บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC รถยนต์ในกลุ่ม SUV ที่รวมความแข็งแกร่ง และความสง่างามอย่างที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดที่ได้รับการพัฒนาเพื่อรีดประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีที่สุด ร่วมกับการนำเสนอแคมเปญการตลาด DEFINE TOMORROW พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาเรื่องล่าสุด "Loopbreaker" เพื่อสื่อสารถึงความโดดเด่นของรถยนต์กลุ่ม electric Driving ใน 3 ด้าน คือ นวัตกรรมอันล้ำสมัย (Innovations) สมรรถนะอันทรงพลัง (High Performance) และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (electric Drive) เพื่อตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำยนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Mercedes-Benz electric Driving ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง
มร. ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
มร. ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "บริษัทฯ วางแผนที่จะนำเสนอรถยนต์ Mercedes-Benz electric Driving ให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นการปูรากฐานเพื่อนำไปสู่การพัฒนารถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสียเลย (Zero Emission) ในอนาคต ตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคในฐานะเจ้าแห่งยนตรกรรมระดับพรีเมียมที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า พร้อมทั้งยังเป็นผู้นำการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางรากฐานไว้เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025"
"เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ได้นำเสนอรถยนต์รุ่น The S 500 e และ The C 350 e รถยนต์ซีดานเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดออกสู่ตลาด และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคทั้งในด้านเทคโนโลยีอันล้ำสมัย และสมรรถนะอันทรงพลัง ล่าสุดบริษัทฯ จึงได้เปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC รถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีที่รวมความแข็งแกร่งและความสง่างามอย่างที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว เพื่อเติมเต็มกลุ่ม Mercedes-Benz electric Driving ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นในกลุ่มนี้ ล้วนเป็นรุ่นที่ประกอบในประเทศด้วยกันทั้งสิ้น โดย Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC มีกลุ่มเป้าหมายคือลูกค้าที่ชื่นชอบสมรรถนะอันทรงพลัง พร้อมทั้งฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ แต่ยังคงตอบโจทย์ทั้งในเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” และ “ความประหยัด” ได้เป็นอย่างดี"
มร. ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
มร. ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "กลยุทธ์หลักเพื่อเตรียมพร้อมสู่การก้าวเข้าสู่โลกยานยนต์แห่งอนาคตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปีนี้ คือสร้างการรับรู้ถึงสมรรถนะอันชาญฉลาดของรถยนต์ Mercedes-Benz electric Driving โดยนำเสนอผ่านแคมเปญการตลาด DEFINE TOMORROW ผ่านภาพยนตร์โฆษณาในรูปแบบภาพยนตร์สั้น เรื่อง “Loopbreaker” โดยมีคุณชมพู่ อารยา เอ. ฮาร์เก็ต แบรนด์แอมบาสเดอร์เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) นำแสดงภายใต้การกำกับของผู้กำกับมือทอง อย่าง คุณเป็นเอก รัตนเรือง เพื่อถ่ายทอดนิยามใหม่ของ ยนตรกรรม Mercedes-Benz electric Driving ที่ล้ำสมัยและสมบูรณ์ที่สุด"
มร. ฟรังค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ยนตรกรรมกลุ่มเอสยูวีที่เป็นเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ไฮบริด ที่มอบประสิทธิภาพการลดมลพิษที่ดีขึ้นด้วยการปล่อย CO2 ที่ลดเหลือเพียง 83 กรัม/กิโลเมตร*, นวัตกรรมด้านยานยนต์ และรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยวเข้าไว้ด้วยกัน สำหรับ GLE 500 e 4MATIC มีให้เลือก 2 ดีไซน์ด้วยกัน คือ Exclusive และ AMG Premium"
ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต แบรนด์แอมบาสเดอร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC โดดเด่นด้วยลายเส้นสวยคมสะดุดตา, กระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมช่องดักลม สีเงินเสริมโครเมียมแบบ 2 แถบ ประดับด้วยตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตรงกลาง, กันชนด้านหน้าพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยโครเมียม, เส้นสายหลังคาถูกออกแบบให้ลาดเอียงไปทางด้านท้าย ที่เน้นดีไซน์แบบเรียบหรู ล้ำสมัย, ขอบหน้าต่างแบบโครเมียม, ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ, ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System, ไฟ daytime, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง, ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED, กระจกมองข้างด้านผู้ขับขี่และกระจกส่องหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, บันไดข้างสเตนเลสดีไซน์สปอร์ต พร้อมปุ่มยางกันลื่น โดย GLE 500 e 4MATIC Exclusive จะมาพร้อมกับล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว สี Himalayas grey
GLE 500 e 4MATIC Exclusive
ส่วน GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic จะเพิ่มลุคสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยล้ออัลลอย ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 20 นิ้ว สี titanium grey, ชุดแต่ง AMG bodystyling ที่บริเวณกันชนหน้า-หลัง, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน, สัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า รวมถึงเพิ่มความรู้สึกกว้างขวางด้วยหลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้า (Electric panoramic sliding glass sunroof)
ห้องโดยสารของ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic
ด้านภายในที่คงเน้นความหรูหรา สง่างาม แต่แฝงกลิ่นอายความสปอร์ตเอาไว้เช่นเดิม โดยทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับด้านบนของคอนโซลหน้า และด้านบนของแผงหุ้มประตูหุ้มด้วยหนัง Artico, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมระบบผ่อนแรงและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push start), ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน และระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth โดย GLE 500 e 4MATIC Exclusive ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง และมาพร้อมระบบมัลติมีเดีย อย่าง วิทยุซีดี MB Audio 20
พื้นที่ห้องสัมภาระท้าย
สำหรับ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic จะตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบ COMAND Online, ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon® Logic 7® และฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apply CarPlay™) นอกจากนี้ ห้องโดยสารภายใน ของทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับเบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ โดยเบาะนั่งด้านหลังสามารถพับได้ทั้ง 1:3 / 2:3 ตามความต้องการเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บของที่เพิ่มขึ้น พร้อมเพิ่มสุนทรียศาสตร์แห่งการขับขี่ด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 3 สี
เครื่องยนต์เบนซิน V6 ทวินเทอร์โบ
GLE 500 e 4MATIC มาพร้อมกับเทคโนโลยีไฮบริดสมรรถนะสูง ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน แบบวี ทวินเทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 6 สูบ ความจุกระบอกสูบ 2,996 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 333 แรงม้า และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 116 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,600-4,000 ต่อนาที จึงมอบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม/ชม.
ช่องเสียบปลั๊กสำหรับระบบชาร์จไฟ
ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS แบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย, แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ซึ่งมีระบบหล่อเย็นจากน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้ อีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยสูงสุด โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
จอแสดงข้อมูลโหมดการทำงานของระบบไฮบริด
GLE 500 e 4MATIC ยังสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID ได้ถึง 4 แบบ ประกอบไปด้วย
HYBRID: ระบบขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20% ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น
E-MODE: ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 30 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย*
E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้โหมดนี้ ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น
CHARGE: รูปแบบนี้รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลาง เพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่องแรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย
ระบบ Dynamic Select
นอกจากนี้ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC มาพร้อมกับระบบ Dynamic Select ที่มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ ได้แก่
ชุดเบรคจาก Mercedes-Benz
ทางด้านะบบความปลอดภัย ขอเสนอระบบ "Mercedes-Benz Intelligent Drive" ใหม่ ที่ผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น
เป็นต้น
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC มีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่นย่อย โดยมีราคาดังนี้
*หมายเหตุ: อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน และ อัตราการปล่อย CO2 อ้างอิงจากการทดสอบตามมาตรฐานของสหภาพยุโรปเพื่อจุดประสงค์ในการเปรียบเทียบความแตกต่างของรถยนต์ในแต่ละประเภทเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงกับรถยนต์คันใดคันหนึ่งโดยเฉพาะและไม่สามารถนำไปใช้เป็นข้อผูกมัดในการเสนอขายสินค้าได้