McLaren เผยโฉม McLaren Speedtail ไฮเปอร์คาร์ขุมพลังไฮบริดโฉมใหม่ล่าสุดที่จะกลายเป็นยนตรกรรมระดับ Ultimate ของแบรนด์ ด้วยประสิทธิภาพสมรรถนะสูงสุด 1,050 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-300 กม./ชม. ที่ 12.8 วินาที เหนือกว่า Bugatti Chiron ซึ่งทำความเร็วในระดับเดียวกันอยู่ที่ 13.1 วินาที หรือส่วนต่าง 0.3 วินาที และความเร็วสูงสุด 403 กม. /ชม.
แม้ว่าทางบริษัทฯ จะได้เผยถึงคุณลักษณะของระบบขับเคลื่อนเบนซินไฮบริดออกมามากนัก แต่ด้วยปัจจัยของความสำเร็จที่สามารถรีดสมรรถนะ 1,050 แรงม้า ได้อย่างเต็มที่นั้น ได้มาพร้อมกับโครงสร้าง Monocoque และตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ ร่วมกับการออกแบบตัวถังรถเพื่อลดแรงต้านอากาศในทุกๆ ส่วน ประกอบกับไฮไลท์สำคัญอย่างระบบ Ailerons หรือปีกประกอบแบบเดียวกับที่ใช้ในเครื่องบิน ควบคู่กับวัสดุยืดหยุ่นชนิดพิเศษที่ McLaren จดสิทธิบัตรไว้ ซึ่งจะสามารถควบคุมให้ยกขึ้น-ลง เพื่อให้ตัวรถสามารถเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น แถมยังช่วยให้เส้นสายตัวรถมีความเรียบเนียนสวยงามตั้งแต่ต้นจรดปลาย ซึ่งหากมีสปอยเลอร์ท้ายก็จะทำให้ดูเกะกะ เสียบุคลิกได้ และทำให้ให้ตัวรถสามารถรีดความเร็วสูงสุด 403 กม. /ชม. ที่สำคัญ รถรุ่นนี้มีความยาวมากกว่าใคร ซึ่งตัวรถมีความยาวที่ 5137 มม.
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เองก็ยังได้รับการดัดแปลงด้วย โดยสารถักผสมร่วมกันระหว่างเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์กับใยไทเทเนียม ซึ่งทางบริษัทฯ เรียกว่า Titanium Deposition Carbon Fiber โดยจะมีอยู่ในโครงสร้าง Monocoque ตัวถังรถ ชิ้นส่วนแอโร่พาร์ท ไปจนถึงครอบล้อหน้า ที่มอบทั้งความแข็งแรงสูง โดยที่น้ำหนักไม่เพิ่มจากเดิมมากนัก และยังให้ประกายแวววาวดุจชิ้นส่วนชุบโครเมียม
ด้านภายในยังคงมาในรูปแบบของห้องโดยสารสามที่นั่ง พร้อมที่นั่งคนขับตรงกลาง แต่ทางบริษัทฯ ได้ทำการพัฒนาเบาะนั่งให้มีสัมผัสที่นุ่มสบาย แถมนั่งหลังติดเบาะได้อย่างมั่นใจด้วยอุปรณ์ยึดเบาะที่แข็งแรง ด้านอุปกรณ์หน้าแผงคอนโซลต่างๆ ได้รับการออกแบบให้มีความล้ำสมัย ด้วยจอแสดงผลความละเอียดสูงและหน้าจอสัมผัสที่วางไว้ทั่วแดชบอร์ด แล้วปุ่มควบคุมต่างๆ อยู่ไหน คำตอบก็คืออยู่บนเพดานนั่นเอง ซึ่งจะมีทั้งปุ่มสตาร์ทรถ, แผงควบคุม Active Dynamics, Velocity mode ที่สามารถปรับให้ตัวรถสามารถเซ็ตระบบเพื่อรองรับการขับขี่แบบธรรมดา และแบบทำความเร็วสูงสุด ปิดท้ายด้วยกล้องมองข้างที่ประตูสามารถยืดและกดเก็บเข้าไปได้
McLaren Speedtail จะผลิตเพียง 106 คันเท่านั้น ราคาเริ่มต้นที่ 1.75 ล้านปอนด์อังกฤษ หรือคิดเป็นเงินไทยไม่รวมภาษีอยู่ราวๆ 73 ล้านบาท ซึ่งหากรวมภาษีด้วยก็ทะลุถึงหลักร้อยล้านบาทเลยทีเดียว และการส่งมอบจะเริ่มขึ้นภายในปี 2020 เป็นต้นไป
Cr. ข้อมูลจาก carscoops.com
