สวัสดีครับเพื่อนๆ พบกับมุมสาระดีๆจากทางทีมงาน BoxzaRacing ที่เราจะรวบรวมเอามาให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันนะครับ สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึง เครื่องยนต์ที่ไม่มีวัยรุ่นไทยคนไหนไม่รู้จัก นั่นคือเครื่อง VTEC ที่เราๆท่านรู้จักกันดีครับ นอกจากนี้ก็จะมีงาน VTEC war ที่ใกล้เข้ามาแล้วอีกด้วย เรามาทำความรู้จักกันซักหน่อยดีกว่าครับสำหรับเครื่อง VTEC เพื่อนๆคงรู้ๆกันอยู่แล้วจาก กิตติศัพท์ที่พูดกันติดหูว่า “เทคเปิด โลกเปลี่ยน” งั้นเรามารู้จักกันดีกว่าครับว่า มันคืออะไร โดยเฉพาะ VTEC-E และ i-VTEC มันคืออะไรกันแน่?
คำว่า VTEC หรือ “Variable Valve Timing and Lift Electronic Control” นั้นคือ ระบบวาล์วแปรผันที่ ภาษาช่างเรียกกันว่า “แคมกระดิก” นั่นเอง ซึ่งหลักการทำงานนั้นก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย จะเป็นการแปรผันวาล์ว ไอดี ให้สัมพันธ์กับรอบที่ใช้งานโดยเคล็ดลับของ VTEC คือ เพลาลูกเบียว 2 แบบ ผนวกกับสลักชิ้นน้อยซึ่งจะทำหน้าที่ยึดกระเดื่องวาล์วเข้าด้วยกัน โดยที่จะทำงานในเวลาที่ต่างกัน สำหรับเพลาลูกเบี้ยวตัวที่ 1 และ 3 นั้นจะทำงานในตอนที่รอบต่ำทำให้วาล์วเปิดน้อยอากาศเข้าน้อย และ ลูกกลางทำงานที่รอบสูงดันกระเดื่องวาล์วที่ถูกสลักยึดเข้าด้วยกัน เพื่อให้วาล์วเปิดเยอะ "หรือที่เขาเรียกว่าเทคเปิด" อากาศก็เข้าไปเยอะ เพื่อรอบสูงๆที่ต้องการอากาศเข้าไปเผาไหม้มากกว่าเดิมนั่นเองครับ กล่าวคือ ที่รอบต่ำวาล์วจะเปิดน้อยเพื่อให้อากาศที่เหมาะสมเข้าไปในห้องเผาไหม้ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในรอบต่ำ และเมื่อรอบสูง สลักตรงกลางจะถูกผลักออกและลูกเบี้ยวอันใหญ่จะทำงานส่งผลให้ วาล์วถูกเปิดมากขึ้นให้อากาศสามารถเข้าไปได้มากขึ้น เสริมประสิทธิภาพในรอบสูงนั่นเองครับ
การทำงานของเครื่อง VTEC กับ เครื่องธรรมดา
การทำงานของเครื่องยน VTEC-E ที่ทำให้อาการศมีการไหลวน
สำหรับเครื่อง VTEC นั้นก็มีประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างยาวนานเลยทีเดียวนะครับไม่ว่าจะเป็นเครื่อง เทคยอดนิยมอย่างตำนานสายเลือด B-series ในยุคแรกๆ ไม่ว่าจะเป็น B16A หรือ B18C เป็นต้น เหตุผลหลักๆสำหรับ VTEC ยุคนั้นก็คือแรงม้ามาเป็นหลักนั่นเอง ซึ่งต่อมา Honda ก็ได้พัฒนา เครื่องยนต์ VTEC ในเจนเนอเรชั่นที่ 2 ออกมานั่นคือ เครื่อง VTEC-E โดยที่ ตัว “E” ที่เสริมเข้ามานั้น หมายถึง “Economy” หมายความว่า VTEC-E นั้นออกมาด้วยเหตุผลหลักที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกับ VTEC รุ่นแรก นั่นคือ VTEC-E จะเน้นไปทางประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่า ซึ่งหลักการทำงานของ VTEC-E นั้นก็แทบจะไม่ต่างกับ VTEC ตัวก่อนคือการทำงานโดยใช้ เพลาลูกเบี้ยว 2 ชุด แต่ว่าคราวนี้จะเป็นการ เปิด-ปิดวาล์วไอดีแทน ซึ่งในรอบต่ำ วาล์วไอดีจะถูกเปิดแค่ตัวเดียว ซึ่งจะเปิดอีกตัวก็ต่อเมื่อเครื่องยนต์มีรอบการทำงานที่สูงขึ้นนั้นเองครับ ซึ่งข้อดีของการทำแบบนี้คือ เมื่ออากาศไหลเข้าทางเดียว จะทำให้เกิดสภาวะ อากาศแบบไหลวน หรือ Swirl ส่งผลให้อากาศกับน้ำมันน้ำผสมกันได้ดีมากยึ่งขึ้นเพื่มประสิทธิภาพในรอบต่ำอีกด้วย และอีกเหตุผลหนึ่งคือ การที่เปิดเเค่วาล์วเดียวทำให้อากาศเข้ามาได้น้องลง ทำให้อัตราส่วน A/F ratio หรือ น้ำมันกับอากาศ เปลี่ยนแปลงส่งผลให้ใช้เชื้อเพลิงน้อยลงทำให้ประหยัดขึ้นอีกด้วยครับ ส่วนการทำงานในรอบสูงๆนั้นก็จะเป็นแบบเดียวกับ VTEC ตัวแรกนั่นคือ วาล์วจะเปิดทั้ง 2 ตัว ส่งผลให้มีอากาศเข้ามาได้เพียงพอกับรอบการใช้งาน ซึ่งเจ้า VTEC-Eนั้นก็จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ Honda ยุคกลางไม่ว่าจะเป็น D15B, D15Z หรือ D17A เป็นต้น
หน้าตาของ VTC
Generation ล่าสุดกับ i VTEC
ถัดจากนั้นมาในเจนเนอเรชั่นสุดท้ายของ VTEC นั่นก็คือ เจ้า i-VTEC โดยที่ตัว “ i ” มาจากคำว่า “ intelligent “ นั่นเองครับ ซึ่งการทำงานของเจ้า i-VTEC เนี่ย..จะให้เพื่อนๆจินตนาการถึง VTEC ที่มีดีเรื่องแรงม้า กับ VTEC-E ที่มีดีเรื่อง ประหยัดน้ำมัน ผสมเข้าด้วยกันจนกลายมาเป็น i-VTEC ที่ลบความคิดที่ว่าแรงแล้วจะประหยัดไม่ได้ออกไปจากพจนานุกรมรถซิ่งได้เลย ซึ่งเจ้า i-VTEC ก็มีเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ โดยที่ทาง Honda ได้จับ 2 เทคโนโลยีแห่งยุค นั่นคือ VTEC กับ VTC เข้าด้วยกัน เพื่อนๆคงอาจจะไม่คุ้นหูกับ VTC ซักเท่าไหร่ เทคโนโลยี VTC คร่าวๆก็คือ ระบบ Variable Timing Control หรือระบบที่ใช้ควบคุมองศาของแคมชาฟท์ของไอดีให้ทำงานสัมพันธ์กับรอบของเครื่องยนต์ได้อย่างแม่นยำและเที่ยงตรงมากที่สุดนั่นเองครับ โดยที่ผลลัพธ์ของการทำแบบนี้คือเครื่องยนต์ VTEC เจนเนอเรชั่นล่าสุดและรุ่นยอดฮิตอย่าง K-Series แบบ DOHC หรือน้องใหม่ตระกูล R-Series นั่นเองครับ โดยที่เจ้า i-VTEC นั้นก็ได้ประจำการอยู่ทั้ง Civic FD หรือ Civic FC โฉมปัจจุบันก็ด้วยครับ
เอาละครับนี่ก็เป็นเพียงเกร็ดความรู้เล็กน้อยของเครื่อง ยอดนิยม VTEC หวังว่าเพื่อนๆคนจะเข้าใจระบบและควาเป็นมาของมันทั้ง VTEC-E และ i - VTEC มากขึ้นนะครับ และครั้งหน้าจะเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยเกี่ยวกับ เรื่องอะไรนั้นอย่าลืมติดตตามกันนะครับ...