จริงๆแล้วมีสเปคต่างกันไปตามสไตล์แต่ละคันชัดเจน คนที่จะตัดสินได้คือคุณ ซึ่งต้องไปลองขับรถจริง เพื่อหารถที่ตรงกับความต้องการของตนเอง และการใช้งานจริง ซึ่งการเปรียบเทียบดังกล่าวนี้ เป็นการวัดจากข้อมูล เพื่อนำมาเปรียบเทียบหาจุดเด่นของรถแต่ละรุ่น ก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าต้องการรถในรูปแบบใด สำหรับตอนหน้าจะเปรียบเทียบอะไรก็อย่าลืมติดตามชมกันให้ดีนะครับ