เขียนโดย: Mhee 6524694

เมื่อ: 9 พฤศจิกายน 2562 - 00:32

ภาพโดย: BeastTorque

Automotive | Lifestyle | Cars

บทสัมภาษณ์

 

          ความฝันของแต่หละคนมีไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีฝันอะไร แล้วจะมีวิธีที่วิ่งตามความฝันของตัวเองได้อย่างไร ระหว่างทางที่จะไปถึงฝันของตัวเองในแต่ละคนก็จะมีวิธีการเตรียมความพร้อมที่ต่างกันออกไป ใครที่เตรียมความพร้อมได้ดีก่อนที่โอกาสจะมาถึงย่อมมีจังหวะที่ดีกว่า และ เมื่อโอกาสเปิดก็จะสามารถทำตามความฝันของตัวเองได้เลย อย่างเด็กหนุ่มคนนี้ที่ชื่อ “สต๊อป นาพร้าว หรือ พีระกานต์ เงินมีศรี” เด็กหนุ่มที่ชื่นชอบความเร็วคนนี้มีความฝันว่าครั้งหนึ่งจะได้ลงไปขับรถในสนามแข่งระดับประเทศ และเขาก็สามารถทำตามความฝันของตัวเองได้ แต่ระหว่างทางที่จะเจอฝันเขาต้องเจออะไรมาบ้าง ผ่านอะไรมาบ้าง มีวิธีการเตรียมตัวอย่างไร เรามีโอกาสได้พูดคุยกับเขาถึงความเป็นมา ว่ากว่าจะถึงจุดนี้ต้องทำอย่างไรบ้าง

 

 

เริ่มต้นจากเป็นทีม Marshal ในสนามแข่งตั้งแต่เด็กๆ 

           จุดเริ่มต้นของเขาจะบอกว่าเป็นครอบครัวทีม Marshal ก็ว่าได้เนื่องจากคุณพ่อ คุณแม่ และลุง ได้ทำงานเป็นทีม Marshal อยู่ในสนามแข่งรถ ซึ่ง “สต๊อป” ก็โตขึ้นมาจากจุดนี้ ด้วยวัยเพียง 12 ปี เขาได้ก้าวเข้าสู่วงการแข่งรถด้วยการเดินตามพ่อ แม่ ลุง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีม Marshal เขาทำทุกอย่างที่ทีมงานทำ ไม่ว่าจะเป็นกวาดแทร็ก โบกธงข้างสนาม กู้รถแข่งที่เกิดอุบัติเหตุในสนามแข่ง พอโตขึ้นมาก็เข้าไปช่วยทำงานในห้อง Race Control ถือว่าเป็นห้องที่ควบคุมการแข่งขันรถทั้งสนามแข่ง แต่ด้วยความที่เป็นตัวเขาจึงไม่ชอบที่จะนั่งทำงานหน้าจอ ในห้องแอร์ จึงขอออกมาทำงานภาคพื้นสนามแทน โดยเปลี่ยนเป็นเด็กโบกธงที่เส้น Start และ Finish นั่นเอง พอได้มาทำในตำแหน่งนี้ความรู้สึกสงสัยและอยากรู้ว่าคนขับที่นั่งอยู่ในรถแข่งจะรู้สึกอย่างไร เมื่อเวลาที่เห็นเขาโบกธงสีต่างๆ ทั้งการเตือนทั้งออกสตาร์ท ทั้งเข้าเส้น จึงเพิ่มเชื้อไฟในความฝันของตัวเองให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

เจอรุ่นพี่ที่ความคิดเหมือนกัน และเป็นผู้เปิดประตูความฝันของเขา

     ระหว่างที่เขาทำงานในทีม Marshal เขาก็เจอกับคนมากหน้าหลายตา พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไปเรื่อยๆ จนมาเจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า “จิมมี่ เจมส์ เหล่าหงษ์ทอง” สต๊อปก็พูดคุยกับพี่จิมมี่ตามปรกติ ตามประสานคนที่ชื่นชอบกีฬามอเตอร์สปอร์ตเหมือนกันซึ่งเหมือนชะตาฟ้าลิขิตเพราะสองคนนี้คุยกันถูกคอ คุยกันรู้เรื่องและทัศนคติตรงกัน จึงเริ่มสนิทกันมาเรื่อยๆ และประตูความฝันของเขาก็เปิดขึ้นเมื่อเขาได้มีโอกาสขึ้นไปครับรถ Medical Car ในสนามแข่ง ซึ่งเป็นรถปิดท้ายขบวนรถแข่งในสนามแข่งทำให้เขาจิตนการตัวเองว่าเป็นนักแข่งซึ่งเขาก็ขับเข้าตามลายที่นักแข่งขับ เนื่องจากว่าเป็นรถสแตนดาร์ดเพราะฉะนั้นต้องขับเร็วประมาณหนึ่งเพื่อที่จะเข้าพิทให้เร็วที่สุดก่อนที่รถแข่งคันนำจะมาถึงรถเขา เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่เขาได้เก็บเอาไว้ในหัวสมองของตัวเอง ในช่วงที่ขับรถ Medical Car นี้เองเขาก็ได้ชวน “พี่จิมมี่” ขึ้นไปนั่งบนรถแล้วขับตามขบวนรถแข่งตามปรกติ หลังจากที่จิมมี่ลงมาจากรถได้เห็นแววของเด็กคนนี้จึงได้ชวน “สต๊อป” สร้างทีม “Carisma” ขึ้นมาเพื่อลงทำการแข่งขัน ซึ่งเขาก็ตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไรเลยถือว่าเป็นการเปิดประตูความฝันของสต๊อปอย่างเป็นทางการนั่นเอง 

 

 

สร้างทีม Carisma ลงแข่งด้วยทุนตัวเอง 

           หลังจากที่พี่จิมมี่ได้ชักชวนเข้าร่วมทีม “Carisma” เขาก็มุ่งมั่นและตั้งใจโดยนำรถที่เขาใช้ในชีวิตประจำวันคือ Toyota Ke70 ลงมาปรับแต่งเพื่อลงทำการแข่งขันในรุ่น Retro ของรายการแข่งในเมืองไทยที่มีรุ่น Retro ให้แข่ง แต่ก่อนที่จะลงแข่งได้ก็ต้องมีทำการฝึกซ้อมและพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นด้วยงบที่มีอยู่จำกัด ทั้งสองคนจึงค่อยๆ เก็บข้อมูลค่อยๆ ซ้อมตามทุนที่มีและได้สร้างชาแนล Youtube เพื่อที่จะเป็นการเก็บข้อมูลและเป็นแนวทางให้กับนักแข่งหน้าใหม่ที่อยากจะเข้ามาแข่งรถแบบเขาแต่ทุนมีไม่มากเหมือนเขาสองคน และด้วยความที่สต๊อป คลุกคลีอยู่ในวงการแข่งรถมานานทำให้เขาได้เห็นนักแข่งหลายๆ คนขับในสนามแข่งและจำข้อดีของนักแข่งแต่ละท่านมาปรับใช้กับตัวเองว่าเข้าโค้งแบบไหนถึงเร็ว โค้งลักษณะนี้ต้องขับแบบไหนประจวบกับความตั้งใจที่อยากจะเป็นนักแข่งอยู่แล้ว ทำให้ฝีมือเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาซ้อมและเก็บข้อมูลอยู่เกือบปีจึงพร้อมที่จะลงไปล่าถ้วยรางวัลในรุ่นที่รองรับกับรถแข่งของเขา และเขาก็ทำผลงานได้ดีดั่งใจคิดเนื่องจากการฝึกฝนและเก็บข้อมูล ซึ่งระหว่างที่ลงแข่งอยู่นี้เองได้เจอกับ “บังหมาย” ได้เข้ามาพูดคุยและชักชวนให้ลองมาขับรถ One Make Race ดูซิ รับรองสนุกและท้าทายกว่าเดิมแน่นอน อย่างที่บอกว่าทีมนี้ใช้ทุนตัวเองแข่งและด้วยทุนที่มีจำกัดทำให้เขาคิดและตัดสินใจอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจเช่ารถ “Toyota Vios” ลงแข่งในรายการ Toyota Motor Sport ในปี 2018 นั่นเอง 

 

พี่โต้ง Superclub ดึงเข้าร่วมทีม Superclub Racing ในปี 2018  

          หลังจากที่ตัดสินใจอยู่พักใหญ่จึงตัดสินใจเช่ารถ “Toyota Vios” เพื่อจะลงแข่งขันในรายการ Toyota Motor Sport แต่ระหว่างที่ได้รถมาทั้งสองก็ทำตามขั้นตอนที่เขาเคยทำมากับรถคันเก่าคือ ฝึกซ้อมและเก็บข้อมูลของรถให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และได้มีโอกาสไปซ้อมก่อนที่จะลงทำการแข่งขันในรายการ Superclub Supercompact 2018 เขาก็ซ้อมกันตามปรกติกันอยู่สองคนปรับแก้รถ ปรับแก้คนขับไปเรื่อย และในจังหวะที่ขึ้นมาพักจากการลงไปซ้อมในสนาม สต๊อปได้เจอกับ “พี่โต้ง Superclub Racing” ซึ่งเขาไปสนามพีระพอดีเพื่อเตรียมงานแข่งของเขาได้เข้ามาคุยกับสต๊อป ได้บอกวิธีการขับขี่รถขับหน้าว่าต้องขับอย่างไรเพราะวิธีการขับขี่รถขับหน้าและรถขับหลังจะไม่เหมือนกัน ซึ่งก่อนที่พี่โต้งเข้ามาคุยกับสต๊อป เขาขับทำเวลาต่อรอบสนามพีระอยู่ประมาณ 1.22 นาที ถือว่าไม่ดีและไม่ร้ายแต่พอพี่โต้งบอกวิธีแก้ไขให้ลองขับแบบนี้ดูให้ปรับแก้แบบนี้ดูแล้วลงไปขับใหม่เวลาเขาดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดด้วยเวลา 1.19 นาที ซึ่งถือว่าเร็วและอยู่ในอันดับต้นๆ ของรถ Vios One Make Race ก็ว่าได้ และตรงจุดนี้เองที่ทำให้ “พี่โต้ง Superclub Racing” เป็นอีกหนึ่งคนที่เห็นแววของเขาและได้กลับไปคุยกับ “พี่เบียร์ Superclub Racing” ทั้งสองคนจึงได้ชวน “สต๊อป” เข้ามาร่วมทีม “Superclub Racing” ลงทำการแข่งขันในรายการ Toyota Motor Sport 2018 เป็นอีกหนึ่งประตูฝันของสต๊อปเองที่ได้เปิดออกมา 

 

 

ลงแข่งปีแรก 2018 แบบไม่ได้คาดหวังอะไร ขอแค่ทำดีสุดแต่ผลลัพท์ที่ได้ดีเกินคาด 

        ได้ก้าวเข้าสู่ทีม “Superclub Racing” ถือว่าเป็นทีมแข่งรถทีมใหญ่ทีมหนึ่งในรายการ Toyota Motor Sport ในความคิดของสต๊อป เนื่องจากมีการจัดการทุกอย่างเป็นระบบหมดทั้งมีการฝึกซ้อม มีการวางแผน มีการประชาสัมพันธ์ทีม ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากๆ ที่เข้ามาอยู่ในทีมนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเขาคิดแค่ว่าแต่หละสนามจะทำผลงานให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง หลังจากลงไปขับจริงๆ ถือว่าเป็นครั้งแรกของเขากับสนามแบบสตรีทเซอร์กิตจริงๆ สนามที่แคบและความกดดันสูงโดยสนามแรกเขาสามารถซ้อมและจับเวลาควอลิฟายมาเป็นอันดับที่ 1 ซึ่งทุกคนในทีมตะลึงกับผลงานของเขา และจบการแขังขันในอันดับที่ 3  ในสนามที่สองเขาก็สามารถควอลิฟายมาเป็นอันดับที่ 2 แต่สนามนี้ไม่จบการแข่งขันถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ต้องจดจำในการบำรุงรักษาและเซอร์วิสรถแข่งด้วย พอในสนามที่ 3 เขาสามารถควอลิฟายมาเป็นอันดับที่ 3 เช่นกัน และในสนามนี้เองทำให้เขาได้ฉายาใหม่ว่า “สต๊อป แชมป์ควอลิฟาย” เนื่องจากเวลาที่ดีที่สุดที่เขาทำได้จะมาในช่วงท้ายๆ ของการจับเวลารอบควอลิฟายนั่นเอง ตลอดปี 2018 นี้เขาก็ควอลิฟายได้อันดับ 1 ใน 10 ตลอดปี และคะแนนเก็บประจำปีเขาสามารถทำได้ในอันดับที่ 6 ของปี จากนักแข่งที่ลงทำการแข่งขันทั้งหมด 28 ท่าน ถือว่าดีเกินกว่าที่คาดหวังเอาไว้เลยทีเดียว 

 

 

ปี 2019 ณ ตอนนี้คะแนนอยู่อันดับที่ 3 ประจำปี เหลืออีก 1 สนาม

         ในส่วนปี 2019 นี้เป็นอีกหนึ่งปีที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกใน “Superclub Racing” ในปีนี้เขาก็ไม่ได้อยากจะคาดหวังอะไร ด้วยเรื่องของทุนที่มีจำกัดทำให้เขาต้องระมัดระวังในการขับขี่มากขึ้น และได้มีโอกาศซ้อมรถแข่งจริงๆ น้อยลงแต่ก็ยังได้ซ้อมบ้าง ซึ่งผลงานในปีนี้ออกมาค่อนข้างดี ณ ตอนที่เรานำเสนออยู่นี้ขาลงทำการแข่งขันในรายการ Toyota Gazoo Racing Motorsport ไปแล้ว 4 สนาม โดยคะแนนสะสมของเขาอยู่ในอันดับที่ 3 ประจำปีของรายการนี้อีกด้วย และยังเหลือการแข่งขันอีกหนึ่งสนามที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค. ต้องมาลุ้นกันว่าเขาจะจบที่เท่าไหร่และสามารถทำคะแนนได้เป็นอันดับที่เท่าไหร่ประจำปีการแข่งขัน 2019 นี้ นอกจากการแข่งขันรถจริงๆ แล้วในปีนี้ สต๊อปยังร่วมทำการแข่งขันขับรถแข่งรายการ GPeracing Series ที่เชียงใหม่และคว้าอันดับที่ 2 มาครองได้ และจะต้องไปแข่งชิงแชมป์ประเทศไทยอีกครั้ง ต้องลุ้นกันว่าเขาจะทำผลงานได้เป็นอย่างไร สามารถติดตามผลงานของเขาได้ที่ Facebook Fanpage : Team Carisma ได้เลย ลองข้าไปดูเผื่อคุณจะเป็นแนวทางในการที่จะก้าวข้าสู่การเป็นนักแข่งรถอย่างถูกต้อง 

 

 

          เป็นเด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนที่วิ่งตามความฝันของตัวเองได้ สำเร็จแต่กว่าจะได้มานั้นต้องผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมาก แต่ถ้าเราเตรียมตัวไม่พร้อมพอโอกาสมาถึงเราก็จะไม่สามารถคว้าฝันของตัวเองได้เหมือนกับเด็กหนุ่มคนนี้ “สต๊อป นาพร้าว พีระกานต์ เงินมีศรี” เบอร์ 77 Carisma Superclub Racing 

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook