BMW เตรียมยกระดับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าสู่เจนเนอเรชั่นที่ 5 โดยในครั้งนี้จะเพิ่มเป้าหมายใหม่ก็คือ ขนาดของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่มีความยืนหยุ่นสูง ทั้งมอเตอร์ แบตเตอรี่ และอื่นๆ เพื่อรองรับรถยนต์ที่หลากหลาย โดยยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะที่สูงกว่าเดิม ทรงพลังยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าตอบโจทย์ทั้งสมรรถนะและความสะดวกสบายยิ่งขึ้น
จากบทสัมภาษณ์ของ Mr. Stefan Juraschek รองประธานฝ่ายพัฒนาระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าของ BMW ได้เผยว่าการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าสู่เจนเนอเรชั่นที่ 5 จะเน้นความกระทัดรัดมากที่สุด โดยเฉพาะการพัฒนาระบบขับเคลื่อนใหม่ที่จะผสานรวมกันระหว่าง "มอเตอร์ไฟฟ้า-ระบบส่งกำลัง-ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า" ไว้ในหนึ่งเดียว ซึ่งจะมีข้อได้เปรียบตรงที่ความกระทัดรัด กินพื้นที่น้อยลง น้ำหนักก็ไม่สูงมาก ให้สมรรถนะในการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น และสามารถติดตั้งได้มากถึง 2 ชุด เพื่อรองรับรถยนต์สมรรถนะสูงหรือรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ นอกจากนี้ยังสามารถปรับขนาดได้ตามขนาดและรูปแบบตัวรถ ตั้งแต่การปรับขนาดชิ้นส่วนภายใน ปรับเคสอลูมิเนียม เพื่อรองรับรถยนต์ได้ทุกแบบตั้งแต่รถคอมแพ็ค, รถอเนกประสงค์, รถสปอร์ต ไปจนถึงซูเปอร์คาร์
ส่วนแบตเตอรี่ไฟฟ้าก็มีการปรับให้สามารถแยกเซลล์ได้อย่างอิสระ เพื่อให้สามารถปรับให้มีขนาดตามความเหมาะสมได้ ทั้งปรับปริมาณเซลล์, ปรับความสูง-อ้วนของแบตเตอรี่ เพื่อรองรับรถยนต์ได้ทุกแบบ และทางบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะให้ประสิทธิภาพในการวิ่งที่ไกลยิ่งขึ้นโดยรถ EV จะต้องวิ่งได้ไกลเกิน 700 กม. ส่วนรถไฮบริด-ปลั๊กอินไฮบริดจะต้องวิ่งได้ไกลเกิน 100 กม. ประกอบกับทางบริษัทฯ จะร่วมกับซัพพลายเออร์ในการพัฒนาแบตเตอรี่และชิ้นส่วนในระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ปราศจากแร่ธาตุหายาก ซึ่งจะส่งผลทำให้ราคารถถูกลงกว่าเดิม หรือสามารถรองรับออพชั่นพิเศษมากขึ้นในราคาสุทธิที่ไม่เพิ่มไปจากเดิม
นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ จะพัฒนาให้รถยนต์ทุกรูปแบบสามารถผลิตในสายพานการผลิตเดียวกันได้ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า, ปลั๊กอินไฮบริด, ไฮบริด และรถยนต์เชื้อเพลิงเบนซิน-ดีเซล อันเป็นผลมาจากแพลตฟอร์มใหม่ที่มีความยืดหยุ่นสูง รองรับการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลายและผลิตได้อย่างรวดเร็ว ตอบสนองต่อความต้องการแก่ลูกค้าได้อย่างเต็มที่ โดยรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ที่จะได้รับการเปิดตัวภายใต้ระบบขับเคลื่อน EV เจนเนอเรชั่นที่ 5 เป็นรุ่นแรกก็คือ BMW iX3
Cr. ข้อมูลจาก insideevs.com
