เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับยานยนต์ ในปัจจุบันได้ถูกพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดีไซน์ตัวรถหรือแม้กระทั่งขุมพลังของเครื่องยนต์ก็มีให้เลือกกันหลากหลาย และมีสิ่งหนึ่งที่ไปถูกพัฒนาเคียงคู่กับยานยนต์ทุกวันนี้นั้นก็คือ ยางรถยนต์ ซึ่งในปัจจุบันผู้ผลิตยางรถยนต์ในค่ายต่างๆ ก็ได้พัฒนา และออกแบบยางรถยนต์ออกมาให้ทันเทคโนโลยีของรถยนต์ รวมทั้งให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถ
ล่าสุด Michelin ได้พัฒนาและเปิดตัวยางสำหรับรถยนต์นั่งขนาดกลาง ขนาดเล็ก และอีโค่คาร์ ภายใต้ชื่อรุ่น Michelin Energy XM2+ ที่สวนนงนุช เมืองพัทยา พร้อมกับได้เชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมการทดสอบสมรรถนะของยาง Michelin Energy XM2+ แบบในช่วงสั้นๆ แต่ก่อนที่จะไปสัมผัสและทดสอบนั้น ได้มีผู้บริหารของทาง Michelin คุณเอกชัย คหการบำรุง ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ B2C บริษัท สยามมิชลิน จำกัด และคุณวิเนต องค์เนกนันต์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด B2C บริษัท สยามมิชลิน จำกัด กล่าวให้การต้อนรับและเปิดตัว Michelin Energy XM2+
คุณเอกชัย คหการบำรุง ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ B2C บริษัท สยามมิชลิน จำกัด
คุณวิเนต องค์เนกนันต์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด B2C บริษัท สยามมิชลิน จำกัด
คุณเอกชัย คหการบำรุง ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ B2C เปิดเผยว่า ยาง Michelin Energy XM2+ ได้มีพัฒนาในหลายๆด้านที่เหนือกว่า Michelin Energy XM2 ซึ่งเป็นรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นยางที่ครองความเป็นผู้นำในตลาดยางสำหรับลูกค้าทั่วไป หรือMass Market อย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 8 ปีเต็ม สำหรับยาง Michelin Energy XM2+ รุ่นล่าสุดนี้พัฒนาขึ้นเพื่อให้สมรรถนะที่ดีเยี่ยม และการใช้งานที่ยาวนานกว่าแม้ยางใกล้หมดดอก โดยให้ความมั่นใจในประสิทธิภาพการเบรกเต็มเปี่ยมจนเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยางครั้งต่อไป
ด้วยนวัตกรรมเนื้อยางผสมซิลิกาสูตรใหม่ (Full-Silica Rubber Compound) ส่งผลให้ยาง Michelin Energy XM2+ มีค่าเฉลี่ยระยะเบรกบนถนนเปียกสั้นกว่ายางแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ อยู่ที่ 1.5 เมตร เมื่อเทียบระหว่างยางสภาพใหม่ด้วยกัน และ 2.6 เมตร เมื่อเทียบระหว่างอย่างใกล้หมดดอก อีกทั้งยังรองรับระยะทางการขับขี่มากกว่ายางแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ ถึงร้อยละ 25
Michelin Energy XM2+ จะมีสัญลักษณ์บวก (+) บนแก้มยางที่จะบ่งบอกให้ทราบถึงการเสริมสูตรเนื้อยางใหม่ที่ส่งผลให้ยาง Michelin Energy XM2+ มีประสิทธิภาพเหนือกว่ายางรุ่นก่อนหน้าทั้งด้านสมรรถนะการเบรก อายุการใช้งาน และสมรรถนะที่ยาวนานกว่า นอกจากนี้ ยังคงสัญลักษณ์ Green X เอาไว้แบบเดียวกับยางรุ่นก่อนหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นยางที่มีคุณสมบัติด้านการประหยัดพลังงาน การผสานคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่าพร้อมกับให้ความมั่นใจได้ยาวนานกว่าและความคุ้มค่าสมราคาเข้าไว้ด้วยกันเชื่อว่าจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้ขับขี่กลุ่มผู้ใช้รถยนต์นั่งขนาดกลาง ขนาดเล็ก และอีโค่คาร์ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราได้อย่างทรงพลัง
ส่วนในการทดสอบสมรรถนะของ Michelin Energy XM2+ นั้น เป็นการทดสอบแบบฉบับสั้นๆ โดยได้ใช้พื้นที่ของ สวนนงนุช จำลอง เหตุการณ์ต่างๆ โดยแบ่งออกเป็น 3 สถานี โดยเริ่มจาก สถานีแรกเป็นการทดสอบระยะเบรกบนพื้นถนนแบบเปียก ซึ่งเป็นการทดสองทั้งยาง Michelin Energy XM2+ และยางแบรนด์คู่แข่ง โดยทดสอบบนรถคันเดียวกันโดยสลับยางทั้ง 4 เส้นในแต่ละรอบ โดยยางแต่ละแบรนด์ที่ทำการทดลองนั้นจะถูกปรับหน้ายางลง 2 มม. เพื่อจะทำให้เหมือนกับว่ายางที่นำมาทดลองนั้นเป็นยางที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว โดยการวิ่งแต่ละรอบจะใช้ความเร็วของรถที่เท่ากันคือ 80 กม./ชม. วิ่งมาในทางตรงและเบรกในจุดที่กำหนดและทำการวัดระยะเยรก โดยผ่านเครื่องวัดระยะเบรก ด้วยเครื่อง Performance Box และจากผลการทดสอบระยะเบรกของยาง Michelin Energy XM2+ สามารถทำระยะได้สั้นที่สุดในยางที่นำมาทดสอบทั้งหมด (ในการทดสอบสถานีนี้ใช้ผู้ขับขี่คนเดียวกันในการทดสอบ)
สถานีที่ 2 เป็นการทดสอบเรื่องของเสียงยางที่เข้ามาในห้องโดยสาร โดยการทดสอบสถานีนี้ ได้ใช้รถรุ่นเดียวกันทั้ง รุ่นที่ใส่ยาง Michelin Energy XM2+ และยางแบรนด์คู่แข่ง โดยทำการวิ่งทดสอบภายในสวนนงนุช โดยจำลองเหตุการณ์ในบางช่วงโดยใช้เเหล็กเส้นมากั้นบนทางถนนคอนกรีตในบางช่วง และบางช่วงก็เป็นเส้นจราจรที่ตีขวางไว้เพื่อชลอความเร็วบนท้องถนน โดยใช้ความเร็วในการขับขี่ตามปกติที่ใช้บนท้องถนนจริง เพื่อจับอาการเสียงยาง ในช่วงที่ขับผ่าน จากที่ได้ทดสอบรถที่ใส่ยางคู่แข่งจะมีเสียงดังตอนเข้าโค้งเป็นอย่างมาก ส่วนรถที่ใส่ยาง Michelin Energy XM2+ จะมีเสียงที่เบากว่ารถยนต์ที่ใส่ยางคู่แข่งเล็กน้อยทั้งช่วงเข้าโค้งและวิ่งผ่านเหล็กเส้นที่กั้นทาง รวมทั้งเส้นจราจรที่ตีขวางไว้เพื่อชลอความเร็ว
สถานีที่ 3 เป็นการจำลองขับในลานกว้างที่มีการกำหนดเส้นทางให้วิ่งตามแนวไพล่อนที่ตั้งเอาไว้ โดยแบ่งเป็น 3 รอบ รอบแรกนั่งกับ Instruction เพื่อดูเส้นทาง รอบที่ 2 ใช้รถที่ใส่ยางคู่แข่ง และรอบสุดท้ายใช้รถที่ใส่ยาง Michelin Energy XM2+ โดยเส้นทางนั้นจุดแรกจะเป็นทางโค้งซ้ายและมีพื้นผิวที่เปียก และหลังจากนั้นจะวื่งและหักหลบอุปสรรคที่ตั้งขวางไว้โดยเป็นการหักหลบจากซ้ายไปขวา โดยใช้ความเร็วที่กำหนดไว้ที่ 55 กม./ชม. ซึ่งในที่ใช้ยางคู่แข่ง ตอนเข้าโค้งรถในพื้นผิวถนนที่เปียกตัวรถมีอาการลื่นไถลไปบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อในช่วงหักหลบอุปสรรคที่ตั้งขวางไว้ จะเห็นอาการอย่างชัดเจน ต้องชลอความเร็วลดเพื่อไม่ให้รถชนกับของที่ตั้งเอาไว้ จึงผ่านเส้นทางนี้ไปได้ ส่วนในรอบถัดมาเปลี่ยนมาเป็นรถที่ใส่ยาง Michelin Energy XM2+ ในจุดที่เป็นโค้ง และมีพื้นผิวที่เปียกนั้นตอนเข้าโค้งมีความมั่นใจกว่ารถที่ใส่ยางคู่แข่งเป็นอย่างมาก และยิ่งช่วงที่ใช้ความเร็ววิ่ง (55 กม./ชม.) แล้วหักหลบอุปสรรคที่ขวางทางนั้น สามารถควบคุมรถได้นิ่งไม่มีอาการต้องแก้ให้มาก เรียกได้ว่าควบคุมได้ง่ายกว่ารถที่ใส่ยางคู่แข่ง
จะเห็นได้ว่าจากการที่ได้ทดสอบเพียงช่วงสั้นๆ ก็ได้รับรู้ถึงสมรรถนะของ Michelin Energy XM2+ พอสมควรโดยเฉพาะในเรื่องการเบรก ต้องยอมรับว่ามีความมั่นใจทุกครั้งในการเบรก เหมือนกับสโลแกนของทาง Michelin Energy XM2+ ที่ว่าไว้ มั่นใจ...ทุกเวลา ด้วยพลังเบรก
สำหรับท่านใดที่ใช้รถขนาดเล็ก ขนาดกลาง จนไปถึงรถอีโคคาร์ แล้วสนใจยางรถยนต์ที่โดดเด่นในเรื่องความมั่นใจในการเบรค รวมถึงทั้งประหยัด และเกาะหนึบในทุกสภาพถนน Michelin Energy XM2+ ถือว่่าเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจเลยน่ะครับ สำหรับยาง Michelin Energy XM2+ นั้นมีวางจำหน่ายแล้ว รวมทั้งสิ้น 36 ขนาด ตั้งแต่ขอบ 14 นิ้ว -16 นิ้ว มีราคาเรื่มต้นที่เส้นละ 2,290 บาท