เขียนโดย: Monster Racing

เมื่อ: 15 กันยายน 2559 - 16:13

น้ำมันเครื่อง หัวใจสำคัญของเครื่องยนต์ ที่ให้มากกว่าแค่การหล่อลื่น

 

          น้ำมันเครื่อง ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ให้การหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ ช่วยปกป้องและดูแลรักษาให้สามารถใช้งานยาวนานขึ้น พร้อมทั้งช่วยให้เครื่องยนต์ของคุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันแบรนด์น้ำมันเครื่องชั้นนำ ต่างก็พากันคิดค้น และพัฒนาสูตรเด็ดต่างๆ ที่สามารถดูแลเติมเต็มสมรรถนะของเครื่องยนต์กันอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งในวันนี้ BoxzaRacing มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของน้ำมันเครื่อง และการเลือกใช้น้ำมันเครื่องมาฝากกัน

 

ประโยชน์ของน้ำมันเครื่อง

-หล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ ลดแรงเสียดทานและป้องกันการสึกหรอ

-ช่วยระบายความร้อนให้เครื่องยนต์

- ชะล้างสิ่งสกปรกที่เกิดจากการเผาไหม้ และทำความสะอาดชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต

-ช่วยในการรักษากำลังอัดของเครื่องยนต์

- ป้องกันการเกิดสนิมและลดการกัดกร่อนชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์

 

ตัวเลขบนฉลากนั้น…บอกอะไรเราบ้าง ?

 

ตัวเลขบอกค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง

          ความหนืดของน้ำมันเครื่อง (Viscosity Grade) มีส่วนสำคัญในการป้องกันการสึกหรอของชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ หากน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดน้อยเกินไป จะไม่สามารถคงสภาพเป็นฟิล์มบางๆ แทรกระหว่างผิวของโลหะ หรือถ้ามีความหนืดมากไป ก็ไม่สามารถถูกปั๊มไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง โดยสมาคมวิศวกรรมยานยนต์หรือ SAE (Society of Automotive Engoneers) ได้วางมาตรฐานและแบ่งน้ำมันเครื่องออกเป็น 2 ประเภท

          น้ำมันเครื่องเกรดเดียว (Monograde) โดย SAE ได้วางมาตรฐานโดยแบ่งตามค่าความข้นใส ได้แก่ SAE 0W, 5W, 10W, 15W, 20W, 25W (อักษร W : Winter) สำหรับใช้ในเขตหนาว และ SAE 20, 30, 40, 50 และ 60 สำหรับใช้ในเขตร้อน ตัวเลขที่มากยิ่งข้นมาก

          น้ำมันเครื่องเกรดรวม (Multigrade) เป็นการพัฒนาให้น้ำมันเครื่องทำงานได้ทั้งในสภาพอากาศร้อนและเย็น มีค่าดัชนีความหนืดสูง ช่วยให้ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ดีกว่าน้ำมันเครื่องเกรดเดียว เช่น SAE 5W-40, 10W-30, 20W-50 เป็นต้น

 

 

เกรดของน้ำมันเครื่อง

-การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่องที่นิยมแพร่หลายนั้น ได้แก่ มาตรฐาน API โดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา (American Petroleum Institute) ได้กำหนดมาตรฐานโดยแบ่งตามประเภทของเครื่องยนต์ดังนี้

-เกรดน้ำมันเครื่องสำหรับสำหรับน้ำมันเบนซิน จะใช้ตัวอักษร S (Station Service) นำหน้า เรียงตามลำดับได้แก่ API SA, SB, SC ,…. และสูงสุดในปัจจุบันคือ SN  

-เกรดน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะใช้ตัวอักษร C (Commercial Service) นำหน้า เรียงตามลำดับ ได้แก่ API CA, CB, CC, CD, CD-II, CE, CF-4, CF, CF-2, CG-4, CI-4 PLUS และสูงสุดในปัจจุบันคือ CJ-4  

-น้ำมันเครื่องที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีการระบุ API ที่มีอักษร S และ C อยู่ด้วยกัน ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งกับเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล เช่น  API SF/CF, CG-4/SG เป็นต้น ซึ่งการนำไปใช้จะเหมาะสมกับเครื่องยนต์ประเภทใดมากกว่ากัน ให้สังเกตจากชั้นคุณภาพ API นั้น ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร S หรือ C

 

 

การเลือกน้ำมันเครื่อง เรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

          สำหรับการเลือกน้ำมันเครื่องนั้น ควรอ้างอิงจากคู่มือที่ติดมากับตัวรถ ซึ่งจะเป็นค่ามาตรฐานที่เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณ และสิ่งที่ต้องคำนึงอีกอย่างหนึ่ง คือคุณสมบัติพิเศษของน้ำมันเครื่อง ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้รถยนต์ของคุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่างน้ำมันเครื่องโททาล (TOTAL) น้ำมันเครื่องระดับพรีเมี่ยม ที่มีเทคโนโลยีป้องกันการเสื่อมสภาพ ช่วยให้เครื่องยนต์ของคุณทำงานอย่างเต็มสมรรถนะ เหมือนใหม่อยู่เสมอ การันตรีคุณภาพโดยทีมแข่งรถระดับโลก อาทิ  RED BULL Racing/ F1, Citroen Racing/WTCC, Abu Dhabi-Total/WRC, Aston Martin Racing หรือ Nissan-Alpine ในการแข่งขัน FIA WEC และการแข่งขันอื่นๆ อีกหลากหลายรายการ

 

      โดยผู้ที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.total.co.th, www.facebook.com/TotalThailand หรือศูนย์บริการ TOTAL QUARTZ AUTO CARE ทุกสาขา

          และนี่ก็เป็นข้อมูลดีๆ ที่เรานำมาเสนอให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจถึงประโยชน์ และการเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกต้อง เพื่อนำกลับไปบำรุงรักษารถคันโปรด ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนในครั้งหน้า BoxzaRacing จะนำเกร็ดความรู้เรื่องใดมานำเสนออีกนั้น โปรดรอติดตามกันในโอกาสต่อไป

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook