เขียนโดย: Thanathip

เมื่อ: 31 มกราคม 2566 - 12:42

Royal Enfield Classic 350 วันเดย์ทริปขี่สบายๆ พร้อมไปทุกเส้นทาง

 

     เมื่อไม่นานนี้ทาง Boxzaracing ได้รับเกรียติจาก Royal Enfield Thiland เชิญเข้าร่วมทริป REborn Ride เป็นทริปทดสอบการขับขี่ Royal Enfield Classic 350 หนึ่งในรุ่นที่สืบทอดเอกลักษณ์การดีไซน์มาจากรุ่น G2 ในยุคสมัยสงครามโลก ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้จะเป็นแบบ One Day Trip กรุงเทพฯ - สามพราน จ.นครปฐม ทริปขับขี่เอาฟิลลิ่งแบบชิลๆ บนระยะทางไปกลับประมาณ 130 กม. โดยจุดเริ่มต้นของเรานั้นอยู่ที่อาคาร CW Tower ย่านรัชดา 

 

เอกลักษณ์ดีไซน์ J-platform ที่ถูกส่งต่อกันมา

 

 DNA ระดับตำนานส่งต่อผ่านรหัส Classic 350 

     การเดินทางในครั้งนี้รถที่ผมเลือกขับขี่นั้นเป็นตัวท็อปสี Chrome Bronze ดีไซน์โดดเด่นสะดุดตาไม่ว่าจะเป็นถังน้ำมันทรงหยดน้ำ ไฟหน้าทรงหมวก ตามสไตล์ของ Royal Enfield ที่สืบทอดกันมา นอกจากนี่ยังได้ผสานเทคโนโลยีเพิ่มความสะดวกสบายเข้ามาด้วยไม่ว่าจะเป็น หน้าปัดที่มีเข็มอนาล็อคและจอ LCD ที่บอกครบทุกฟังก์ชั่นเช่น ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง, ระยะทางรวม, นาฬิกา, ไฟสถานะ ECO (สถานะประหยัดน้ำมัน) และยังมีช่องเสียบสายชาร์จ  USB ซ่อนไว้ใต้แฮนเดิลบาร์อีกด้วย

 สูบเดี่ยว 350cc. สุ้มเสียงเร้าใจ

         Royal Enfield Classic 350 นั้นมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 350 ซีซี. 1 สูบ 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยอากาศ แรงม้าสูงสุดที่ 14.8 HP ที่ 6,100 รอบต่อนาที สุ้มเครื่องยนต์ที่ผสานผ่านออกมานั้นยังคงความไพเราะและเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนตามแบบฉบับของ Royal Enfield

 

 เคลื่อนขบวนออกจาก CW TOWER

 

กรุงเทพฯ - นครปฐม  

     สำหรับการขับขี่บนระยะทางกว่า 130 กม. เราเริ่มต้นออกสตาร์ทที่อาคาร  CW Tower ย่านรัชดาช่วงเวลา 8:30 น. จัดว่าเป็นช่วงเวลาที่การจราจรค่อนติดขัดพอสมควร แต่ก็เป็นโอกาสให้เราได้ทดสอบความคล่องตัวของเจ้า Classic 350 ในสภาพการจราจรอันหนาแน่นบนถนนเส้น รัชดา-วงศ์สว่าง ด้วยแฮนด์ที่ไม่กว้างเกินไปกับความสูงที่พอดีทำให้ผมสามารถควบคุมรถมุดเลี้ยวได้อย่างคล่องตัวแต่ก็ใช้ความระมัดระวังเพียงเล็กน้อยกับความสูงของกระจกที่อยู่ระดับเดียวกับกระจกมองข้างของรถยนต์ ส่วนดิสก์เบรกหน้า/หลัง ตอบสนองได้อย่างมั่นใจ…

     ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เข้าเส้นทางไฮเวย์มุ่งสู่ถนนอักษะกับความเร็วยืนพื้นที่ 100 กม./ชม. ขับขี่ได้อย่างสบายๆ อัตราเร่งช่วงต้นและกลางทำได้ดีไม่ต้องรอรอบนานสามารถบิดคันเร่งแซงได้ดั่งใจ ส่วนความเร็วที่สูงสุดที่ลองได้อยู่ที่ประมาณ 120 กม./ชม. ในจุดนี้ตามแบบฉบับสไตล์มอเตอร์ไซค์คลาสสิก ลมที่เข้ามาปะทะกับตัวผู้ขับขี่ค่อนข้างเยอะแต่หากเสริมชิลด์บังลมขึ้นมาความเร็วน่าจะไหลขึ้นไปได้มากกว่านี้อีก ส่วนจุดวางเท้าทั้งสองข้างนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ช่วงขานั้นกระชับเข้ากับถังน้ำมันพอดิบพอดี

 

 รวมฝูง Classic 350

@ชมเฌย

     สำหรับทริปขับแบบชิลๆ ที่นครปฐมก็มีแหล่งท่องเที่ยวและจุดเช็คอินให้เราได้แวะเก็บภาพได้ไม่น้อยเลย…โดยจุดแรกนั้นจะเป็น “ถนนอุทยาน” หรืออีกชื่อที่เรียกกันว่า “ถนนอักษะ” เป็นเส้นทางทัศนียภาพที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น อีกทั้งได้รับการขนานนามว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดในประเทศไทย หลังจากเก็บภาพในจุดแรกเป็นที่เรียบร้อยก็เคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปเช็คอินกันต่อที่ “ชมเฌย” สตูดิโอที่จำลองความชิคๆ แบบวินเทจยุค 70s-80s แน่นอนด้วยสถานที่แบบนี้กับ Classic 350 มันเข้ากันไม่น้อยเลยทีเดียว… อีกเรื่องสำคัญที่ต้องยกคำชมให้ Royal Enfield Classic 350 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้รับการพัฒนาที่ดีมากไม่ว่าจะเป็นเฟรม เครื่องยนต์ และชิ้นส่วนต่างๆ เมื่อเทียบจากรุ่นก่อนๆ ที่เข้ามาทำตลาดในไทยช่วงแรกๆ 

 

มุมถ่ายภาพชิคๆ ที่ "ชมเฌย"

 

ช่วงล่างดี ซับแรงก็เยี่ยม

     หลังจากที่ได้สัมผัสบรรยากาศคลาสสิกเป็นที่เรียบร้อยได้มุ่งหน้าออกเดินทางไปยัง จุดเช็คอินปิดทริปที่ “Memory House Cafe สามพราน” เป็นคาเฟ่สุดคิวท์ติดแม่น้ำท่าจีน…การขับขี่บนเส้นทางของทริปนี้ระบบรองรับการสั่นสะเทือนของ Royal Enfield Classic 350 ทำงานได้น่าประทับใจโช้คอัพหน้า/หลัง ซับแรงกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ค่อยมีอาการสั่นสะเทือนส่งมาถึงผู้ขับขี่หากมีคนซ้อนเพิ่มขึ้นมาก็ยังสามารถขับขี่ได้อย่างนุ่มนวล ส่วนยางแบรนด์ CEAT ที่ติดมากับรถนั้นหนึบเกาะติดถนนขับขี่ได้อย่างสบายใจ

 

 

ทางฝุ่นไม่มีหวั่น

 

Classic 350  คุมง่าย ขี่สนุก

     จากที่ขับขี่แบบ One Day Trip บนระยะทางรวมกว่า 130 กม. Royal Enfield Classic 350 ทำให้เรารู้สึกประทับใจไม่น้อยเลยเป็นรถที่ควบคุมง่าย ขับขี่สนุกให้ฟิลลิ่งที่สบายๆ แม้เป็นท่านั่งขับขี่แบบหลังตรง มีความมั่นคงเกาะถนนและให้สมรรถนะที่ดีในช่วงความเร็ว 80-100 กม./ชม. เพลาบาลานซ์ (Balance Shaft) ของรถเห็นผลชัดเจนทำให้แรงสั่นสะเทือนจากเครื่องที่ส่งออกมาน้อยลง แม้ว่ายังรับรู้อาการสั่นได้บนแฮนด์แต่ก็ไม่สั่นจนปวดล้าฝ่ามือ ระบบดิสก์เบรคหน้า-หลัง มาพร้อมกับ ABS แบบสองทิศทางตอบสนองได้ดีหยุดรถได้มั่นใจหายห่วง โช้คอัพหน้า-หลัง นุ่มนวลไม่แข็งกระด้างเจอทางขรุขระก็ขี่ได้ชิลๆ ส่วนดีไซน์โดดเด่นชัดเจนตามแบบฉบับของ Royal Enfield

 

 

ตัวท็อปสี Chrome Bronze

 

     สำหรับผู้ที่สนใจ Royal Enfield Classic 350 สามารถค้นหาศูนย์ให้บริการใกล้บ้านได้ที่ www.royalenfield.com  ส่วนราคาเริ่มต้น 139,900 บาท และตัวท็อปสี Chrome Bronze ที่ผมเลือกใช้ราคาอยู่ที่ 155,000 บาท 

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook