หนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ความสำเร็จสูงสุดของ Porsche ในวงการมอเตอร์สปอร์ตกำลังจะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ สนามที่ 9 หรือสนามสุดท้ายของฤดูกาลแข่งขัน 2017 รายการ FIA World Endurance Championship ทั้งยังเป็นสนามสุดท้ายสำหรับการเข้าร่วมประลองความเร็วของรถแข่ง Porsche 919 Hybrid
รถแข่ง Porsche 919 Hybrid ติดตั้งขุมพลังที่ประสานการทำงานของทุกระบบขับเคลื่อนเข้าด้วยกัน ให้พละกำลังสูงสุดกว่า 900 แรงม้า (662 กิโลวัตต์) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ V4 ที่มีขนาดความจุเพียง 2 ลิตร (ให้พละกำลังเกือบ 500 แรงม้า/368 กิโลวัตต์) ทำงานร่วมกับระบบประจุพลังงานย้อนกลับที่มีรูปแบบแตกต่างกัน 2 ลักษณะ พลังงานสะสมที่ได้จากระบบเบรกในล้อคู่หน้า และพลังงานสะสมที่ได้จากระบบระบายไอเสีย แทนที่จะปล่อยทิ้งไปในชั้นบรรยากาศอย่างไร้ประโยชน์ ในส่วนของพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับจากระบบเบรกของล้อคู่หน้า และระบบระบายไอเสียจะได้รับการกักเก็บไว้เป็นการชั่วคราวในแบตเตอรี่แบบ liquid-cooled lithium ion
Fritz Enzinger รองประธานกรรมการบริหาร ผู้ดูแลส่วนงาน LMP1
Fritz Enzinger รองประธานกรรมการบริหาร ผู้ดูแลส่วนงาน LMP1 กล่าวถึงความทรงจำของเขาว่า “ย้อนกลับไปในช่วงเวลาของการพัฒนาระบบขับเคลื่อนไฮบริดที่เริ่มจากศูนย์อันสุดแสนสลับซับซ้อนในระดับที่เทียบเท่ากับรถแข่งระดับ Formula 1 การทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลาคือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อการนี้เราจึงจัดสรรโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งอาคารสิ่งก่อสร้างหลังใหม่ในเวลาเดียวกัน พร้อมกับการคัดเลือกทีมงานอัจฉริยะจากบุคลากรร่วม 260 ชีวิต ด้วยระยะเวลาที่จำกัด การแข่งขัน Le Mans ในประจำฤดูกาล 2014 ที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่พวกเราทุกคนกลับสามารถบริหารจัดการจนกระทั่งประสบความสำเร็จสูงสุด โดยส่วนตัวแล้วผมภาคภูมิใจเป็นอย่างมากในทีมงานชุดนี้ และผมคาดหวังถึงบทสรุปทั้งหมดที่บังเกิดขึ้นในยุคสมัยของรถแข่ง Porsche 919 Hybrid ของเรา ด้วยการแข่งขันอันยอดเยี่ยมที่ประเทศบาห์เรน”
การประลองความเร็วระยะเวลารวม 6 ชั่วโมง ซึ่งนับเป็นสนามสุดท้ายของรถแข่ง Porsche 919 Hybrid คืออีกครั้งที่รถคันนี้จะได้โลดแล่นตั้งแต่ท้องฟ้ายังมีแสงแดดสาดส่องไปจนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้ายามค่ำคืน ของวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายนนี้ที่ประเทศบาห์เรน การแข่งขันจะเริ่มต้นเวลา 16:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (14:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของยุโรป) โดยตะวันจะลับขอบฟ้าในเวลา 16:46 น. ความแตกต่างระหว่างบาห์เรน และ Le Mans คือนักแข่งไม่ต้องขับขี่ภายใต้แสงสว่างจากไฟหน้าของรถตนเองราวกับกำลังวิ่งอยู่ในอุโมงค์ หลอดไฟกว่า 5,000 ดวง จะทำหน้าที่สร้างความสว่างไสวให้แก่สนามแข่งรถ Formula 1 ไปพร้อมกับการถ่ายทอดสัญญาณออนไลน์ และสัญญาณโทรทัศน์ที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก จนกระทั่งธงตราหมากรุกโบกสะบัด
