เขียนโดย: Monster Racing

เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2561 - 17:16

วิเคราะห์เทคโนโลยีสุดล้ำ Honda Connect และ Toyota T-Connect Telematics มันดียังไง? ทำอะไรได้บ้าง?

 

          ด้วยยุคสมัยที่การสื่อสารเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ผู้บริโภคต่างก็ต้องการได้รับข้อมูลข่าวสาร และความบันเทิงที่เข้าถึงได้ง่าย และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทำให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำต่างก็ต้องคิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงการสื่อสารเข้าไปไว้ในรถ อย่างเช่นค่ายรถยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น อย่าง Honda ที่ได้คิดค้นระบบ Honda Connect และ Toyota ที่สร้างสรรค์ระบบ Toyota T-Connect Telematics ซึ่งนับเป็นอีกก้าวของประวัติศาสตร์ที่จะผลิกโฉมเทคโนโลยีด้านยานยนต์ให้พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยทั้ง 2 เทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์อย่างไร? สามารถทำอะไรได้บ้าง? วันนี้ทางทีมงาน BoxzaRacing จะพาไปหาคำตอบกัน

 

 

          Honda Connect เป็นการนำเทคโนโลยี Telematics ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะในการควบคุมการรับส่งข้อมูลทางไกล ที่ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน และกล่องอุปกรณ์รับส่งข้อมูลทางไกล (Telematics Control Unit หรือ TCU) ที่ถูกติดตั้งในรถยนต์ฮอนด้า ทำหน้าที่เก็บข้อมูลสำคัญผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เพื่อจัดเก็บ และประมวลผลโดย Cloud Technology พร้อมด้วยระบบ GPS ที่ช่วยในการตรวจสอบพิกัดรถยนต์ได้อย่างแม่นยำ และในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน Call Center ยังสามารถแจ้งเตือนหรือติดต่อเพื่อส่งความช่วยเหลือให้ผู้ขับขี่ได้อย่างทันท่วงที

 

 

ฟังก์ชั่นการใช้งานหลักของ Honda Connect มีดังนี้

1. ฟังก์ชั่นสถานะรถยนต์

          จะช่วยแจ้งสถานะความพร้อมของรถยนต์ก่อนออกเดินทาง เช่น ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น และอื่นๆ รวมถึงแจ้งเตือนการบำรุงรักษา ประวัติการเข้ารับบริการและกำหนดการเข้ารับบริการครั้งถัดไป เพื่อให้ผู้ใช้ได้ดูแลรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

2. ฟังก์ชั่นข้อมูลลักษณะการขับขี่

          ที่จะบันทึกข้อมูลการขับขี่ และแสดงผลพฤติกรรมการขับขี่ต่างๆ เช่น ระยะทางการขับขี่ ช่วงเวลาการขับขี่ อัตราความเร็วสูงสุด อัตราความเร็วเฉลี่ย และการบันทึกประวัติการเดินทาง เป็นต้น

3. ฟังก์ชั่นตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์

          ผู้ใช้งานสามารถขอพิกัดของรถยนต์ (Find My Car) ได้โดยผ่านฟังก์ชั่นแสดงพิกัดรถยนต์ เมื่อเลือกฟังก์ชั่นขอพิกัดรถยนต์ ระบบจะทำการส่งพิกัดไปยังอีเมล์ที่ลงทะเบียนไว้ (เพื่อความเป็นส่วนตัวของข้อมูล) ในกรณีที่รถยนต์ถูกเคลื่อนย้าย ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนความผิดปกติมาที่ฟังก์ชั่นสถานะพิกัดรถยนต์ในแอปพลิเคชันบนมือถือสมาร์ทโฟน

 

 

4. ฟังก์ชั่นติดต่อเพื่อช่วยเหลือฉุกเฉิน

          เมื่อถุงลมทำงานในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ระบบจะส่งสัญญาณไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า (Honda Call Center) เพื่อติดต่อและประสานงานให้ความช่วยเหลือไปยังเบอร์โทรที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรสำรองฉุกเฉิน หากไม่สามารถติดต่อได้ ระบบจะทำการติดต่อหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (1669)

5. ฟังก์ชั่นค้นหา และแชร์การเดินทาง

          ทำงานเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันแผนที่ เพื่อค้นหาเส้นทางหรือสถานที่ใกล้เคียง เช่น สถานีบริการน้ำมัน ตู้เอทีเอ็ม ร้านสะดวกซื้อ หรือผู้จำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า ทั้งนี้ ผู้ใช้สามารถทำการบันทึกสถานที่ที่ใช้ประจำ เพื่อช่วยในการนำทางไปยังจุดหมายได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถแชร์บันทึกการเดินทางพร้อมภาพถ่ายบนเฟซบุ๊กส่วนตัวได้อีกด้วย

6. ฟังก์ชั่นข่าวสาร และสิทธิพิเศษ

          ทำหน้าที่ให้บริการแจ้งข้อมูลข่าวสาร และสิทธิพิเศษต่างๆ รวมถึงแจ้งเตือนการต่อประกันภัย และภาษีรถยนต์ล่วงหน้าให้กับผู้ใช้งาน

 

 

          ลูกค้าที่สนใจติดตั้ง Honda Connect สามารถติดต่อศูนย์บริการเพื่อนัดหมาย และนำรถยนต์ฮอนด้าของท่านเข้าติดตั้งกล่องอุปกรณ์รับส่งข้อมูลทางไกล (Telematics Control Unit หรือ TCU) ที่ศูนย์บริการฮอนด้าที่ท่านสะดวกได้ทั่วประเทศ โดยลูกค้าจะต้องทำการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Honda Connect Thai (รองรับระบบปฎิบัติการสมาร์ทโฟนทั้งระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชั่น 8.0 ขึ้นไป และระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 4.0 ขึ้นไป) หลังจากนั้นศูนย์บริการจะทำการลงทะเบียนเชื่อมต่อข้อมูล TCU และ แอปพลิเคชัน เพื่อสร้างบัญชีการใช้งาน โดย Honda Connect พร้อมจำหน่ายในราคา 5,900 บาท (ฟรีค่าติดตั้ง และค่าสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์เพื่อการส่งข้อมูลรายปี รวม 2 ปี)

 

 

รถยนต์ที่รองรับระบบ Honda Connect

  • Brio/Brio Amaze ปี 2016-2017
  • City/Jazz ปี 2014-2017
  • Mobilio ปี 2014-2017
  • BR-V ปี 2016-2017
  • HR-V ปี 2015-2017
  • Civic ปี 2012-2017
  • Civic HB ปี 2017
  • CR-V ปี 2012-2017
  • Accord ปี 2013-2017
  • Odyssey ปี 2014-2017

*รถที่ไม่รองรับได้แก่ รถนำเข้า Freed, Stepwgn, CR-Z และรุ่นเครื่องไฮบริดทั้งหมด

 

 

          ระบบ Toyota T-Connect Telematics นับเป็นอีกขั้นของเทคโนโลยีเชื่อมต่อสำหรับรถยนต์ของ Toyota ซึ่งระบบดังกล่าวจะเชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับ Wi-fi Box ทำให้เกิดฟังก์ชั่นใหม่ให้กับผู้ขับขี่ และใช้งานได้จริงผ่านอุปกรณ์ Smartphone, Apple Watch และหน้าจอวิทยุ เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบในการใช้ชีวิตและการเดินทางอย่างแท้จริง ทั้งนี้ Toyota T-Connect Telematics โดดเด่นด้วยความพร้อม และความชำนาญของศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า (Call Center) ที่มีประสบการณ์มากกว่า 5 ปี โดยระบบดังกล่าวได้เริ่มทำการแนะนำในรถ Toyota Fortuner ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 34 เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2560 รวมถึงในซับคอมแพคเอสยูวีรุ่นล่าสุดอย่าง Toyota C-HR เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และเมื่อเร็วๆนี้ได้ติดตั้งให้กับ Corolla Altis 1.8V รุ่นใหม่ล่าสุดอีกด้วย

 

 

ฟังก์ชั่นการใช้งานหลักของ Toyota T-Connect Telematics มีดังนี้

1. บริการ Wi-fi ในรถยนต์ (My TOYOTA Wi-fi) สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกันได้สูงสุดถึง 9 อุปกรณ์ พร้อมมอบความเพลิดเพลิน และความบันเทิงไร้ขีดจำกัดตลอดการเดินทาง

2. ระบบแจ้งเตือนการบำรุงรักษารถยนต์ (Service Reminder) แจ้งเตือนสถานะเมื่อถึงรอบการเข้ารับบริการตรวจสอบตามระยะ

3. ระบบการนัดหมายเพื่อนำรถเข้าบริการ (Service Appointment) บริการนัดหมายเข้าศูนย์บริการผ่านระบบออนไลน์ และศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า (Call Center) ของผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ

4. บริการ My Message เพื่อแจ้งข่าวสาร ข้อมูลส่วนลด พร้อมสิทธิพิเศษจากโครงการ Toyota Privilege ให้กับลูกค้า

5. ประกันภัย "ขับน้อย จ่ายน้อย" ข้อเสนอการคุ้มครองพิเศษ (Pay As Your Drive) อีกขั้นของเทคโนโลยีเทเลมาติกส์ (Telematics) จ่ายค่าบริการตามการใช้งานจริง ทั้งมอบข้อเสนอส่วนลดเบี้ยประกันเพิ่มเติมสูงสุดถึง 20% กรณีใช้งานรถน้อย ซึ่งเป็นส่วนลดเพิ่มเติมจากลูกค้าที่มีประวัติดี

 

Toyota Corolla Altis รุ่น 1.8V เป็นรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมระบบ T-Connect Telematics

 

6. ระบบค้นหาตำแหน่งรถยนต์ (Find My Car) สามารถระบุพิกัดรถได้อย่างแม่นยำ มาพร้อมกับบริการแจ้งพิกัดกรณีรถหาย และการแจ้งเตือนขณะจอดรถ ที่ช่วยคลายกังวลแม้คลาดสายตาจากรถคู่ใจ

7. ระบบตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์กรณีถูกโจรกรรม (Stolen Vehicle Tracking) พร้อมผู้ช่วยส่วนตัว ผ่านการประสานงานความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง  

8. ระบบการแจ้งเตือนขณะจอดรถ (Parking Alert) ระบบแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์ ช่วยให้ทราบเมื่อรถถูกสตาร์ท หรือเคลื่อนที่จากจุดจอด พร้อมทั้งแจ้งเตือนเมื่อสถานะรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลง ผ่านโทรศัพท์มือถือ และ Apple Watch

9. บริการผู้ช่วยส่วนตัวตลอด 24 ชม. (Operator Service : OPS) แนะนำสถานที่ในแบบที่คุณต้องการ พร้อมการบริการจองร้านอาหารสุดโปรดของคุณ ให้ทุกวันเป็นวันพิเศษในสไตล์คุณ

10. บริการประสานงานความช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. (SOS Emergency Service) ทั้งด้านประกันภัย หรือบริการด้านรถยนต์ หมดห่วงในทุกการเดินทาง

  • บริการประสานงานไปยังผู้แทนจำหน่ายใกล้เคียง (Roadside Service) เพื่อขอรับความช่วยเหลือบนท้องถนน ให้ความช่วยเหลือได้อย่างสะดวกรวดเร็วในทุกที่
  • บริการประสานงานแจ้งเหตุฉุกเฉินด้านการแพทย์ (Health) โดยการส่งตำแหน่งที่คุณอยู่ไปยังสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ซึ่งมีเครือข่ายให้บริการทั่วประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และทันท่วงที

 

Toyota Fortuner รุ่น 2.8V มาพร้อมระบบ T-Connect Telematics

 

ระบบ Toyota T-Connect Telematics เป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่ติดตั้งในรถยนต์ 6 รุ่น ได้แก่

  • Toyota C-HR รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด  
  • Toyota Fortuner รุ่น 2.8V
  • Toyota Innova รุ่น 2.8V
  • Toyota Camry รุ่น 2.5 HV Premium
  • Toyota Alphard และ Toyota Vellfire ทุกรุ่น
  • Toyota Corolla Altis รุ่น 1.8V

 

 

          ทั้งนี้เทคโนโลยีทั้ง 2 ระบบ ต่างก็มีข้อดี และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งระบบ Honda Connect จะมีข้อได้เปรียบตรงที่สามารถนำรถยนต์ที่รองรับกับระบบไปติดตั้งเพิ่มได้ที่ศูนย์บริการ ในราคา 5,900 บาท ส่วนระบบ Toyota T-Connect Telematics นั้น จะมีจุดเด่นที่มีระบบบริการ Wi-fi ในรถยนต์ (My TOYOTA Wi-fi) ที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกันได้สูงสุดถึง 9 อุปกรณ์ แต่จะมีรถยนต์เพียง 6 รุ่นเท่านั้น ที่จะมาพร้อมกับระบบนี้

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook