เขียนโดย: Monster Racing

เมื่อ: 23 กรกฏาคม 2561 - 15:13

Ford Ranger 2018 vs. Ranger Raptor ความเหมือนที่แตกต่าง กับงบที่ต้องเพิ่ม ได้อะไรบ้างไปดู !

          เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อย สำหรับรถกระบะเกิดมาแกร่ง Ford Ranger 2018 ซึ่งได้นำเอาเทคโนโลยีความแรงมาจากรถกระบะสมรรถนะสูงร่วมค่ายอย่าง Ford Ranger Raptor กับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ที่มอบสมรรถนะสูงถึง 213 แรงม้า และมอบแรงบิดมหาศาลระดับ 500 นิวตัน-เมตร ที่มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แต่ทว่าราคาของ Ford Ranger 2018 ในรุ่น Wildtrak 4×4 นั้น ถูกเปิดตัวมาที่ 1,265,000 บาท ส่วน Ford Ranger Raptor นั้น มีราคาจำหน่ายที่ 1,699,000 บาท ซึ่งมีความแตกต่างกันถึง 434,000 บาท ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องยนต์ และเกียร์แบบเดียวกัน วันนี้ทางทีมงาน BoxzaRacing จะพามาไขข้อข้องใจ ว่าจ่ายแพงกว่าแล้วได้อะไร ? และส่วนต่างจำนวนนี้ สามารถนำไปโมดิฟายให้เป็นแบบ Ranger Raptor ได้ไหม ? ไปหาคำตอบกัน

 

Ford Ranger 2018

 

Ford Ranger Raptor

 

ดีไซน์ และมิติตัวถังที่ต่างกัน

          สำหรับความแตกต่างแรกของ Ford Ranger 2018 และ Ranger Raptor คือ ในเรื่องของดีไซน์ และมิติตัวถัง โดย Ranger Raptor จะมีขนาดตัวถังที่กว้างกว่า 15 มม. และสูงกว่า 2 นิ้ว จากการใช้ยางแบบ All-Terrain ของ BF Goodrich ที่ขนาด 285/70 R17 โดยดีไซน์ของ Ranger Raptor นั้น จะมีความเร้าใจ และสมบุกสมบันกว่า ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกระจังหน้าอันดุดัน พร้อมตัวอักษร FORD ขนาดใหญ่, ชุดกันชนหน้า พร้อมการ์ดกันกระแทกใต้ท้อง, โป่งล้อขนาดใหญ่, ชุดกันชนหลัง และสติ๊กเกอร์ข้างกระบะบ่งบอกความเป็น Raptor ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถนำ Ford Ranger 2018 ไปตกแต่งเพิ่มเติมให้เป็น Ranger Raptor ได้ ในงบประมาณ 100,000-150,000 บาท (ราคาโดยประมาณ) แต่ก็จะไม่ได้รับการรับประกัน และมาตรฐานจากโรงงานเหมือนดังเช่น Ranger Raptor (ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสำนักแต่ง และวัสดุที่ใช้ในการตกแต่ง)

 

ภายในห้องโดยสารของ Ford Ranger 2018

 

ภายในห้องโดยสารของ Ford Ranger Raptor

 

ห้องโดยสารที่คล้ายกัน ต่างกันที่ Paddle Shift และโหมดการขับขี่

          สำหรับภายในห้องโดยสารของทั้ง 2 รุ่นนั้น มีความใกล้เคียงกัน เพียงแต่ Ranger Raptor นั้น จะมาพร้อมกับห้องโดยสารโทนสีดำดุ ตัดด้วยวัสดุโครเมียม พวงมาลัยมาพร้อมกับ Paddle Shift และด้ายขลิบแดงบ่งบอกความเป็น Raptor บนพวงมาลัย ส่วน Ranger 2018 จะมาพร้อมกับห้องโดยสารโทนสีดำ ตัดด้วยด้ายสีส้ม ซึ่งทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับระบบซิงค์ 3 (SYNC 3) รองรับ Apple Carplay / Andriod Auto พร้อมบลูทูธ และกล้องมองหลัง ผ่านจอทัชสกรีนจอสี ขนาด 8.0 นิ้ว และระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ นอกจากนั้น Ranger Raptor ยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกถึง 6 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต, โหมดหญ้า / กรวด / หิมะ, โหมดโคลน / ทราย, โหมดหิน และโหมดบาฮา ส่วนใน Ranger 2018 จะมีให้เลือกเพียง 3 โหมด เท่านั้น

 

เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ Bi-Turbo เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด สมรรถนะสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตัน-เมตร

 

เครื่องยนต์ และเกียร์ตัวเดียวกัน

          แน่นอนว่าไฮไลท์ของ Ford Ranger 2018 คือ การใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับ Ranger Raptor กับเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ที่มาพร้อมระบบ Sequentail Turbocharging ที่ผสานการทำงานของเทอร์โบชาร์จเจอร์ทั้ง 2 ตัว เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเต็มประสิทธิภาพ และมอบสมรรถนะสูงสุด โดยเทอร์โบชาร์จเจอร์ตัวแรกเป็นแบบเทอร์โบแปรผัน (Vartiable Turbocharger) จะช่วยเร่งการตอบสนองของคันเร่ง และลดช่วงการรอรอบ ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิด และแรงม้าสูงแม้ตอนใช้ความเร็วต่ำ ในขณะที่เทอร์โบชาร์จเจอร์ตัวที่ 2 ซึ่งเป็นระบบเทอร์โบ Fixed-geometry จะรับหน้าที่ต่อเพื่อเพิ่มกำลัง และความเรียบลื่นให้กับเครื่องยนต์ขณะใช้ความเร็วสูง ซึ่งมอบสมรรถนะสูงสุด 213 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลระดับ 500 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ซึ่งทั้ง 2 รุ่น สามารถรองรับการบรรทุกที่เหนือชั้น และสามารถลากจูงได้สูงสุดถึง 3,500 กิโลกรัม

 

Ford Ranger 2018 กับระบบช่วงล่างที่สามารถลุยได้ในระดับหนึ่ง

 

Ford Ranger Raptor กับสมรรถนะช่วงล่างที่สร้างขึ้นเพื่อลุยโดยเฉพาะ

 

แชสซีส์ และระบบช่วงล่างที่สร้างขึ้นเพื่อการใช้งานที่ต่างกัน

          นี่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญที่ทำให้ Ford Ranger 2018 และ Ranger Raptor มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย Ranger Raptor นั้น ได้รับการออกแบบแซสซีส์มาเป็นพิเศษ สำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูง และทนต่อแรงกระแทก ระบบกันสะเทือนทั้งด้านหน้า และด้านหลังมาพร้อมกับโช้คอัพ Fox Racing Shox อีกทั้งช่วงล่างยังถูกยกสูงขึ้น และระยะช่วงล้อที่กว้างขึ้น ทำให้มีมุมไต่ และมุมจากเพิ่มขึ้น รวมไปถึงระบบช่วงล่างด้านหลังระบบวัตต์ลิงค์ และคอยล์สปริงโอเวอร์ช็อค ทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง จึงช่วยเรื่องการทรงตัว และการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง Ranger Raptor ยังมาพร้อมกับยาง BF Goodrich All-terrain ขนาด 285/70 R17 ซึ่งนั่นสะท้อนให้เห็นว่า Ford Ranger Raptor เกิดมาเพื่อการขับขี่ในทุกสภาพถนน และลุยได้ในทุกสถานการณ์อย่างแท้จริง

 

Ford Ranger Raptor ได้รับการออกแบบแซสซีส์มาเป็นพิเศษ เพื่อการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูง และทนต่อแรงกระแทกโดยเฉพาะ

 

Ford Ranger Raptor มาพร้อมโช้คอัพ Fox Racing Shox และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบวัตต์ลิงค์ คอยล์สปริงโอเวอร์ช็อค

 

          สำหรับระบบช่วงล่างของ Ford Ranger 2018 ด้านหน้าเป็นแบบปีกนกอิสระ และด้านหลังแบบแหนบ ซึ่งหากจะนำไปตกแต่งเพิ่มเติมให้เป็นแบบ Ranger Raptor เห็นทีจะต้องอัพเกรดใส่โช้คอัพ Fox Racing Shox และยาง BF Goodrich All-terrain (ซึ่งก็ต้องมีค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 150,000-200,000 บาท) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณก็จะไม่ได้แชสซีส์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบวัตต์ลิงค์ คอยล์สปริงโอเวอร์ช็อคแบบใน Ranger Raptor อยู่ดี แต่ก็ถือว่าได้ Ranger 2018 ที่มีสมรรถนะที่ใกล้เคียงกับ Ranger Raptor มากที่สุด

 

Ford Ranger 2018 รุ่น Wildtrak 4×4 ราคา 1,265,000 บาท

 

Ford Ranger Raptor ราคา 1,699,000 บาท

 

          ที่กล่าวมาทั้งหมด คือ ความแตกต่างระหว่าง Ford Ranger 2018 และ Ford Ranger Raptor ซึ่งทั้ง 2 รุ่น ต่างก็สร้างมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยหากใครที่อยากได้รถกระบะที่สามารถลุยได้แบบสุดขั้ว โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคา คงต้องบอกเลยว่าในเวลานี้ คงไม่มีรถกระบะรุ่นใดเหนือชั้น และมีสมรรถนะเทียบเท่ากับ Ford Ranger Raptor ได้อีกแล้ว แต่หากใครที่มองหารถกระบะที่มีความแรง สามารถลุยได้แบบพอประมาณ ในราคาค่าตัวที่เข้าถึงไม่ยาก Ford Ranger 2018 ก็น่าจะเพียงพอต่อความต้องการในครั้งนี้ ซึ่งการตกแต่งต่างๆ ที่ทาง BoxzaRacing ได้นำมาวิเคราะห์ให้ได้ชมกัน เป็นเพียงการคาดการณ์ ไม่แน่ว่าการนำ Ranger 2018 ไปตกแต่งให้เป็น Ranger Raptor อาจจะมีราคาที่สูงกว่าซื้อ Ranger Raptor แท้ๆ มาเลยก็เป็นได้

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook