KIA ได้เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ของ KIA e-Niro 2020 รถแฮทช์แบ็ก EV ในเกาะอังกฤษ ซึ่งในรุ่นย่อยใหม่นี้ จะมากับราคาที่ไม่แรง โดยทาง KIA จากเกาะอังกฤษได้ตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 29,595 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือประมาณ 1.12 ล้านบาท นอกจากนี้รถ EV คันนี้ ยังได้เข้าร่วมโครงการ Plug-in Car Grant ซึ่งเป็นนโยบายที่กำหนดอัตราภาษีจากการปล่อยมลพิษของรถยนต์ ซึ่งครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่งและรถตู้ในประเทศทั้งหมด นอกจากนี้รัฐบาลยังมีเงินอุดหนุนให้กับเจ้าของบ้านที่สามารถติดตั้งจุดชาร์จแบตเตอรี่ผ่านโครงการ Electric Vehicle Homecharge Scheme อีกด้วย ปัจจุบันรถ EV ในอังกฤษได้รับสิทธิ์พิเศษมากมาย อาทิ ที่จอดรถ และการวิ่งผ่านบัสเลน
KIA e-Niro 2020 รุ่นปรับปรุงใหม่นี้ จะมากับรูปลักษณ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากรุ่นเดิม ให้ถูกจริตกับคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น เน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก โดยในรุ่นมาตรฐาน ที่ถูกเรียกว่าเกรด 2 จะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 134 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 395 นิวตัน-เมตร ส่วนแบตเตอรี่นั้นเป็นแบบลิเธียมความจุ 39 kWh เมื่อชาร์จพลังงานไฟฟ้าเต็มพิกัด จะวิ่งได้ไกลถึง 290 กม. ให้อัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. อยู่ที่ 9.5 วินาที ท๊อปสปีดอยู่ที่ 155 กม./ชม.
ส่วนออฟชั่น และอุกปรณ์ชุดมาตราฐานต่างๆของ KIA e-Niro 2020 รุ่นปรับปรุงใหม่นี้ จะมากับล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน ขนาด 17 นิ้ว, กระจังหน้าที่ปิดทึบสีเดียวกับตัวรถ เล่นลวยลายเป็นรูปเหลี่ยมเพชร พร้อมปลั๊กชาร์จไฟที่อยู่ด้านหน้า, กันชนหน้า และกันชนหลัง รวมถึงบริเวณชุดไฟตัดหมอกเล่นลวดลายด้วยกรอบสีฟ้า บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า, เติมความหรูหราด้วยมือจับประตูชุบโครเมี่ยม พร้อมกับที่กาบประตูทั้ง 4 บาน เสริมด้วยโครเมี่ยม
ด้านในห้องโดยสารของแฮทช์แบ็ก EV ที่วางจำหน่ายบนเกาะอังกฤษ หน้าจอ TFT แสดงข้อมูลแบบสี ขนาด 7 นิ้ว, เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้า และหนังที่ผสมผสานกัน ในส่วนเบาะที่นั่งฝั่งคนผู้ขับเป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้า ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ Glossy Black ตามส่วนต่างๆ ภายในห้องโดยสาร, หน้าจอ Infotainment แบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน เสริมด้วยระระบบความปลอดภัยแบบครบครัน
นอกจากนั้น KIA e-Niro 2020 ยังมีในรุ่นกลางที่เรียกว่ารุ่นเกรด 3 แระรุ่นท๊อปที่เรียกว่ารุ่นเกรด 4+ ให้เลือกอีกด้วย โดยทั้ง 2 รุ่นนี้จะมากับ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 64 kWh และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังแรม้า 201 ตัว มาพร้อมกับแรงบิด 395 นิวตัน-เมตร มาพร้อมอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. อยู่ที่ 7.5 วินาที โดยในรุ่นนี้จะสามารถวิ่งได้ไกลถึง 454 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
ส่วนออฟชั่นของรุ่นย่อยเกรด 3 นั้น ในส่วนหน้าจอ Infotainment จะเป็นแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง SAT-NAV พร้อมกับเชื่อมต่อแอปพลิเคชั่น UVO ที่จะมอบความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และความสนุกสนาน บนหน้าจอ Infotainment พร้อมกับใช้งาน และสั่งงานบนสมาร์ทโฟนได้จากระยะไกล, เบาะนั่งเน้นความสปอร์ตมากขึ้นด้วยเบาะหนังสีดำ ฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งคู่หน้า และที่พวงมาลัยเป้นแบบอปรับอุ่น, มาพร้อมที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายที่ติดตั้งอยู่ที่คอนโซล, เสริมความหรูหราด้วยแผ่นธรณีประตูที่เป็นอลูมิเนียม ในรุ่นนี้จะมีราคาอยู่ที่ 33,850 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือราว 1.29 ล้านบาท
ส่วนในรุ่น 4+ ที่จะมีราคาเริ่มที่ 36,145 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือประมาณ 1.37 ล้านบาท จะได้รับอุกปรณ์เพิ่มเติมที่ต่างจากทั้ง 2 รุ่นได้แก่ที่ชาร์จไฟ AC 11 kW แบบ 3 Phase ชุดไฟหน้า LED เต็มระบบ, ยกระดับความหรูหราด้วยหลังคาซันรูฟ} ชุดไฟส่องสว่าง Ambient Lighting, ชุดเครื่องเสียงจาก JBL, เบาะที่นั่งฝั่งผู้ขับที่ฟังช์ชั่นจดจำตำแหน่ง, กระจกข้างไฟฟ้าแบบพับได้ และ ระบบฟังก์ชั่นเตือนความเร็วเกินกำหนด
