เขียนโดย: Monster Racing

เมื่อ: 15 มิถุนายน 2559 - 16:23

Porsche เผยกลยุทธ์ใน Le Mans ความท้าทายกับหลากหลายสถานการณ์ที่เกินความคาดหมาย

 

          Porsche มีกำหนดเข้าร่วมลงแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ รายการ Le Mans 24 ชั่วโมง ในวันที่ 18 - 19 มิถุนายนนี้ นับเป็นการลงสนามฤดูกาลที่ 3 ของรถแข่ง ปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) เพื่อป้องกันตำแหน่งแชมป์ในรายการ Le Mans และ FIA World Endurance Championship (WEC) ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแข่งขันที่มีชื่อเสียงมายาวนาน รวมทั้งมีความสำคัญที่สุดรายการหนึ่ง จากเกียรติประวัติการคว้าชัยชนะในรายการนี้ทั้งหมดถึง 17 ครั้ง ปอร์เช่จะยังคงทำหน้าที่จารึกสถิติเพิ่มเติมไว้ที่สนาม Circuit de la Sarth แห่งนี้ ทั้งในฐานะตำแหน่งผู้นำประเภทโรงงานผู้ผลิตและประเภทนักแข่ง สำหรับการชิงแชมป์ประจำฤดูกาล 2016

 

 

ผู้รับบทบาทสำคัญ

          Andreas Seidi หัวหน้าทีมแข่งปอร์เช่ชาวเยอรมัน ผู้ได้รับสมญานามเจ้าแห่งกลยุทธ์ ทำงานร่วมกับ Chief Race Engineer Stephen Mitas (AU) Strategy Engineer Pascal Zurlinden (FR) Vehicle Race Engineer Kyle Wilson-Clarke (GB, รถแข่งหมายเลข 1) และ Jeromy Moore (AU, รถแข่งหมายเลข 2) ทั้งหมดนี้รับบทบาทสำคัญในการกำหนดแผนการแข่งที่เหมาะสมที่สุด ด้วยลักษณะเดียวกับการวางกลยุทธ์ตามสถานการณ์ของเกมหมากรุก อย่างไรก็ตาม เมื่อรถแข่งออกตัวจากจุดสตาร์ทไปแล้ว ย่อมเป็นการยากที่จะคาดการณ์ในสิ่งที่เกิดขึ้น คำตอบของคำถามทั้งหมดเพื่อเอาชนะการแข่งขันนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่ถูกต้องในแต่ละสภาวการณ์ที่ต้องเผชิญ

 

 

ปัจจัยที่ 1: การเติมน้ำมันเชื้อเพลิง

          ข้อจำกัดแรกที่ต้องคำนึงถึงในการกำหนดกลยุทธ์เพื่อการแข่งขัน คือระยะทางที่รถแข่งเสียไปในการหยุดเพื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละครั้ง หลังจากที่ทาง WEC ได้ออกกฎข้อบังคับกำหนดค่าอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดต่อรอบสนามแข่งขัน ทำให้ทีมงานสามารถคำนวณระยะเวลาที่แน่นอนในการหยุดเพื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ซึ่งรวมไปถึงระยะเวลาของคู่แข่งขันคันอื่นเช่นกัน โดยระยะทางต่อรอบสนาม 13.629 กิโลเมตร ของรายการ Le Mans นั้น รถแข่งปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) สามารถวิ่งได้สูงสุดถึง 14 รอบ ต่อการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเต็มถัง 62.5 ลิตร

 

 

ปัจจัยที่ 2: การเปลี่ยนยาง

          ตัวแปรพื้นฐานสำคัญลำดับที่ 2 ในการนำมาใช้ประกอบการวางแผนกลยุทธ์สำหรับเอาชนะการแข่งขัน คือกราฟแสดงสมรรถนะของยางรถยนต์ ซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงของวิศวกรผู้มีความเชี่ยวชาญจาก Michelin การสึกหรอของยางนั้น ส่งผลโดยตรงกับระยะเวลาต่อรอบสนาม ที่รถแข่งสามารถทำได้ ทั้งนี้การเสื่อมสภาพของยางจะได้รับการนำมาคิดคำนวณเพื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาที่สูญเสียไปในขณะหยุดเข้าพิทเพื่อทำการเปลี่ยนยาง ประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นถนนของยางนั้นไม่ได้ลดลงในลักษณะคงที่ตลอดเวลา ในบางครั้งยางอาจสูญเสียการยึดเกาะด้วยการวิ่งเพียงไม่กี่รอบสนาม แต่หลังจากนั้นสมรรถนะของยางอาจจะกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากน้ำหนักรวมของรถแข่งที่เบาลงตามระยะทางที่ผ่านไปทุกรอบสนาม ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบกับอายุการใช้งานของยาง

 

 

ปัจจัยที่ 3: นักแข่ง

          “นักแข่งของเราทุกคนมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ เปี่ยมไปด้วยความเป็นมืออาชีพ และมีความสามารถในการบังคับควบคุมรถแข่งได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตลอด 54 รอบสนามแม้ในเวลากลางคืน” Seidi ยังเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า “อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องจับตามองไปที่ระยะเวลาที่นักแข่งอยู่กับตัวรถ” กฎข้อบังคับของการแข่งขันกำหนดระยะเวลาสูงสุดและต่ำสุดที่นักแข่งแต่ละคนจะสามารถขับรถแข่งของตนเองได้ ในการแข่งขัน Le Mans นักแข่งแต่ละคนจะต้องใช้เวลาในการขับรถอย่างน้อยที่สุด 6 ชั่วโมง แต่จะต้องขับต่อเนืองไม่เกิน 4 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนระยะเวลาสูงสุดอนุญาติไว้ที่ 14 ชั่วโมงตลอดการแข่งขัน โดยปกติแล้วมักจะไม่เกิดปัญหาอะไรสำหรับนักแข่ง แต่ในกรณีสุดวิสัยอย่างเช่น นักแข่งเกิดอาการปวดท้องกะทันหัน แผนการรับมือที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าจะถูกนำมาใช้เพื่อปรับแก้สถานการณ์ Seidi กล่าวว่า “เราพยายามให้นักแข่งทุกคนรวมทั้งบรรดาทีมงานได้มีเวลาหยุดพักที่เหมาะสมจนกระทั่งจบการแข่งขัน เท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย”

 

 

ปัจจัยที่ 4: อุบัติเหตุ

          ในการแข่งขันที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์อันคาดไม่ถึง โปรแกรมจำลองสถานการณ์ได้รับการนำมาใช้เพื่อช่วยในการคาดการณ์และรับมือสภาวะที่อาจเกิดขึ้นได้ ทีมงานทุกคนล้วนหวังว่าการแข่งขันจะสามารถดำเนินต่อไปโดยไม่มีอุปสรรคใด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ข้อมูลอันมีค่าที่ได้รับจากการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์จะถูกจัดเตรียมไว้เพื่อจัดการกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดเดา ตัวอย่างเช่น เมื่อรถ Safety Car ออกวิ่ง ทีมงานควรจะใช้โอกาสนี้ในการนำรถแข่งกลับเข้าพิทเพื่อซ่อมบำรุงหรือไม่? โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลเพื่อลำดับสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นไปได้ในกรณีนำรถแข่งกลับเข้าพิท หากรถแข่งเกิดการปะทะกับรถคันอื่น แรงดันลมยางและอากาศพลศาสตร์ของตัวรถจะถูกตรวจสอบอย่างทันทีทันใด นักแข่งจะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นทางวิทยุสื่อสาร เพื่อให้ทีมวิศวกรรับทราบถึงชิ้นส่วนที่ได้รับความเสียหาย และเตรียมพร้อมในทุกสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อแก้ไขรถแข่งที่จำเป็นต้องวิ่งด้วยความเร็วเกินกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในส่วนที่เรียกกันว่า “Battle Room” สถานที่ซึ่งเป็นจุดประจำการของ Zurlinden ทั้งนี้ในบางครั้งอาจจำเป็นต้องอาศัยการตรวจสอบภาพช้าซ้ำๆ กันหลายครั้งเพื่อยืนยันว่ารถแข่งจำเป็นต้องกลับเข้าพิทหรือไม่

 

 

ปัจจัยที่ 5: ทีมงานในพิท

          ทีมงานทุกคนที่ประจำอยู่ในพิท ต่างอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมเสมอ เพื่อรองรับการเข้าพิทของรถแข่งที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้ตลอดเวลาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแต่อย่างใด และแน่นอนว่าทุกคนต้องปฎิบัติงานด้วยความรวดเร็วที่สุด ในฤดูกาล 2015 ที่ผ่านมา ระยะเวลารวมที่รถแข่งปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) ซึ่งเข้าร่วมแข่งขันที่ Le Mans ทั้ง 3 คันใช้ในการเข้าและออกจากพิท อยู่ที่ 95 นาที กับอีก 36 วินาที หากนำมาเปรียบเทียบกับทีมคู่แข่งที่ทำเวลาดังกล่าวได้ดีเป็นอันดับ 2 นั้นพบว่าใช้เวลา 130 นาที

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook