ขบวนรถทดสอบพร้อมยางรุ่นใหม่เทียบกับรุ่นเก่า
การขับรถให้ดีไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีหลายปัจจัยที่ตัดสินว่าเราจะพารถไปถึงจุดหมายได้รอดหรือไม่ โดยคนขับมีศัตรูเป็นทางโค้ง ทางเปียก และสภาพแวดล้อมที่คาดเดาไม่ได้ และมียางรถยนต์เป็นหน่วยแนวหน้าทำหน้าที่คอยปราบศัตรูการขับขี่ เผชิญกับผิวถนนก่อนใครเพื่อน เจอทั้งสภาพถนนทุกผิว สภาพอากาศสุดขีดทุกขั้ว และยังต้องแบกรับการต้านแรงกระทำต่างๆ ที่ฝืนหลักธรรมชาติอีกด้วย ชิ้นส่วนนี้ จึงต้องให้มีความสามารถดีสุดๆ เพื่อที่คนขับจะได้เกิดความสบายและมั่นใจแท้จริง แบบไม่ได้รู้สึกไปเอง
ทดสอบกันที่สนามพีระเซอร์กิต
เมื่อเราได้ยินชื่อของ Continental ในวงการยางรถยนต์ก็มีชื่อเสียงอย่างมาก ด้วยเทคโนโลยีจากเยอรมัน ประเทศที่รวมวิศวกรชั้นนำ บวกกับมีถนนในฝันของนักขับหลายคน ดังนั้นผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์จากประเทศนี้ จึงไว้ใจได้ตามมาตรฐานแบบเยอรมันที่เราคุ้นเคย ไม่เว้นแม่แต่ยาง Continental ก็ได้เปิดตัวยางรถยนต์รุ่น MaxContact MC6 โดยชื่อรุ่นสื่อถึงการสัมผัสผิวถนนขั้นสุด บ่งบอกชัดเจนว่ายางรุ่นนี้เป็นตัวท๊อป เน้นสมรรถนะ แต่มันจะดีจริงสมชื่อรุ่นหรือไม่ ทีมงาน BoxzaRacing ได้ลองของให้เห็นกับตามาแล้ว
มั่นใจแฮนด์ลิ่งที่ความเร็วสูง
สนามพีระเซอร์กิตในวันอากาศดี พื้นถนนแห้ง เหมาะแก่การลองของ ด้วยการนำยาง Continental MC6 มาใส่ในรถสมรรถนะสูงหลายรุ่น อย่างเช่น Porsche 911, BMW 440 ฯลฯ มาให้เราเอายางขยี้ถนนด้วยความเร็วสูง โดยมีการทดสอบทั้งหมด 6 แบบ เริ่มจากการลอง Dry handling ขับเข้ากรวยสลาลอมที่ความเร็ว 55-60 กม./ชม. ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตอย่าง Porsche หรือรถหรูอย่าง BMW ที่เราได้ลอง ก็สามารถให้ความมั่นใจ โดยดูจากการที่รถไม่แถป้านออก ต่อเนื่องเข้าสู่การลองของแบบที่ 2 พอพ้นกรวยสลาลอมแล้ว เราก็ใช้เท้าจุ่มคันเร่งส่งรถยนต์เข้าทางตรงยาวด้วยความเร็วเกือบ 180 กม./ชม. แล้วกระทืบเบรคสุดแรงเกิด โดยการขับสุดฮาร์ดคอร์แบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตประจำวัน แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า มาตรฐานยาง Continental MC6 รุ่นนี้ รองรับการขับได้สุดขีดถึงขนาดนี้จริงๆ แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีการลองของมากกว่านี้อีก
ทดสอบการขับแบบเซอร์กิต
ต่อไปเราย้ายไปสนามอีกฟากหนึ่ง ที่ถูกทำให้เปียกอย่างจงใจ เพื่อทดสอบการเบรค แต่ไม่ได้มาคันเดียว โดยคราวนี้เป็นรถ Volkswagen Golf GTI รุ่นแรงของจริง มาคู่กัน 2 คัน โดยคันแรกใส่ยางรุ่นใหม่ Continental MC6 ส่วนอีกคันใส่ยางรุ่นเก่า MC5 สลับกันขับเพื่อเปรียบเทียบกันจะๆ โดยกดคันเร่งส่งมาทางตรง เมื่อเข้าพื้นที่เปียกก็กดเบรคจนหยุดสนิท โดยมีกล่อง Vbox คำนวนระยะทางอยู่ที่ระหว่างความเร็ว 70-5 กม./ชม. คงที่เท่ากันทั้งสองคัน โดยการกระทืบเบรคสุดแรงเกิดนี้ เป็นการจำลองว่าข้างหน้าเป็นคนเดินตัดหน้ารถ ได้ผลลัพธ์ยืนยันความรู้สึกได้ด้วยว่าสั้นลง โดยตัวเลขบนกล่อง Vbox พบว่ายาง MC6 รุ่นใหม่ สามารถหยุดรถให้สั้นลง 5 เมตร เมื่อเทียบกับยาง MC5 ซึ่งถ้าเป็นในชีวิตประจำวันแล้ว ระยะเบรคสั้นลง 5 เมตร นี่สามารถตัดสินชะตาคนคนหนึ่งได้ เปลี่ยนจากบาดเจ็บกลับเป็นรอดตายเลยทีเดียว
เบรคในระยะเปียก ด้วยรถโฟล์คกอล์ฟ จีทีไอ
ยังไม่หมดกับสนามเปียก เมื่อเบรคเสร็จแล้ว ก็มาต่อกันที่การขับในสนามคดเคี้ยว ที่พื้นผิวเปียกไม่แพ้กัน โดยทีมทดสอบเลือกใช้ Honda Civic FC รุ่นใหม่ล่าสุด มาใส่ยางเก่า ส่วนอีกคันหนึ่งเป็น Civic FD รุ่นเก่าที่ใช้มาแล้วแสนกว่ากิโลเมตร กลับมาใส่ยาง MC6 รุ่นใหม่ เป็นการต่อให้ว่าถึงแม้รถจะเก่า ใช้มาจนช่วงล่างสึกหรอไปแล้ว เมื่อใส่ยาง MC6 ขับจริงในสนาม สามารถยัดโค้งได้แม่นยำกว่า พาเข้าโค้งหักศอกได้ที่ความเร็วสูงกว่า แต่กับรถใหม่ที่ใส่ยาง MC5 รุ่นเก่า พอเข้าโค้งด้วยความเร็วเท่ากัน กลับบานโค้ง (อันเดอร์สเตรียร์) ออกไป จนต้องขืนพวงมาลัยมากกว่า ชัดเจนว่าการเกาะถนนนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพของช่วงล่างอย่างเดียว ยางก็มีส่วนช่วยได้มากเช่นกัน
แม้รถรุ่นเก่า ใส่ยางใหม่ก็ช่วยเสริมสมรรถนะได้
สุดท้ายกับการทดสอบความแม่นยำในสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างเช่น เมื่อเราเข้าโค้งแล้วเบรคหน้าทิ่มในโค้ง และในกรณีที่เราเปลี่ยนเลนกะทันหัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่หลายคนน่าจะเคยเจอ เมื่อมีอะไรตัดหน้า โดยใช้รถ Mercedes-Benz C-Class สองคันที่ใส่ยาง MC5 และ MC6 ขับเทียบกันในความเร็วเท่ากัน โดยพยายามยัดโค้งด้วยความเร็วสูงจนยางร้อง จากนั้นก็เบรคให้รถหน้าทิ่มในโค้ง จากนั้นก็ขับด้วยความเร็ว 70 กม./ชม. ไปยังกรวยสลับเลน เหมือนเราหักหลบกะทันหันในการขับจริง ซึ่งเมื่อตัดความรู้สึกออกไปแล้ว พบว่าระยะการแถบานโค้งของยาง MC6 น้อยกว่า MC5 อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเมื่อดูรูปเทียบกันโดยเฉลี่ยแล้ว รถยนต์ที่ใส่ยาง MC6 ห่างจากขอบถนนมากกว่า มีโอกาสหลุดออกไปกินหญ้าข้างทางน้อยกว่า การควบคุมพวงมาลัยก็ทำได้ง่าย ไม่ต้องหักงัดข้อกับแรงเหวี่ยงมาก ทำให้บังคับง่ายและปลอดภัยกว่า
ขับเบนซ์ยัดโค้งด้วยยาง MC6
หลังจากการทดสอบแล้ว เราก็สงสัยว่ามันมีดีอย่างไร จึงทำให้สมรรถนะโดยรวมออกมาดีกว่ายางรุ่นเดิมทุกด้าน จึงขอแอบถามเคล็ดลับกับวิศวกร ซึ่งเราจะไม่พูดถึงศัพท์เทคนิคมากนัก แต่อธิบายง่ายๆว่า โครงสร้างยางออกแบบใหม่หมด ตั้งแต่แก้มยางที่แปรผันความนิ่ม-แข็งตามแรงเหวี่ยงของรถยนต์ อีกทั้งใช้วัสดุขั้นเทพที่โอบอุ้มผิวสัมผัสได้แนบผิวถนนในระดับโมเลกุล รวมถึงการออกแบบดอกยางให้แข็งแกร่ง ลดอาการโย้ตัว ดอกยางไม่ล้มขณะเข้าโค้ง
ดอกยางไม่สมมาตร เข้าโค้งได้หนึบขึ้น
เมื่อทีมงาน BoxzaRacing ขอดูเคล็ดลับของยาง จึงได้ชำแหละลงลึกในรายละเอียดจริง เห็นดอกยางแบบอเนกประสงค์ (Multifunctional Tread Design) แพทเทิร์นการออกแบบดอกยางไม่สมมาตร ช่วยเพิ่มการยึดเกาะในการเข้าโค้ง สามารถยัดได้ความเร็วที่สูงขึ้น และมีระยะทางเบรกสั้นลง อีกสิ่งที่พบก็คือ เนื้อยางรุ่นนี้มี อแดปทีฟ กริป คอมพาวด์ (Adaptive Grip Compound) มีความยืดหยุ่นตามผิวถนนในระดับนาโนเมตร ให้ผิวยางจิกเข้าไปในพื้นผิวได้ลึกในระดับนาโนกันเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีโครงสร้างระดับเทพ เอ็กซ์ตรีมฟอร์ซ (XtremeForce Construction) ที่แก้มยาง เมื่อลองผ่าออกดู พบเห็นผ้าใบที่มีความเหนียวแน่นของวัสดุ เทคโนโลยีวัสดุชนิดนี้จะรักษาความยืดหยุ่นเพื่อให้มีการขับขี่ที่นุ่มนวลสะดวกสบาย เมื่อผู้ขับขี่ใช้ความเร็วต่ำ และเมื่อมีแรงกระทำเพิ่ม โครงสร้างวัสดุนี้จะแข็งตัวขึ้นมา เพื่อช่วยลดการงอตัวของยาง เข้าโค้งแล้วไม่โย้ แก้มยางล้มยากกว่าเดิม
โครงสร้างยางอัดแน่น เคล็ดลับที่เข้าโค้งแล้วแก้มยางไม่โย้ตัว
Continental MaxContact MC6 เรียกว่าพัฒนาใหม่หมดทั้งด้านวัสดุศาสตร์ และด้านเทคนิคทางกายภาพ ด้วยวิศวกรรมจากเยอรมันขั้นเทพ ในราคาเริ่มต้นเพียงเส้นละ 4,000 บาท ในขอบ 16 นิ้ว รองรับได้ทั้งรถบ้านจนถึงรถแรง แม้กระทั่งอีโค่คาร์ที่มีกำลังเครื่องไม่มาก เมื่อใส่แล้วสามารถยัดโค้งได้มากกว่ายางติดรถอย่างเห็นได้ชัด นับเป็นของดีคุ้มค่าหรือไม่อย่าเพิ่งเชื่อผม ไปสัมผัสและลองใช้จริงดูเลยครับ