เอ่ยชื่อ “เอ้ ปลาทู” ในชั่วโมงนี้กลุ่มคนเล่นรถกระบะหรือรถแดร็ก คงไม่มีใครไม่รู้จักเขา แต่ก่อนที่จะมาเป็นเอ้ จนถึงทุกวันนี้เขาต้องผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย ทั้งมีความสุขและเศร้าเคล้ากันไป ทีมงาน BoxzaRacing.com ได้มีโอกาสเข้าไปคุยกับผู้ชายที่ชื่อ เอ้ ปลาทู ถึงความพยายาม ความตั้งใจ ที่สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เข้าสู่ครอบครัวของตัวเอง เพื่อให้ครอบครัวของตัวเองอยู่สบายไม่เดือดร้อน และสิ่งที่เขายึดมั่นจนทำให้มีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้
เริ่มจากเข้าร้านมอไซค์ ตั้งแต่อายุ 15
ตอนเด็กๆ เอ้ เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ซุกชนตามประสาวัยรุ่น ชอบการปั่นจักรยาน ชอบเครื่องเสียง แต่มีจุดเด่นกว่าคนอื่นๆ คือชอบประกอบชุด Kits ที่เกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ทุกประเภท ซึ่งเอ้ เองชอบเกี่ยวกับการประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาตั้งแต่สมัย ม.ต้น เลยทีเดียว พอเข้ามาระดับ ปวช. เขาจึงขอทุนเพื่อที่จะเข้าไปเรียน ปวช. ในสาขาที่ตัวเองชอบแต่ไม่ได้ดั่งใจตามที่ต้องการ ที่บ้านจึงให้ไปเรียนสาขาช่างสร้างแม่พิมพ์โลหะแทน ซึ่งยุคนั้นสาขานี้ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก ช่วงระหว่างที่เรียนอยู่ก็ชื่นชอบรถมอเตอร์ไซค์ โดยตอนเช้าไปเรียนพอตกเย็นก็ไปนั่งที่อู่มอเตอร์ไซค์เพื่อที่จะศึกษาในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบอย่างละเอียด ตัวเขาเองนั่นถูกปลูกฝังเรื่องเครื่องยนต์มาตั้งแต่เด็กเนื่องจากที่บ้านทำบริษัทรถทัวร์ จึงช่วยที่บ้านซ่อมรถทัวร์ตั้งแต่เด็ก นั่นคือการจุดประกายที่ทำให้เขาชอบเรื่องเครื่องยนต์ พอเข้าเรียนปวช. ตอนเช้าเรียน ตอนเย็นจึงไปอยู่ที่อู่มอไซค์ตามที่ตัวเองชอบ และได้แอบที่บ้านซื้อมอเตอร์ไซค์คันแรกมา ที่ต้องแอบเพราะตอนนั้นที่บ้านยังไม่สนับสนุนเรื่องนี้ พอได้มอเตอร์ไซค์คันแรกมาก็เอาเข้าไปให้ที่ร้านทำ แต่ไม่ได้ให้ร้านทำอย่างเดียว ตัวเขาเองก็ลงไปทำด้วยและต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ช่างทำด้วย เพราะเขาถือ คติว่า “ต้องรู้ลึกในสิ่งที่ตัวเองจะทำให้ได้” โดยรถมอเตอร์ไซค์คันแรกเป็น Ls และส่งรถไปให้ร้าน วิรัช ปากน้ำ จัดการโมดิฟายเพื่อที่จะเอาลงแข่งหลังถนน ดันโล เดิมพันกันเป็นจริงเป็นจัง จากเป็นลูกค้าของทางร้านจนกลายเป็นเด็กที่ร้านไปโดยปริยาย ทำให้ไปอยู่ที่ร้านแทบทุกวัน ในตอนเช้าก็จะไปอยู่ที่อู่ ส่วนตอนบ่ายก็ไปเรียน ทำให้เรียนรู้และซึมซับเทคนิคการทำรถมอไซค์ได้มากขึ้น แล้วมีอยู่จังหวะหนึ่งคุณยายได้ให้รถ Toyota Ke-36 มาใช้งานซึ่งเป็นจุดพลิกผันของชีวิตอีกจุดหนึ่งทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสสู่วงการแดร็กอย่างเต็มตัว
ย่างเข้า ปวส. ค้นพบในสิ่งที่เป็นตัวเอง เปิดอู่มอไซค์ และที่บ้านสนับสนุน
ในช่วงที่เรียน ปวช. ก็แอบที่บ้านซื้อมอเตอร์ไซค์และไปคลุกคลีอยู่ที่อู่จนตัวเองกลายเป็นเด็กที่อู่มอเตอร์ไซค์ไปโดยปริยาย แต่พอเข้าเรียน ปวส. คุณพ่อได้เปิดอู่มอเตอร์ไซค์ให้เพราะว่าช่วงนั้นมีมอไซค์เต็มบ้านแล้วและคุณพ่อเห็นว่าเราชื่นชอบที่จะไปทางนี้จริงๆ จึงไม่ได้ห้ามและให้การสนับสนุนเปิดอู่ให้ ตอนนั้นเริ่มทำรถจริงจัง ทุกครั้งเวลาที่ไปแข่งคุณพ่อจะให้คนขับรถที่บ้านขับรถพาเราไปแข่งที่สนามเป็นประจำ ตอนนี้จึงเปลี่ยนบทบาทจากเด็กเล่นรถเป็นเจ้าของอู่จึงได้แค่ทำรถลูกค้าลงไปร่วมทำการแข่งขันในรายการต่างๆ ทั้งในสนามและนอกสนาม จนทำให้มีชื่อเสียงติดหูในกลุ่มคนเล่นรถมอเตอร์ไซค์ พอเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นสังคมก็เปิดกว้างขึ้นและมีอู่รถชวนให้ไปขับรถกระบะลงแข่งแดร็กถือเป็นจุดเริ่มต้นในการแข่งแดร็กของ เอ้ เองเลย โดยอู่ที่ชวนก็ไม่ใช่อู่ไหนก็คืออู่ที่เขาเอารถ KE ไปทำนั่นเอง ซึ่งจุดเด่นของ เอ้ ก็คือสามารถบอกอาการของรถได้ ว่าอาการของรถเป็นอย่างไร มีปัญหาตรงเกียร์ไหนหรือเสียอาการตรงไหน เขาจึงเป็นที่ไว้วางใจของอู่ให้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถแข่งเรื่อยมา โดยส่วนตัวของ เอ้ เองคิดว่า “เราสร้างปมเด่นให้กับตัวเอง ซึ่งปมเด่นในเรื่องรูปร่างหน้าตาเราไม่ดี แต่เราสร้างปมเด่นในเรื่องของความสามารถเพื่อให้เพื่อนๆ ยอมรับในตัวเราได้ ประกอบกับความชอบจึงเริ่มทำเป็นอาชีพ”
เกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องปิดอู่มอไซค์ ขาย KE เปลี่ยนเป้าหมายใหม่
พอเข้าสู่รั้วมหาลัยก็มีการเปลี่ยนแปลงของชีวิตจึงต้องปิดอู่มอเตอร์ไซค์ที่ตัวเองชอบไป แล้วกลับเข้าไปช่วยงานที่บ้านที่เปลี่ยนกิจการใหม่จากทำรถบริษัททัวร์เป็นทำรถสองแถว จึงต้องเข้ามาช่วยที่บ้านดูแลรถ เซอร์วิสรถและยังต้องขายรถ Toyota Ke ออกไปแต่ก็ได้ซื้อรถ Nissan Cefiro A31 เข้ามาจากคำชวนของเพื่อน เพื่อลงแข่งแดร็กอย่างเต็มตัว เขาเริ่มแข่งแดร็กตั้งแต่สนามคลอง 5 เปิดใหม่ๆ ลงแข่งในรุ่น Bracket เป็นหลัก โดยอาศัยอู่ V-Pro เป็นที่ทำรถ อาศัยช่างในอู่ อาศัยเครื่องมือในอู่ อะไรที่ เอ้ ทำเองไม่ถนัดก็จะให้ช่างที่อู่นี้ทำให้ ส่วนสิ่งไหนที่เอ้ ทำได้ก็จะทำเอง ซึ่งได้ “พี่นุ่น อู่ V-Pro” ช่วยทำรถและสอนให้ทำรถจนเป็นทุกวันนี้ ในช่วงนั้นก็จะโฟกัสที่รถ Cefiro A31 ซะส่วนใหญ่ หลังจากที่ทำ Cefiro A31 วิ่งอยู่ 10 กว่าปีแล้วรู้สึกอิ่มตัวกับสิ่งที่ทำอยู่ จึงตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะทำ Nissan Cefiro A31 วางเครื่อง RB25 1000 Hp. วิ่ง 9 Sec ให้ได้แล้วจะเลิก และก็ทำได้จริงๆ โดยวิ่งได้อยู่ที่ 9.8 แต่แรงม้าไม่ถึง 1,000 Hp. ในยุคนั้นถือว่าประสบความสำเร็จมากจึงเลิกและขายรถทันที พอขายไปแล้วก็หารถเพื่อที่จะเอามาวิ่งใช้งาน คราวนี้หันหัวไปเอารถกระบะ Isuzu D-Max 3,000 Commonrail เพื่อเอามาวิ่งใช้งานอย่างเดียว แต่ด้วยความที่เป็นตัว เอ้ เอง และอยู่ในวงการรถแดร็กเห็นรถคนอื่นใส่กล่องแล้ววิ่งดี จึงลองศึกษาข้อมูลและลองใส่กล่อง ECU เข้าไปและคำตอบที่ได้คือแรงจริง และทำนิดเดียวเอง ซึ่งเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเอ้ เพราะก่อนหน้านี้เขาขับรถเครื่องยนต์ดีเซลที่เป็นปั้มสายขับได้แป๊ปเดียวพัง แป๊ปเดียวพัง เลยรู้สึกไม่โอเค แต่พอมาเจอเครื่องคอมมอนเรล ที่แค่ใส่กล่อง เปลี่ยนคลัทช์ ใส่เต็ดเข้าไปวิ่ง 14.6 Sec. แล้วจึงรู้สึกตกใจ จากนั้นก็ขยับสเต็ปเพิ่มขึ้นเปลี่ยนเทอร์โบใหม่เป็น TF08 เวลาลงมาอีกเป็น 11.9 Sec. จึงรู้สึกสนุกกับการทำเครื่องคอมมอนเรลแต่ก็ไม่วายรถพังอีก การที่รถพังคราวนี้จึงทำให้รู้สึกว่าพอเหอะกับรถซิ่งรู้สึกว่าหมดเยอะมากๆ สุดท้ายก็ขายรถไปเหมือนเดิมคราวนี้เลิกจริงๆ แล้วมาซื้อ Toyota Wish เปลี่ยนแนวไปแต่ง VIP แบบว่าเปลี่ยนแนวไปเลย ไม่สนใจหละรถแรง
น้องชาย อิส อิสระกีฬาวัยรุ่น อยากเล่นรถกระบะ
โดยตัวเอ้ เองมีน้องชายอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่า “อิส” ซึ่งตอนนั้นทำรถฮอนด้าลงวิ่งในสนามในนาม “กีฬาวัยรุ่น” สนใจที่อยากจะทำรถกระบะลงวิ่งในสนามแดร็กบ้าง จึงเริ่มสนทนากับพี่ชายคือ เอ้ เอง ซึ่งจากประสบการณ์ที่สั่งสมมา และอะไรต่างๆมากมายจึงตัดสินใจทำ โดยตอนนั้นหุ้นกันซื้อรถ Chevrolet Colorado ตาหวานมาหนึ่งคันเพื่อที่จะทำรถแดร็ก พอได้รถมาแล้วก็นั่งคุยกันต่อว่าจะทำยังไงดี จะให้อู่ไหนทำดีหรือจะทำเองดี ซึ่งคิดไปคิดมาจึงตัดสินใจทำเองเลยดีกว่า ไหนๆก็เรียนรู้โลกภายนอกมาเยอะแล้วสั่งสมประสบการณ์มาพอสมควรแล้ว เลยตัดสินใจเปิดอู่ “เอ้ เรซซิ่งการาจ” ขึ้นมา โดยใช้พื้นที่อู่ทำมอไซค์เก่ามาทำเป็นอู่รถกระบะ โดยสไตล์การทำรถของเอ้ ที่ไม่เหมือนใครโดยจะเน้นให้ “ลูกค้าทำในสิ่งที่จำเป็น” เพราะในความคิดของเอ้เอง การแต่งรถไม่ใช่เรื่องจำเป็นเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เวลาแต่งรถแล้ว อย่าเดือดร้อนใคร อย่ากู้หนี้ยืมสินใครมาแต่งรถ เพราะเขาผ่านในจุดๆ นั้นมาแล้ว โดยลูกค้าที่จะเข้ามาทำที่อู่นี้ ทางเอ้จะแนะนำว่าให้ทำให้สิ่งที่จำเป็น ตามงบประมาณที่มีและเหมาะสมเท่านั้น และจะไม่ยุให้ลูกค้าที่เข้ามาทำที่อู่ ทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นคุยกันตามงบประมาณที่มี ด้วยความที่เป็นคนพูดตรงๆ กวนทีน ไม่โกหก ไม่หลอกลูกค้า และด้วยสไตล์การทำรถแต่งรถที่ไม่เหมือนใครและฉีกออกจากแนวที่เป็นอยู่ทำให้ชื่ออู่ “เอ้ เรซซิ่งการาจ” ติดหูผู้คนได้ในระยะเวลาที่ไม่นาน และยังคงรักษาชื่อเสียงของตัวเองมาอย่างยาวนาน
2560 พี่อ้า ECU Shop ชวนคุยเปิดโลกทัศน์ใหม่
ถ้าจะเอ่ยถึงชื่อ “พี่อ้า ECU Shop” ถือว่าเป็นอีกบุคคลหนึ่งของวงการรถแดร็กที่ไม่มีใครไม่รู้จักเขา ซึ่ง พี่เอ้ เองก็ค่อนข้างที่จะสนิทกับพี่อ้า พอสมควร พี่อ้าชวน “เอ้และโอ๊ตอู่ช่างขวัญ” ขึ้นไปเที่ยวที่เชียงใหม่เพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน จนมีคำพูดนึกออกมาจากปากพี่อ้าว่า “เอ็งสองคนจะทำรถแข่งอย่างเดียวไม่ได้แล้ว จะหาเงินจากแค่ทำอู่รถแข่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาอะไรเสริมและหาอะไรเพิ่มเข้ามาในชีวิตได้แล้ว” พอทั้งสองคนกลับมาจึงมานั่งคิดกันว่าทำอย่างไรดี แล้วจะทำอะไรดี ประจวบกับตอนนั้นทำรถแข่งลงในรุ่น 1.9 พอดี ซึ่งปัญหาของรุ่นนี้ส่วนใหญ่มาจากเรื่องของชุดวาล์ว เขาก็ได้คิดค้นและแก้ปัญหาเรื่องชุดวาล์วได้สำเร็จในรถตัวเอง จึงนำอุปกรณ์ชุดนี้ไปให้ลูกค้าและกลุ่มคนเล่นรถรุ่นนี้ลองใช้ ซึ่งได้ผลตอบรับออกมาดีเกินคาด คนให้การยอบรับและให้ความนิยม ในจุดนี้เองจึงก่อให้เกิดแบรนด์ “ATP Racing Performance” ขึ้นมา โดยในตอนแรกของทุกอย่างทุกชิ้นที่ออกมาถูกคิดค้นมาจากรถที่ตัวเองใช้แข่งลองแล้ว แก้แล้ว พิสูจน์แล้ว ว่าใช้ได้จริงจึงเอาออกมาวางขาย โดยมีวิธีการสร้างแบรนด์ในรูปแบบของตัวเอง หลังจากชุดแก้วาล์วออกมาขาย ยังมี แคมชาฟ์ทและเทอร์โบที่เป็น แบรนด์ของ ATP Racing Performance ที่ออกมาวางจำหน่ายตามท้องตลาดอีกด้วย ด้วยความพยายาม ด้วยความตั้งใจทำในทุกๆ สิ่งที่ได้ลงมือทำ ทำให้ชื่อเสียงของ เอ้ ปลาทู เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนเล่นรถ กลุ่มคนทำรถ ทั้งรถบ้านและรถแข่ง เอ้ ปลาทู ได้ทิ้งท้ายไว้กับทีมงานว่า “ผมทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ทำด้วยความพยายาม จนก่อให้เกิดอาชีพที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ และมีชื่อเสียง”
วันนี้เราคงรู้จักกับผู้ชายที่ชื่อ “เอ้ ปลาทู” หรือ เอ้ ATP Racing Performance มากขึ้น แนวทางความคิดของเขา ที่เอามาใช้ในชีวิตประจำวันน่าจะทำให้เพื่อนๆ มีแนวความคิดในการทำงาน ในการดำรงค์ชีวิตต่อไป
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook